บามิยัน (บามียัน) พระพุทธรูปโบราณองค์ใหญ่ในอัฟกานิสถาน-ที่ถูกทำลายไปจนสิ้น

20 ปีหลังจากการทำลาย บามิยัน หรือ บามียัน พระพุทธรูปโบราณ สิ่งที่ยังเหลืออยู่คือโพรงบนผนังอันว่างเปล่าและความทรงจำ

ความพยายามในครั้งที่หนึ่ง สอง และสาม ของ Pascal Maitre ในการไปเยือนพระพุทธรูปขนาดยักษ์ที่แกะสลักบนไหล่เขาของหุบเขาบามียันในอัฟกานิสถานนั้นกลายเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ ในปี 1996 ช่างภาพชาวฝรั่งเศสคนนี้อยู่กรุงคาบูลเพื่อมาทำงานที่ได้รับมอบหมายกับนิตยสาร L’express แม้การเดินทางจากกรุงคาบูลไปเมือง บามียัน มีระยะทางเพียง 200 กิโลเมตร แต่ในทุกเช้า เขาได้รับการปฏิเสธจากคนขับรถทุกครั้ง แม้เขาจะเพิ่มค่าจ้างให้ก็ตาม

ในตลอดเส้นทาง จะมีกองกำลังติดอาวุธประจำจุดตรวจระหว่างทาง และรถขับเคลื่อนสี่ล้อนั้นเป็นที่หมายตามากเป็นพิเศษ และรถที่พยายามผ่านทางไปมักถูกยึด Pascal ต้องขอความช่วยเหลือจากเพื่อน จนในที่สุด เขาสามารถเดินทางผ่านจุดตรวจโดยรถประจำทางของเมืองที่เขาเช่ามาซึ่งเต็มไปด้วยผู้โดยสาร และนั่งท่ามกลางพวกเขาในชุดเสื้อคลุมและกางเกงในแบบอัฟกานิสถาน ที่ชื่อว่า Perahan Tunban

พระพุทธรูปแห่งหุบเขาบามียันถูกสร้างขึ้นในช่วงเริ่มศตวรรศที่ 6 ในช่วงที่เมืองเป็นจุดศูนย์กลางอันคึกคักในเส้นทางสายไหม

แต่บามียันนั้นเป็นการเดินทางที่คุ้มค่าความเสี่ยง พระพุทธหินคู่นี้เริ่มสร้างขึ้นในศตววรษที่ 6 องค์หนึ่งมีความสูง 38 เมตร ส่วนอีกองค์หนึ่งมีความสูง 55 เมตร ตั้งตระหง่านท่ามกลางทิวทัศน์หุบเขา แม้จะผ่านทั้งยุคสมัย การถูกละเลย และช่วงสงคราม บามียันก็ยังคงดำรงอยู่อย่างโดดเด่นในพื้นที่ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นจุดพักอันคึกคักในเส้นทางสายไหมและศูนย์กลางการศึกษาพระพุทธศาสนา พื้นที่มรดกโลกของยูเนสโกแห่งนี้ได้ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวและนักโบราณคดีจนกระทั่งถึงช่วงเวลาที่ประเทศนี้อยู่ภาวะที่สั่นคลอนเกินกว่าจะรักษาพระพุทธรูปเหล่านี้ไว้

นักรบจากกลุ่มชาติพันธุ์ฮาซาราอยู่ในหมู่บ้านซึ่งเป็นฐานขององค์พระพุทธรูป ซึ่งเป็นจุดที่พวกเขาสะสมอาวุธเพื่อต่อสู้กับกองกำลังตาลีบัน ก่อนที่กองกำลังนี้จะเข้าควบคุมอัฟกานิสถาน
เป็นเวลาหลายศตวรรษที่นักท่องเที่ยว นักโบราณคดี และผู้แสวงบุญเดินทางมายังพระพุทธรูปองค์มหึมานี้ ยูเนสโกได้ตั้งชื่อตามหุบเขา ซึ่งรวมไปถึงภาพวาดผนังถ้ำและอารามเป็นมรดกโลก

แม้ก่อนหน้า Maitre ได้เดินทางไปอัฟกานิสถานอยู่หลายครั้ง แต่เขาไม่เคยไปยังบามียัน เมื่อมองจากภูเขา เขาได้ชื่นชมพระพุทธรูปและทุ่งข้าวสาลีที่อยู่ใต้เท้า รวมไปถึงภูเขา Hindu Kush ที่อยู่ด้านหลัง หุบเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยกลุ่มคนติดอาวุธจากกลุ่มชาติพันธุ์ฮาซาราที่ได้ควบคุมพื้นที่มาอย่างยาวนาน พวกเขาเก็บอาวุธและเครื่องกระสุนในถ้ำรอบใต้เท้าขององค์พระพุทธรูปที่ใช้ในการต่อสู้กับกองกำลังตาลีบัน กองกำลังชาวอิสลามที่ต่อสู้เพื่อควบคุมประเทศ ผู้อพยพจากสงครามที่เดินทางกลับมาจากปากีสถานก็ได้สร้างบ้านที่นี่ และถ้ำบามียันที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นมรดกโลกของยูเนสโก และภาพวาดสีน้ำมันที่วาดขึ้นในศตวรรษที่ 7 ซึ่งตกแต่งเพดานก็เป็นหนึ่งในภาพที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

พระพุทธรูปบามียันขนาดใหญ่ในตอนที่ตั้งอยู่ในหุบเขาทางตอนกลางประเทศอัฟกานิสถาน เมื่อช่างภาพ Pascal Maitre เดินทางไปเยือนเมื่อปี 1996 ในอีก 5 ต่อมาก็ถูกทำลายโดยกองกำลังตาลีบัน

เพียงไม่กี่เดือนหลังจาก Maitre เดินทางไปเยือน กองกำลังตาลีบันได้ยึดครองกรุงคาบูลและก่อตั้งจักรวรรดิอิสลามและอัฟกานิสถาน ในตอนแรก พวกเขาแสดงความเคารพพระพุทธรูปที่มีชื่อเสียงนี้ แต่หลังจากมีผู้บังคับบัญชาคนหนึ่งยิงพระพุทธรูป ก็ได้มีการออกคำสั่งเพื่อปกป้องมรดกโลกแห่งอัฟกานิสถานแห่งนี้ ทว่าในภายหลัง หลังจากที่พวกเขารู้สึกแค้นเคืองที่ไม่ได้การยอมรับในระดับนานาชาติและการคว่ำบาตรจากสหรัฐอเมริกา ผู้นำตาลีบันก็เปลี่ยนใจ

นักรบกลุ่มฮาซาราเดินผ่านพระพุทธรูปบามียัน ในปี 1996 ซึ่งเป็นปีที่ถ่ายภาพภาพนี้ เป็นช่วงที่เต็มไปด้วยผู้อพยพชาวอัฟกันที่กลับมาจากการถูกขับไล่ในปากีสถาน

ในเดือนมีนาคม 2001 กองกำลังตาลีบันวางระเบิดที่ฐานของพระพุทธรูปทำให้กลายเป็นเพียงซากปรักหักพัง พระพุทธรูปที่มีอายุมากกว่า 1,500 ปี นั้นพังถล่มลงมาในเวลาเพียง 2-3 อาทิตย์ และ 20 ปีให้หลัง Maitre เชื่อว่าภาพถ่ายของเขาบันทึกในช่วงเวลาสุดท้ายที่พระพุทธรูปยังคงตั้งตระหง่าน

“มันเป็นหายนะเลยล่ะครับ” เขากล่าวและเสริมว่า “มันเป็นมรดกโลกของยูเนสโกแห่งแรกที่ถูกทำลาย สิ่งที่สะเทือนใจผู้คนมากที่สุดคือการที่สถานที่หลายแห่งถูกทำลายเนื่องจากการปล้นสะดม และกับพระพุทธรูปนี้ ไม่มีใครปล้น แค่ถูกทำลาย จากจุดนี้ เหตุการณ์นี้ทำให้โลกเข้าใจถึงบางสิ่งที่เปลี่ยนไป นั่นคือไม่มีการเคารพพื้นที่มรดกโลกอีกต่อไป”

เมื่อช่างภาพ Pascal Maitre เดินทางไปเยือนในปี 1996 พระพุทธรูปบามียันก็ได้ประสบกับช่วงเวลาในการปะทะกัน จึงมีร่องรอยหรือจุดที่ได้รับความเสียหายอยู่บ้าง แต่ก็ยังคงตั้งตระหง่านอยู่
ในปี 2001 เมื่อกองกำลังตาลีบันวางระเบิดที่ฐานของพระพุทธรูปและเปลี่ยนมันให้กลายเป็นเพียงเศษซาก Maitre ก็ได้กลับไปเยือนอีกครั้งในอีก 5 ปีต่อมาเพื่อถ่ายภาพช่องหุบเขาอันว่างเปล่าที่ครั้งหนึ่งเคยมีพระพุทธรูปตั้งอยู่

Maitre กลับไปในปี 2006 เมื่อพระพุทธรูปหายไปและเหลือเพียงช่องว่างอันใหญ่ในหุบเขา กลุ่มนักโบราณคดีชาวอัฟกันอยู่ที่นี่และค้นหาร่องรอยของพระพุทธรูปองค์ที่สามที่มีขนาดใหญ่กว่าพระพุทธรูปสององค์ที่แล้ว และแกะสลักในแนวนอน โดยเป็นครั้งแรกที่ Maitre ได้มาเห็นซากปรักหักพังด้วยตัวเอง และเขาพบว่าเป็นเรื่องยากจะเข้าใจที่ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอันล้ำค่านั้นถูกทำลายจนสิ้น

“คุณมีเพียงช่องว่างอันใหญ่ ที่ไม่เหลืออะไรเลย” เขาเล่าย้อนไป “ผมไม่อาจเข้าใจได้ ผมเคยเห็นพระพุทธรูป แล้วท่านก็หายไป”

ภาพวาดผนังถ้ำใกล้กับพระพุทธรูปบามียันมีอายุอยู่ในช่วงเวลาที่มีพระสงฆ์อยู่ในพื้นที่นี้ งานศิลปะบางชิ้นที่หลงเหลืออยู่คือหนึ่งในภาพวาดสีน้ำมันที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
ครั้งหนึ่ง ผู้นำของกองกำลังตาลีบันให้คำมั่นว่าจะไม่ทำอันตรายต่อมรดกโลกแห่งนี้ แต่ในปี 2001 หลังจากที่รู้สึกแค้นเคืองเนื่องจากไม่ได้รับการยอมรับและการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ พวกเขาก็ทำลายคำมั่นนั้น

เรื่อง NINA STROCHLIC

ภาพถ่าย PASCAL MAITRE


อ่านเพิ่มเติม ชมภาพบรรดาวัดที่มีความสวยงามจากทั่วโลก

© COPYRIGHT 2024 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.