แคทเธอริน รูธ ไรลี่ ไบรอัน ชี้ไปที่ก้อนเมฆสีดำๆ ที่ลอยต่ำ และมีสีต่างจากเมฆก้อนอื่นๆ ในยามเช้าที่เธอกำลังขับรถกู้ภัยพาเด็กๆ ใน Bamboo school ไปส่งที่โรงเรียนบ้านบ้องตี้
เธอเล่าว่าเมฆพวกนี้ลอยมาจากฝั่งประเทศเมียนมา ที่สีมันดำต่างจากเมฆก้อนอื่นๆ เพราะเกิดจากกลุ่มควันจากการทิ้งระเบิดและสงครามในประเทศเมียนมา
เฉกเช่นเดียวกันกับเด็กๆ ใน Bamboo School หลายคนสูญเสียพ่อแม่จากสงคราม และการต้องอพยพย้ายถิ่นจากการสูญเสียที่ดินทำกิน ทำให้พ่อแม่หลายคนเลี้ยงดูลูกต่อไปไม่ไหวและนำเด็กมาฝากไว้ที่ Bamboo School เด็กหลายคนได้รับผลกระทบจากสงครามทั้งทางร่างกายและจิตใจ
เวลา 7 โมงเช้าที่โรงเรียนบ้านบ้องตี้ยังคงเงียบสงบ เด็กจาก Bamboo School จะมาถึงโรงเรียนเป็นกลุ่มแรกเสมอและลงมือเก็บเศษขยะ รวมทั้งทำงานจิตอาสาอันเป็นวัฒนธรรมที่แคทเธอรินพยายามหล่อหลอมให้พวกเขาทำงานเพื่อส่วนร่วม
มีนาเด็กหญิงชาติพันธุ์มอญ ที่แม่ของเธอเสียชีวิตระหว่างคลอดและพ่อของเธอทอดทิ้งไป ร้องไห้โฮเมื่อรู้ว่าต้องจาก ‘โมโมะแคท’ (โมโมะในภาษากะเหรี่ยงแปลว่าแม่) เพื่อไปโรงเรียน เป็นเวลากว่า 25 ปีแล้วที่หญิงสาวจากประเทศนิวซีแลนด์คนนี้ ได้ก่อตั้ง Bamboo School ในพื้นที่ต.บ้องตี้ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี เรื่องราวจากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของโรงเรียนที่สร้างขึ้นมาจากไม้ไผ่ ที่วันนี้ได้กลายเป็นบ้านที่พักพิงให้แก่เด็กผู้อพยพย้ายถิ่นฐานกว่า 900 กว่าชีวิต
“มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งถูกส่งมาเรียนที่เชียงใหม่ เด็กคนนั้นบอกฉันว่า ‘หนูอยากตามหาแม่’”
ย้อนกลับไปในปี 1999 แคทเธอรินในตอนนั้นสอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนบนดอยใน จ.เชียงใหม่ ณ ที่แห่งนั้นเธอได้พบกับนักเรียนหญิงมีชื่อว่า ‘มัว’ เธอเป็นชาติพันธุ์กะเหรี่ยงจากต.บ้องตี้ อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี ที่ถูกส่งมาเรียนที่เชียงใหม่ และพอถึงช่วงเวลาปิดเทอมภาคฤดูร้อนในเดือนมีนาคม เธอได้ขอร้องให้แคทเธอรินพาเธอกลับไปหาครอบครัว
“ณ ที่แห่งนั้นไม่มีโรงเรียน ถนนเป็นดินแดง ไฟฟ้าไม่มี มีแต่ชาวกะเหรี่ยงที่พูดภาษาไทยไม่ได้”
แคทเธอรินได้ชักชวนกลุ่มเด็กนักเรียนของเธอที่เพิ่งเรียนจบชั้นมัธยมปลาย เดินทางพามัวกลับมายังต.บ้องตี้ เธอเล่าบรรยากาศที่เห็นในปี 1999 ว่าทั่วทั้งตำบลมีแต่ชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญ โดยมีชาวไทยเป็นผู้ครอบครองที่ดินโดยส่วนใหญ่ และจ้างกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ทำงานโดยจ่ายค่าจ้างในอัตราที่ต่ำเพียงวันละ 20 บาทต่อวัน ในขณะที่อัตราค่าแรงขั้นต่ำในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ที่ประมาณ 82 บาทต่อวัน
“พวกเขาต้องการการศึกษา เพื่อให้คนรุ่นต่อไปมีทางเลือกมากขึ้น”
แคทเธอรินเริ่มทำการสำรวจและสอบถามผู้คนในพื้นที่และพบว่า ในช่วงเวลาดังกล่าวขนาดครอบครัวโดยเฉลี่ยของคนที่นี่มีสมาชิก 11 คนต่อครัวเรือน มีรายได้เฉลี่ยต่อปีเพียง 3,000 บาทต่อครัวเรือน และมีคนเสียชีวิตถึง 81 คนในเดือนก่อนหน้าที่เธอจะมาถึง พวกเขาเสียชีวิตจากโรคมาลาเรียหรือวัณโรค ซึ่งเป็นโรคที่ระบาดในหมู่ชาวบ้านจำนวนมาก แคทเธอรินได้ข้อสรุปว่าเธอต้องเริ่มต้นการศึกษาให้กับคนที่นี่ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของพวกเขา
“เราสอนกลางที่โล่งแจ้ง ภายในหนึ่งสัปดาห์มีเด็กนับ 100 คนมาเรียน แต่ฉันไม่มีอุปกรณ์การเรียนให้แก่พวกเขา”
แคทเธอรินร่วมกับนักเรียนของเธอที่เพิ่งเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายที่เดินทางมาด้วยกัน คือสมศรีและวิทยาก่อตั้งโรงเรียนขึ้นมา พวกเขาทั้งสองมีความใฝ่ฝันอยากเป็นครู จึงได้เดินทางไปที่กระทรวงศึกษาธิการ เพื่อทำเรื่องขอจัดตั้งการศึกษานอกระบบ (กศน.) มาใช้สำหรับโรงเรียนของพวกเขา
เป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่มีคนในหมู่บ้านบริจาคที่ดินให้กับแคทเธอริน และเธอก็เริ่มสร้างอาคารเรียนจากไม้ไผ่เพราะเป็นวัสดุที่หาได้ง่ายที่สุดในพื้นที่ Bamboo School ค่อยๆ เติบโตขึ้น เด็กนักเรียนหลายคนประสบความสำเร็จในชีวิต เฉกเช่นสมศรีและวิทยา ที่ปัจจุบันทำงานอยู่ในโรงเรียนนานาชาติเอกมัย หรือศิษย์เก่ารุ่นแรกของ Bamboo School อย่างโมแว อภิสุทธิปัญญา เขาเรียนจบแพทย์ที่ Emilio Aguinaldo College School of Medicine ในกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ และกลับมาเป็นหุ้นส่วนเปิดคลินิกเวชกรรมอยู่ที่อ.หัวหิน จ.เพชรบุรี
“เด็กๆ ที่นี่เคยได้กลับบ้านในช่วงวันหยุดจากโรงเรียน แต่ตั้งแต่รัฐประหารพวกเขาไม่สามารถเดินทางกลับบ้านผ่านโดยไม่เสี่ยงชีวิต หลายคนกลับไปเพื่อพบว่าครอบครัวของพวกเขาถูกฆ่า หรือสูญหายไปแล้ว”
นับตั้งแต่เหตุการณ์รัฐประหารในประเทศเมียนมาปี 2021 แคทเธอรินเล่าว่าส่งผลกระทบอย่างรุนแรงแก่เด็กๆ ที่มาอยู่ที่ Bamboo School พวกเขาไม่สามารถใช้เวลาในวันหยุดเดินทางกลับไปเชื่อมต่อกับครอบครัว และวัฒนธรรมของตนเอง ดังนั้นนอกจากภารกิจการให้การศึกษาแล้ว การฟื้นฟูเยียวยาจิตใจกลายเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกเมื่อมีเด็กถูกส่งมายัง Bamboo School
“เมื่อเด็กคนหนึ่งมาที่นี่ เราไม่ให้พวกเขาไปโรงเรียนในช่วงปีแรก เพราะเด็กส่วนใหญ่ล้วนเจอเรื่องราวที่กระทบจิตใจ ดังนั้นเราเน้นให้พวกเขาค้นหาว่าตัวเองเป็นใคร และมีความสามารถอะไร”
นอกจากนี้เด็กหลายคนที่มาถึงที่นี่มีความตื่นตระหนก หลายคนหวาดกลัวเมื่อได้ยินเสียงดัง แคทเธอรินเล่าว่าเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนในเดือนกรกฎาคม มีเสียงระเบิดดังขึ้นทุกคืน เพราะที่ที่พวกเขาอยู่ใช้เวลาเดินเท้าผ่านภูเขาไม่ถึง 30 นาทีก็จะเข้าสู่เขตสู้รบในรัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมาแล้ว นั่นทำให้หลายค่ำคืนทุกคนอยู่ในอาการหวาดกลัว บางค่ำคืนแคทเธอรินต้องนำเด็กเล็กมานอนให้ห้องนอนของเธอ รวมทั้งซักซ้อมแผนการอพยพหากเกิดเหตุฉุกเฉิน พวกเขาต้องสามารถออกจากพื้นที่ภายใน 15 นาที
เหตุการณ์เหล่านี้ได้ส่งผลกระทบระยะยาวต่อเด็กๆ ที่ช่วงชีวิตของพวกเขาต้องผ่านสงคราม หลายคนกลัวใครก็ตามที่สวมเครื่องแบบ เพราะในประเทศเมียนมาคนเหล่านี้ได้สร้างความรุนแรงแก่ครอบครัวของพวกเขา แคทเธอรินพยายามเยียวยาพวกเขาผ่านกิจกรรมในวันเสาร์ที่ทุกคนจะไปรวมตัวกันที่โบสถ์ริมทะเลสาบ จากนั้นเด็กๆ จะพากันไปที่ด่านตรวจของทหาร และนำเค้กกล้วยหอมที่ทำกันขึ้นมาไปมอบแก่ทหาร และร้องเพลงให้แก่เจ้าหน้าที่ฟัง มาวันนี้เด็กๆ ใน Bamboo School และเจ้าหน้าที่ทหารในพื้นที่ต่างรู้จักชื่อของกันและกัน เพราะนอกจากการให้การศึกษาแล้ว การทำให้เด็กๆ รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของที่แห่งนี้คือภารกิจสำคัญของ Bamboo School
“พวกเขาช่วยสร้างอาคารเรียน ช่วยสร้างถนนคอนกรีต ฉันเชื่อว่าตอนที่พวกเขายังเด็ก เราสามารถทำให้พวกเขาคิดว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ได้”
ทุกคนใน Bamboo School จะมีหน้าที่เฉพาะของตัวเอง แคทเธอรินเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้ทำกิจกรรมที่ตัวเองถนัดไม่ว่าจะเป็นการแบ่งหน้าที่ทำอาหาร, ทำงานบ้าน, ทำสวน และงานช่าง
“สิ่งเหล่านี้จะหล่อหลอมอนาคตในวันข้างหน้าของพวกเขา ที่จะทำให้ตัดสินใจอาชีพในอนาคตได้ ควบคู่ไปกับการเรียนในระบบที่จะทำให้พวกเขาได้กลายเป็นพลเมืองไทยที่มีคุณภาพ” แคทเธอรินกล่าว
สำหรับเด็กที่เข้ามาใหม่อีกหนึ่งสิ่งที่พวกเขาต้องเรียนรู้ก่อนเข้ารับการศึกษาในระบบคือการพูดภาษาไทยให้คล่อง จากนั้นเมื่อพวกเขาเข้าโรงเรียนก็จะได้รับรหัส G จากทางรัฐบาล และเมื่อพวกเขาสอบผ่านชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก็จะได้รับบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน เพื่อเป็นใบเบิกทางในการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น
แคทเธอรินวางแผนทางการเงินให้กับทุกคนโดยการเปิดบัญชีออมทรัพย์ และหาผู้สนับสนุนทุนทางการศึกษาให้กับเด็กรายบุคคล โดยเมื่อเด็กเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ณ โรงเรียนบ้านบ้องตี้ หากเด็กคนไหนต้องการเรียนต่อในระดับชั้นมัธยมปลาย พวกเขาจะถูกส่งให้ไปอยู่ที่บ้านพักที่แคทเธอรินเช่าไว้ และต้องเรียนรู้การจัดการชีวิตของตัวเองตั้งแต่ชั้นมัธยมปลาย เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสู่การศึกษาในระดับชั้นอุดมศึกษาต่อไป
“คุณเป็นส่วนหนึ่งถ้าคุณสามารถช่วยเหลือคนอื่นๆ ในชุมชน” นี่คือแนวคิดการเลี้ยงดูเด็กของแคทเธอริน “เราพยายามทำให้พวกเขามีทัศนคติของการช่วยเหลือคนอื่น มากกว่าแค่เรื่องเงินเป็นสิ่งสำคัญ”
มากกว่าการศึกษาคือการดูแลสาธารณสุขให้กับชุมชน
เช้าวันเสาร์ของ Bamboo School เริ่มต้นขึ้นตอน 7 โมงเช้า เด็กๆ ตื่นมาล้างหน้าแปรงฟัน และมารวมตัวกันที่โรงอาหาร พวกเขากินมังสวัรัติโดยเมนูในเช้าวันดังกล่าวเป็นต้มฝัก เด็กแต่ละคนต่างตักข้าวพูนจานและนั่งกินร่วมกัน หลังมื้ออาหารเช้า-เย็น ถ้าแคทเธอรินไม่ติดภารกิจภายนอก เธอจะใช้เวลานี้ในการพูดคุยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของเด็กแต่ละคน ก่อนที่ทุกคนจะกลับไปแต่งตัวเพื่อเตรียมตัวไปโบสถ์ริมทะเลสาบ อันเป็นธรรมเนียมของที่นี่ในทุกๆ วันเสาร์ ทุกคนจะไปโบสถ์และรวมตัวกันในวันสะบาโต
ส่วนแคทเธอรินเธอมีภารกิจในการออกตรวจตราคนที่เจ็บป่วยในพื้นที่ โดยทำงานร่วมกับมาลี ใครหอม ศิษย์เก่าของ Bamboo School ที่ปัจจุบันทำงานเป็นพยาบาลวิชาชีพชำนาญการ อยู่ที่โรงพยาบาลไทรโยค เคสแรกของวันนี้เป็นลูกของผู้ลี้ภัยที่ถูกน้ำร้อนลวกจนกลายเป็นแผลพุพอง รถพยาบาลคันเก่าของแคทเธอรินพาพวกเราลัดเลาะชุมชนเข้าไปในสวนยาง เข้าใกล้เขตชายแดนประเทศเมียนมาเข้าไปทุกที เมื่อรถจอดลงปรากฏภาพกระท่อมไม้ไผ่ ที่ใช้ผ้าใบมาขึงบังแดดฝน เด็กๆ กลุ่มหนึ่งต่างตื่นตกใจเมื่อเห็นรถเข้ามาจอด หญิงผู้ลี้ภัยคนหนึ่งรีบเดินอุ้มลูกน้อยของเธอมาที่รถ พร้อมคุยกับมาลีเป็นภาษากะเหรี่ยง มาลีเล่าให้ฟังในภายหลังว่า เธอต้มน้ำร้อนและพลาดทำน้ำร้อนลวกใส่ที่ต้นแขนลูกของเธอ
“ความอยากเป็นพยาบาลเกิดขึ้นจากการที่ได้เข้าไปอยู่ที่ Bamboo School”
มาลีเล่าให้ฟังในภายหลังจากที่เสร็จสิ้นการปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้กับเด็กน้อย เธอกับแคทเธอริน
เห็นพ้องตรงกันว่าเด็กต้องได้รับการไปรักษาที่โรงพยาบาล โดยแคทเธอรินจะเป็นคนอาสาพาไปที่โรงพยาบาลไทรโยคที่อยู่ห่างออกไป 30 กิโลเมตร มาลีบอกว่านี่คือเรื่องปกติที่เธอทำร่วมกับแคทเธอรินมาตั้งแต่สมัยเธอเรียนอยู่ชั้นมัธยม มาลีเคยใช้ชีวิตอยู่ใน Bamboo School 2 ปีก่อนเรียนจบชั้นมัธยมปลาย ก่อนที่แคทเธอรินจะเป็นคนหาผู้สนับสนุนทุนการศึกษาให้เธอเรียนจบหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต
“ถ้าไม่มี Bamboo School เด็กหลายคนคงไม่มีโอกาสได้เรียนต่อในระดับอุดมศึกษา”
มาลีกล่าวด้วยความภูมิใจว่าเธอเป็นพยาบาลวิชาชีพคนแรกของตำบล แม้ว่าวันนี้ระบบสาธารณสุขของตำบลบ้องตี้จะพัฒนาขึ้นมามากแล้ว มีโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล แต่หากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน แคทเธอรินและเด็กใน Bamboo School ยังคงทำหน้าที่รับส่งคนไข้ไปโรงพยาบาล
จากจุดเริ่มต้นด้วยอาคารเรียนไม้ไผ่ และเงินติดตัว 169 บาทที่แคทเธอรินมีมาที่นี่เมื่อ 25 ปีก่อน และต้องการให้คนในพื้นที่เห็นความสำคัญของการศึกษา มากกว่าการให้ลูกหลานของพวกเขาออกไปใช้แรงงานในไร่เพื่อแลกกับค่าแรง 20-30 บาทต่อวัน
มาวันนี้ Bamboo School กลายเป็นมากกว่าโรงเรียน แต่เป็นสถานที่พักพิงให้แก่เด็ก 62 คนในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีเด็กอีกหลายสิบคนที่กำลังศึกษาต่อในระดับชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพและอุดมศึกษา ครั้งหนึ่งแคทเธอรินเคยบอกไว้ว่า
“เราต้องทำให้พวกเขาเห็นชีวิตในวันข้างหน้าของเขาที่ไกลกว่านั้น และการศึกษาคือสิ่งเดียวที่จะทำให้เขาเห็นโอกาสเหล่านั้น วันนี้การศึกษาได้เปลี่ยนแปลงชีวิตเด็กหลายคนที่นี่ให้เป็นประชากรที่มีคุณภาพ”