ไฟป่า ลามมาถึงบ้านเรือนในชุมชนใกล้เคียง นักดับเพลิงพยายามควบคุมสถานการณ์ ไม่ใช่เพื่อปกป้องบ้านไว้ แต่เพื่อป้องกันไฟไม่ให้ลุกลามมากยิ่งขึ้น
ภาพถ่ายโดย Stuart Palley
ความเสียหายล่าสุดจากเหตุ ไฟป่า ครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์รัฐแคลิฟอร์เนีย ล่าสุดยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 80 ราย ในขณะที่ยอดผู้สูญหายลดจำนวนลงแล้ว 283 คน จากเดิมที่มีการประกาศว่าจำนวนผู้สูญหายมีมากถึง 1,276 คน ขณะนี้ไฟป่าเผาไหม้พื้นที่ไปแล้วมากกว่า 612 ตารางกิโลเมตร บ้านเรือนกว่า 10,500 หลัง ในเมือง Paradise ที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของรัฐได้รับความเสียหาย ในขณะเดียวกันไฟป่า Woolsey ที่เกิดขึ้นในฝั่งตะวันตกของนครลอสแอนเจลิสที่ลุกลามไปยังเขตชายฝั่ง และทางตอนใต้ก็ได้เผาทำลายอาคารบ้านเรือนไป 1,500 หลัง รวมพื้นที่ที่ได้รับความเสียหาย 392 ตารางกิโลเมตร
ด้านเจ้าหน้าที่ระดมกำลังอย่างเต็มที่ออกตามหาและช่วยเหลือผู้ประสบภัย ทว่าฝนที่ทางหน่วยงานพยากรณ์อากาศระบุว่ามีแนวโน้มที่จะตกลงมานั้นกำลังสร้างความกังวลใจ เนื่องจากเถ้าถ่านจากการเผาไหม้เมื่อผสมกับน้ำฝนแล้วจะส่งผลให้พื้นที่บริเวณนั้นๆ เกิดเป็นโคลนสร้างความยากลำบากในการทำงาน นอกจากนั้นน้ำฝนที่ตกผ่านเขม่าควันยังเป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายอีกด้วย
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2017 เมือง Ventura ของรัฐแคลิฟอร์เนียก็ได้รับผลกระทบจากไฟป่าที่เกิดในเดือนธันวาคม และในเดือนตุลาคม ปีเดียวกัน ไฟป่าได้ลุกลามคุกคามชาวเมือง Napa, Sonoma และ Mendocino ในสหรัฐอเมริกามีหลายรัฐที่ต้องเผชิญหน้ากับพายุเฮอร์ริเคน บางรัฐเผชิญกับพายุหิมะ แต่สำหรับที่แคลิฟอร์เนียแล้ว ไฟป่าคือมหันตภัยที่น่ากลัวที่สุด โดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ตั้งแต่เดือนกันยายนไปจนถึงเดือนพฤศจิกายน เหตุใดไฟป่าจึงเกิดขึ้นบ่อยครั้งในรัฐแคลิฟอร์เนีย?
สภาพอากาศและลม
แตกต่างจากรัฐอื่นๆ อีก 48 รัฐ รัฐแคลิฟอร์เนียมีสภาพอากาศแห้งแล้งที่ยาวนาน โดยเฉลี่ยเกิดขึ้นราว 6 เดือน ตั้งแต่ช่วงเดือนพฤษภาคม ไปจนถึงเดือนตุลาคม ยกตัวอย่างสองเมืองสำคัญอย่างลอสแอนเจลิส ในช่วงฤดูแล้งมีปริมาณฝนเฉลี่ย 1.3 นิ้ว ส่วนในซานฟรานซิสโก อยู่ที่ 2.25 นิ้ว ส่วนเมือง Paradise ที่เพิ่งได้รับผลกระทบจากไฟป่าไป เมื่อเดือนตุลาคมถึงต้นพฤศจิกายนที่ผ่านมามีปริมาณฝนเฉลี่ยเพียง 0.14 นิ้วเท่านั้น หรือคิดเป็น 3% ของปริมาณฝนที่ควรได้รับทั้งปี สภาพอากาศแห้งแล้งเช่นนี้ส่งผลให้พืชพรรณแห้งตาม และกลายเป็นเชื้อไฟอย่างดี ด้านผู้เชี่ยวชาญเชื่อมโยงสภาพแวดล้อมที่พร้อมสำหรับการติดไฟเข้ากับอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งส่งผลให้เกิดเหตุไฟป่าบ่อยครั้งขึ้น
บันทึกเหตุไฟป่าที่เกิดขึ้นในอดีตบ่งชี้ว่าภาวะโลกร้อนกำลังเป็นปัจจัยในเรื่องนี้ ตั้งแต่ปี 1932 ถึงปี 2000 มีเหตุไฟป่าครั้งใหญ่เพียง 10 ครั้งเท่านั้น หลังปี 2000 ถึงปี 2010 เกิดขึ้น 9 ครั้ง และตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมาเกิดไฟป่าครั้งใหญ่ขึ้นแล้ว 5 ครั้ง ส่วนในปีนี้เกิดมาแล้ว 2 ครั้ง โดยครั้งก่อนหน้าคือไฟป่า Mendocino Complex Fire ที่เพิ่งจบสิ้นไปเมื่อเดือนสิงหาคม
อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญคือลม ในฤดูใบไม้ร่วง รัฐแคลิฟอร์เนียมีลมประจำถิ่นนาม ลมซานตาแอนนา (Santa Anna) ลมร้อนและแห้งนี้จะพัดจากทิศตะวันออก ผ่านทะเลทรายและภูเขาเข้าสู่ทางตอนใต้ของรัฐ บริเวณที่ลมพัดผ่านจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่งนอกจากจะก่อให้เกิดความเสียหายต่อพืชผลทางการเกษตรแล้ว ลมเหล่านี้ยังพัดโหมกระพือให้กองไฟเล็กๆ ลุกลาม งานวิจัยในปี 2015 โดย Dr. Fengpeng Sun นักธรณีศาสตร์จากมหาวิทยาลัย Missouri Kansas City ร่วมกับทีมวิจัยพบว่า ไฟป่าในแคลิฟอร์เนียแบ่งเป็น 2 ประเภท หนึ่งคือเกิดในช่วงเดือนมิถุนายน ถึงเดือนกันยายน โดยมีสาเหตุหลักจากอากาศที่ร้อนและแห้ง ไฟลักษณะนี้จะลุกลามอย่างช้าๆ ส่วนสองเกิดในช่วงเดือนตุลาคม ถึงเดือนเมษายน จากอิทธิพลของลมซานตาแอนนา ไฟป่าที่เกิดจะลุกลามรวดเร็วกว่าแบบแรกถึง 3 เท่า และมักส่งผลกระทบต่อชุมชนใกล้ฝืนป่า
ทว่าอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ทวีความรุนแรงของไฟป่านอกเหนือจากธรรมชาติแล้วก็คือมนุษย์ มีหลายครั้งที่เหตุไฟป่าก่อนหน้าเป็นผลมาจากสายไฟที่ชำรุด หรืออุบัติเหตุอื่นๆ อีกทั้งการเลือกอยู่อาศัยใกล้กับฝืนป่ามากขึ้นก็ส่งผลทวีความรุนแรงของภัยพิบัติ เมื่อไฟลุกลามจากป่าเข้าสู่ชุมชน นักผจญเพลิงจึงดับไฟได้ยากขึ้นตาม ประกอบกับพื้นที่ของรัฐแคลิฟอร์เนียนั้นเป็นที่ราบสูงและหุบเขาทำให้ยากต่อการเข้าถึงไปอีกขั้น องค์ประกอบทั้งหมดทั้งมวลนี้ทำให้เหตุไฟป่าที่เกิดขึ้นหลายครั้งลุกลามเป็นวงกว้างเกินกว่าที่จะหยุดความเสียหายได้ทัน
สถานการณ์ไม่ปกติ
เมื่อเดือนธันวาคมปี 2017 ไฟป่า Thomas ที่เผาทำลายเมือง Santa Barbara และเมือง Ventura สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างถึง 1,139 ตารางกิโลเมตร ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นนี้รุนแรงมากที่สุดในประวัติศาสตร์รัฐแคลิฟอร์เนีย ด้านเจ้าหน้าที่ดับเพลิงระบุว่าพวกเขาไม่เคยพบเห็นอะไรเช่นนี้มาก่อน
แปดเดือนต่อมาไฟป่ากลับมาโหมกระพืออีกครั้ง ในนาม Mendocino Complex โดยครั้งนี้มาพร้อมกับทอร์นาโดไฟที่คร่าชีวิตนักดับเพลิงขณะปฏิบัติงานไป 2 ราย และล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คุณผู้อ่านคงได้ชมภาพความเสียหายจากไฟป่า Camp Fire กันมาบ้างแล้ว โดยเฉพาะกับความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเมือง Paradise ซึ่งนักดับเพลิงเล่าว่า พวกเขาไม่เคยพบเจอไฟป่าที่ลุกลามรวดเร็วเช่นนี้มาก่อน
ข่าวร้ายก็คือ ดูเหมือนว่าในอนาคตจะมีไฟป่าให้ได้ตั้งชื่อใหม่ๆ กันอีกมากมาย “ถ้าคุณอาศัยอยู่ในแคลิฟอร์เนีย นี่คือหลักฐานของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ชัดเจน” Daryl Osby หัวหน้าหน่วยดับเพลิงลอสแอนเจลิสกล่าว ระหว่างการแถลงข่าวความคืบหน้าของสถานการณ์เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ด้านนักวิทยาศาสตร์คาดว่า ในอนาคตฤดูใบไม้ร่วงมีแนวโน้มที่จะร้อนขึ้น และเกิดเร็วขึ้น ทั้งยังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากก๊าซเรือนกระจกที่กำลังปกคลุมชั้นบรรยากาศโลก ฉะนั้นชาวแคลิฟอร์เนียจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องวางแผนรับมือกับเหตุไฟป่าที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะสถานการณ์ไม่ปกติเหล่านี้กำลังจะเกิดบ่อยครั้งขึ้นจนเป็นความปกติที่บีบบังคับให้เราต้องรับมือในที่สุด
อ่านเพิ่มเติม
แหล่งข้อมูล
Why Does California Have So Many Wildfires?
How catastrophic fires have raged through California
Why California’s wildfires are so hard to fight
California wildfires: Concern over rain in search efforts
Why California’s Wildfires Are Most Destructive in Fall
Photos: What it’s like to fight deadly wildfires