ป่าไม้ไทย – ปลาย พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 หรือ COP26 ที่เมืองกลาสโกว์ สกอตแลนด์ สหราชอาณาจักร พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ผู้เป็นตัวแทนประเทศไทย ไม่ลงนามในปฏิญญากลาสโกว์ของผู้นำด้านป่าไม้และการใช้ประโยชน์ที่ดิน อันเป็นคำประกาศให้คำมั่นที่จะยุติการตัดไม้ทำลายป่าและฟื้นฟูป่าไม้ ภายในปี 2030 หรือ พ.ศ. 2573
แม้ที่ผ่านมาไทยได้ลงนามและทำความตกลงในการปกป้องรักษา พื้นที่ป่ามาแล้วหลายครั้ง และการไม่ลงนามในการประชุมดังกล่าวเป็นข้อติดขัดด้านขั้นตอนซึ่งต้องผ่านมติคณะรัฐมนตรีก่อน และอาจมีการลงนามในอนาคตได้อีก แต่ก็ทำให้เกิดข้อกังขาและกระแสการตั้งคำถามถึงสถานการณ์ ป่าไม้ไทย ท่ามกลางวิกฤติต่างๆ ดังที่ปรากฏในสื่อต่าง ๆ ณ ช่วงเวลานั้น
ในเว็บไซต์ของมูลนิธิสืบนาคะเสถียร กราฟแสดงสถิติพื้นที่ป่าไม้ของประเทศไทยระหว่าง พ.ศ. 2504 ถึง 2562 ทำ ให้เห็นได้คร่าวๆ ว่า เมื่อ 60 ปีที่แล้ว ไทยมีป่าอยู่ราวครึ่งหนึ่งของประเทศ (ร้อยละ 53.22) แต่ลดลงเหลือร้อยละ 31.68 ใน พ.ศ. 2562 และองค์กรโกลบอล ฟอเรสต์วอตช์ (Global Forest Watch: GFW) รายงานว่า ไทยสูญเสียพื้นที่ป่าธรรมชาติไป 1,190 ตาราง กิโลเมตร หรือ 743,750 ไร่ ซึ่งสำนักจัดการที่ดินป่าไม้ กรมป่าไม้ ระบุในปีเดียวกันว่า ไทยเหลือป่าอยู่ร้อยละ 31.64
เราอาจแบ่งสถานการณ์ของป่าไม้ไทยได้เป็นสองช่วง ช่วงแรกตั้งแต่ พ.ศ. 2504 ถึง 2541 แสดงการลดลงอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จาก 171.02 ล้านไร่ เหลือ 81.08 ล้านไร่ หรือหายไปกว่าครึ่งภายในเวลาไม่ถึง 40 ปี ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นห้วงยามของการเร่งพัฒนาประเทศตามแนวทางที่ระบุในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรกๆ ซึ่งเน้นการสร้างงาน สร้างรายได้ สนับสนุนการบุกเบิกที่ดินเพื่อเพาะปลูกและส่งผลผลิตสู่ต่างประเทศ ตลอดจนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคเพื่อขยายความเจริญจากเมืองสู่ชนบท ทรัพยากรธรรมชาติจึงถูกใช้ประโยชน์อย่างหนักหน่วง ประเทศเริ่มทำสัมปทานป่าไม้ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2496 จากโครงการชั่วคราวระยะสั้น แล้วค่อยๆ พัฒนาเป็นสัมปทานระยะยาวโดยมี การเลือกตัดไม้ตามหลักวิชาการ
ศศิน เฉลิมลาภ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียรอธิบายว่า ตั้งแต่ พ.ศ. 2504 เป็นต้นมา มากกว่าร้อยละ 90 ของพื้นที่ป่าไม้ที่หายไปเป็นผลจากการแผ้วถางเพื่อใช้เป็นพื้นที่เกษตรกรรม โดยหลักการแล้วสัมปทานไม่ทำให้เราสูญเสียพื้นที่ป่าโดยตรงเพราะเลือกตัดเฉพาะไม้ใหญ่ แต่เส้นทางชักลากไม้ออกจากพื้นที่สัมปทานต่างหากที่ส่งผลข้างเคียงรุนแรงกว่า ความที่เอื้อให้ประชาชนหรือคนงานตัดไม้เห็นโอกาสเปิดพื้นที่ทำกินที่ใหม่ๆ โดยตัดไม้เล็กเพื่อเผาถ่าน จากนั้นจึงแผ้วถางพื้นที่เพื่อตั้งหมู่บ้านและเพาะปลูก “ตรงไหนเป็นพื้นที่สัมปทานก็จะมีการบุกเบิกตั้งชุมชนใหม่ๆ เสมอ” ศศินกล่าว “ยุคนั้นยังไม่มีการดูแลอย่างเข้มงวด รัฐไม่มีกำลังเจ้าหน้าที่ที่จะดูแลป่า การถางป่าเพื่อจับจองที่ดินค่อนข้างเป็นเรื่องปกติ เพราะนโยบายป่าไม้ช่วงก่อน พ.ศ. 2530 ไม่ใช่การอนุรักษ์ แต่พุ่งเป้าที่การใช้ประโยชน์ป่าไม้ทางตรง”
แม้จะพยายามกำหนดเงื่อนไขสัมปทานให้รัดกุม แต่ผลลัพธ์กลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม ช่วงปลายปี พ.ศ. 2531 เกิดเหตุนํ้าท่วมฉับพลันในหลายจังหวัดทางภาคใต้ นํ้าป่าที่ไหลทะลักลงมาจากภูเขาพร้อมท่อนซุงจำนวนมากไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน แต่ยังเผยให้เห็นหลักฐานการทำลายป่าในนามของสัมปทานป่าไม้ นำมาซึ่งการยกเลิกสัมปทานป่าไม้ทั่วประเทศใน พ.ศ. 2532
สำหรับสถานการณ์ป่าไม้ไทยในช่วงที่สอง คือตั้งแต่ พ.ศ. 2543 ถึง 2564 นั้น มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับช่วงแรก โดยเฉพาะสิบปีที่ผ่านมา สัดส่วนพื้นที่ป่าไม้ทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 31-32 หรือประมาณ 102 ล้านไร่ คือเพิ่มขึ้นหรือลดลงในระดับไม่เกินร้อยละ 0.1 ต่อปี ศศินให้เหตุผลว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะป่าที่มีลักษณะกายภาพหรือภูมิประเทศเหมาะสมต่อการใช้งานเป็นพื้นที่เกษตรกรรม เช่น ที่ราบ เนินเขาเตี้ยๆ นั้นถูกแผ้วถางไปจนหมดสิ้นตั้งแต่ก่อน พ.ศ. 2550 แล้ว เหลือก็เพียงพื้นที่ซึ่งมีความลาดชันมากเกินไปจนไม่เหมาะจะใช้ประโยชน์อื่นใด นอกจากคงสภาพป่าไม้ไว้เช่นเดิม
การมีป่าไม้ร้อยละ 40 ของพื้นที่ประเทศคือเป้าหมายที่กำหนดโดยคณะกรรมการป่าไม้แห่งชาติตั้งแต่ พ.ศ. 2528 ผ่านมา จนถึงนโยบายป่าไม้แห่งชาติฉบับล่าสุด ซึ่งคณะรัฐมนตรีอนุมัติเห็นชอบไปเมื่อปลายปีพ.ศ. 2562 ก็ยังยืนยันตัวเลขเดิม โดยแบ่งออกเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ร้อยละ 25 หรือ ประมาณ 81 ล้านไร่ และพื้นที่ป่าเศรษฐกิจและป่าชุมชนอีกร้อยละ 15 หรือ 48 ล้านไร่ แต่ด้วยสถานการณ์ป่าไม้ที่เป็นอยู่ ย่อมเกิดคำถามที่ว่าจะเป็นไปได้เพียงใด
พิจารณาส่วนแรกคือป่าอนุรักษ์ก่อน ส่วนที่ได้รับการประกาศตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติพ.ศ. 2562 และพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ซึ่งอยู่ในความดูแลรับผิดชอบของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ตอนนี้มีพื้นที่รวมประมาณ 73 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 22.6 ของพื้นที่ประเทศ
แต่มีพื้นที่ป่าสงวนอีกประมาณ 7.7 ล้านไร่ ซึ่งกำลังอยู่ ในกระบวนการส่งมอบจากกรมป่าไม้มาอยู่ภายใต้การดูแลของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ซึ่งเมื่อ รวมกับพื้นที่ป่าอนุรักษ์แล้ว ก็จะครบร้อยละ 25 ภายใน พ.ศ. 2569 การเพิ่มพื้นที่ป่าไม้ที่เหลือให้ได้ตามเป้าหมายจึงอยู่ที่การเพิ่มพื้นที่ป่าเศรษฐกิจและป่าชุมชนในความรับผิดชอบของกรมป่าไม้
ศศินให้ความเห็นว่า มีส่วนของพื้นที่คงสภาพป่าประมาณร้อยละห้าถึงเจ็ดที่สามารถขึ้นทะเบียนเป็นป่าชุมชนได้ ถ้าคณะกรรมการป่าไม้แห่งชาติพิจารณาแล้วยอมรับให้ป่าชุมชนเป็นอีกนิยามหนึ่งของป่าเศรษฐกิจ คือสามารถเก็บเห็ดหาหน่อไม้ได้ แต่ห้ามตัดเพื่อใช้เนื้อไม้ในการสร้างบ้านก็จะได้พื้นที่ป่าส่วนนี้เพิ่มขึ้นมา ส่วนอีกประมาณร้อยละ 10 ต้องฝากความหวังไว้กับป่าเศรษฐกิจ ซึ่งนับรวมเอา “สวนป่า” ที่ปลูกไม้ยืนต้นหรือไม้มีราคา เช่น สัก พะยูง เข้าไว้ด้วย
ปัจจุบันไทยยังไม่นับรวมเอาพื้นที่เพาะปลูกพืชเกษตรที่อายุยืน เช่น มะม่วง ยางพารา ปาล์มนํ้ามัน เป็นป่าเศรษฐกิจ ดร.คงศักดิ์ มีแก้ว ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านวิจัยการจัดการป่าไม้ สำนักวิจัยและพัฒนาการป่าไม้ กรมป่าไม้ อธิบายว่า แม้จะเป็นพื้นที่สีเขียวที่มีต้นไม้ปกคลุมเหมือนกัน แต่กรณีของยางพารา การจัดการสวนยางพารามีรายละเอียดแตกต่างกับการจัดการสวนป่าอย่างชัดเจน หากจะนับรวมพื้นที่ส่วนนี้เป็นป่าเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มตัวเลขพื้นที่ป่าของประเทศ ก็จำเป็นที่นักวิชาการต้องหารือกันศึกษารายละเอียดอย่างรอบคอบ และกำหนดแนวทางการจัดการที่ชัดเจนเสียก่อน
หากพูดถึงคดีเกี่ยวกับป่าไม้และสัตว์ป่าจากการรายงานของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และ พันธุ์พืช ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2564 ถึง 31 มีนาคม พ.ศ. 2565 มีคดีรวม 651 คดี ต้องนับว่าพุ่งสูงขึ้นกว่าในช่วงปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 ซึ่งมี175 คดี เกือบสี่เท่า ในขณะที่ช่วงห้าปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2561 ถึง 2565) กรมอุทยานฯได้รับงบประมาณลดลงทุกปี และลดลงมากที่สุดในปีนี้ โดยลดงบประมาณสำหรับดูแลป่าลงร้อยละ 47 ประกอบกับรายได้จากค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานแห่งชาติลดลงมาตลอดในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด 19 ทำให้ต้องเลิกจ้างเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าลงครึ่งหนึ่ง และมีการปรับลดเงินเดือนในส่วนที่เหลือ ทั้งที่เดิมเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าหนึ่งคนต้องดูแลพื้นที่ป่ามากกว่า 10,000 ไร่ จนในภายหลังมีการ ขออนุมัติงบกลางเพื่อจ้างงานผู้พิทักษ์ป่าต่อไปอีกเจ็ดเดือน
ประเทศไทยเคยร่วมลงนามและให้สัตยาบันในข้อตกลง ระหว่างประเทศด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศมาแล้วไม่น้อย แต่ในทางปฏิบัติ ภาครัฐเองกลับมีโครงการพัฒนาขนาดใหญ่โดยเฉพาะอ่างเก็บนํ้า ซึ่งต้องขอใช้พื้นที่ป่า รวมทั้งป่าอนุรักษ์ อีกหลายสิบโครงการซึ่งอาจนำ ไปสู่ภัยคุกคามต่อป่าได้โดยตรง
ไม่เพียงเท่านั้น โครงการต่างๆ ที่ได้ชื่อว่าทำเพื่อฟื้นฟูธรรมชาติ แต่หลายกรณียิ่งทำให้เกิดความเสียหายทำลายธรรมชาติมากกว่าเดิม ดร.เพชร มโนปวิตร นักวิทยาศาสตร์ด้านการอนุรักษ์ ตั้งข้อสังเกตต่อเรื่องนี้ว่า “โครงการ ฟื้นฟูป่าหลายโครงการที่ทำในนามการฟื้นฟูธรรมชาติ แต่ทำไปโดยไม่เข้าใจสภาพตามธรรมชาติ เช่น เป็นโครงการปลูกป่า แต่กลับถางป่าเดิมออก แล้วปลูกต้นไม้ใหม่ให้เป็นแถว หรือทำฝายเพิ่มให้ได้จำนวนตามค่าตัวชี้วัด เพราะพอเห็นนํ้าในลำธารแห้ง แล้วคิดว่าต้องทำฝายเสมอ การฟื้นฟูลักษณะนี้ยิ่งเป็นการซํ้าเติมผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”
ดร.เพชรเสนอว่า การฟื้นฟูป่าควรมีความเข้าใจสภาพของธรรมชาติตามหลักวิชาการ มีหลักเกณฑ์การฟื้นฟูอย่างถูกต้อง และยังเห็นว่าปัจจุบันเอกชนและประชาชนเริ่มเข้ามามีส่วนอนุรักษ์หรือปรับพื้นที่เสื่อมโทรมบางแห่งให้กลายเป็นพื้นที่อนุรักษ์ เช่น พื้นที่ชุ่มนํ้า เพิ่มขึ้นหลายแห่ง จนมีพืชและสัตว์ประจำถิ่นที่เคยหายไปกลับเข้ามาอยู่อาศัย และหากมองในเชิงพื้นที่สีเขียวที่มากกว่าป่าไม้ ประเทศไทยเริ่มมีการตื่นตัวในการสร้างพื้นที่ดังกล่าวมากขึ้น
เรื่อง ฐิตินันท์ ศรีสถิต และ นิรมล มูนจินดา
ภาพถ่าย เริงชัย คงเมือง
ติดตามสารคดี สำรวจป่าไม้ไทยในความเปลี่ยนแปลง ฉบับสมบูรณ์ได้ที่นิตยสาร เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย เดือนพฤษภาคม 2565
สั่งซื้อนิตยสารได้ที่ https://www.naiin.com/product/detail/546555