เชื่อมวิศวกรรมสู่สังคม ภารกิจพื้นที่เปราะบางของธนาคารโลก เพื่อสร้างชุมชนรับมือสภาพภูมิอากาศ

ถอดรหัสกลุ่มเปราะบางจากความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในไทย โดยหลักการจัดการทรัพยากร ผสมเข้ากับมิติทางสังคม ซึ่งเป็นงานที่ธนาคารโลกจัดทำในหลายประเทศทั่วโลก

ฝนที่ตกหนักจนน้ำท่วมเฉียบพลัน,อากาศที่ร้อนสุดขั้ว,น้ำในเขื่อนและแหล่งน้ำธรรมชาติลดลงอย่างมากจนทำเกษตรกรต้องเผชิญปัญหาขาดน้ำ, การกัดเซาะชายฝั่งอย่างต่อเนื่องจนชาวบ้านต้องย้ายที่อยู่อาศัย

พลันที่เราได้ยินข่าวทำนองนี้สิ่งแรกที่นึกถึงคือการมีหน่วยงานเข้าไปในพื้นที่เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแบบเฉพาะหน้า ก่อนจะมีมาตรการรัฐเพื่อเข้าไปช่วยเหลือทั้งในระยะสั้น กลาง และยาว

ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร หากหัวใจของปัญหานี้ คือการเตรียมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ (Climate change adaptation ) ที่กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) เคยรายงานว่า ผลกระทบและความเสี่ยงที่เชื่อมโยงกับสภาพภูมิอากาศ ครอบคลุมทั้งสภาพอากาศสุดขั้วที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน และเหตุการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างช้า ๆ เช่น การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล ปรากฏการณ์ทะเลกรด ขณะที่ความสูญเสียและความเสียหายมีความแตกต่างกัน ทั้งฟื้นคืนสู่ปกติ และไม่สามารถฟื้นคืนสู่สภาพปกติได้ เช่น การสูญเสียชีวิตจากคลื่นความร้อนรุนแรง การที่ปะการังถูกทำลายอย่างถาวร โดยในจำนวนนี้มีประเทศไทยที่ ดัชนีความเสี่ยงด้านภูมิอากาศ ปี 2568 (Climate Risk Index 2025) โดย German Watch ระบุว่า ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 30 ประเทศเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ในโจทย์ของการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มีตัวแปรหนึ่งที่สำคัญ นั่นคือกลุ่ม คนเปราะบาง  ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ เด็กเล็ก ผู้มีรายได้น้อย หรือผู้พิการ โดยที่กลุ่มเหล่านี้คือผู้ที่ต้องเผชิญผลกระทบจากภัยพิบัติทางธรรมชาติและภาวะอากาศสุดขั้วอย่างรุนแรง เมื่อประสบเหตุแล้วมีโอกาสสูงที่จะกลับมาใช้ชีวิตแบบเดิมได้ยาก แต่คำถามคือในขณะที่เรากำลังเผชิญกับความเสี่ยงด้านสภาพอากาศ เราได้เตรียมระบบรองรับเพื่อช่วยเหลือพวกเขาไว้มากแค่ไหน?

รายงานการศึกษาล่าสุดของยูนิเซฟ ซึ่งจัดทำโดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ระบุว่า เด็กในประเทศไทยกำลังเผชิญความเสี่ยงสูงต่อผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลต่อความมั่นคงของกลุ่มคนเปราะบางโดยตรง ทั้งมีข้อจำกัดในการปรับตัว (Adaptive Capacity) ตัวอย่างเช่น กลุ่มเด็ก ซึ่งกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) ระบุว่า เมื่อปี 2564 ประเทศไทยถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 50 จาก 163 ประเทศ ที่เด็กมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบ กลุ่มผู้สูงอายุและคนพิการ มีข้อจำกัดทางการเคลื่อนไหวและสุขภาพ กลุ่มผู้มีรายได้น้อย ซึ่งขาดแคลนในทุกมิติ อาทิ ทรัพยากรทางการเงิน ทำให้ไม่สามารถย้ายที่อยู่อาศัยไปยังพื้นที่ที่ปลอดภัย ไม่สามารถเข้าถึงโครงสร้างสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน

“อธิบายให้เห็นภาพได้ว่า กลุ่มเปราะบาง ภัยพิบัติครั้งหนึ่งสร้างความเสียหายกับฐานะทางเศรษฐกิจมาก ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะฟื้นตัวกลับมาจุดเดิม มีไม่น้อยที่ชีวิตต้องล้มละลายไป ยกตัวอย่าง กลุ่มเปราะบางในภาคการเกษตรที่ก่อนหน้านี้ต้นทุนในการผลิตต้องไปกู้ยืมมาอยู่แล้ว แต่มาเจอภัยแล้งอีก ก็กลายเป็นว่าหนี้เดิมยังไม่ได้ใช้ แต่ต้องไปก่อหนี้ใหม่อีก” ผศ.ดร.พงษ์ศักดิ์ สุทธินนท์ อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ อธิบาย

ผศ.ดร.พงษ์ศักดิ์ สุทธินนท์ อาจารย์ภาควิชาวิศวกรรมแหล่งน้ำ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วิศวกรรรมน้ำ กลุ่มคนเปราะบาง และสภาพอากาศสุดขั้ว

เรามักคุ้นเคยกับวิศวกรแหล่งน้ำ ในบทบาทของการก่อสร้าง บริหารจัดการแหล่งน้ำ เช่น เขื่อน ระบบชลประทาน ทว่า ผศ.ดร.พงษ์ศักดิ์ คือทีมงานที่ร่วมพัฒนาจัดทำข้อมูลกับแผนที่ภัยพิบัติ  ร่วมกับ ธนาคารโลก และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยนำเอาหลักการจัดการทรัพยากร ผสมเข้ากับมิติทางสังคม ซึ่งเป็นงานที่ธนาคารโลกจัดทำในหลายประเทศทั่วโลก

ธนาคารโลกได้สำรวจความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย สภาพอากาศสุดขั้ว (extreme weather) กลายเป็นสถานการณ์ที่เราต้องเผชิญในแต่ละวัน ทั้งในรูปแบบฝนที่ตกอย่างหนักแบบผิดปกติ ฤดูแล้งที่ยาวนานขึ้น รวมถึงการกัดเซาะชายฝั่งที่ทำให้ชาวบ้านต้องย้ายถิ่นฐานโดยไม่เต็มใจ

แน่นอนว่าความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนี้ไม่ได้มาแค่ภัยธรรมชาติ แต่มาพร้อมกับความเสี่ยงและผลกระทบที่ทำให้วิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไป มีผู้คนไม่น้อยต้องยากจนลง มีหนี้สินเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ความแข็งแรงของชุมชนยังไม่เพียงพอที่จะรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้น วังวนของผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนสภาพภูมิอากาศและภัยพิบัติที่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อผู้คนและชุมชน และนับวันจะยิ่งรุนแรงมากขึ้นทำให้เกิดคำถามถึงการแก้ไขปัญหาในระยะยาว

กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ธนาคารโลก คณะวิศวกรรมศาสตร์ และวิทยาลัยประชากรศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ร่วมมือกันจัดทำแผนที่ความเสี่ยงของกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติหลักของประเทศไทยขึ้น ซึ่งรวมถึงความเสี่ยงใหม่จากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อเป็นข้อมูลและแนวทางให้หลายภาคส่วนใช้ในการวางแผนเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไป

“ประเทศไทยมีกลุ่มเปราะบางอยู่หลากหลาย มีการเก็บข้อมูลโดยหลายหน่วยงานตามภาระกิจของตน นิยามของกลุ่มเปราะบางก็แตกต่างกันไป ยังไม่ได้มีการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นระบบ ในขณะนี้ทางกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์รายงานว่ามีกลุ่มเปราะบางราว 18.4 ล้านคนในประเทศไทย ซึ่งทางกระทรวงกำลังดำเนินการประสานข้อมูลในเรื่องนี้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีก 29 หน่วยงาน   ประเด็นคือกลุ่มคนเปราะบางเหล่านี้อยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยมากน้อยแค่ไหน กลุ่มคนที่ไม่เปราะบางแต่มีความเสี่ยงเพราะอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยและอาจจะกลายเป็นคนเปราะบางหลังภัยพิบัติมีมากน้อยแค่ไหน อยู่ที่ใดบ้าง ความร่วมมือในครั้งนี้ เราใช้การทำแผนที่ความเสี่ยงและความเปราะบาง นำไปสู่การชี้เป้าพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง เพื่อทราบจำนวนประชากร ลักษณะสภาพเศรษฐกิจและสังคมของประชากร เพื่อเสริมการจัดทำแผนการจัดการภัยพิบัติให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะการดูแลกลุ่มเปราะบาง ทั้งก่อน ระหว่างและหลังเกิดภัยพิบัติ” ภมรรัตน์ ตันสงวนวงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาสังคมอาวุโส ธนาคารโลก อธิบาย

ธนาคารโลก มองเห็นการพัฒนาแผนรับมือภัยธรรมชาติจากความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยเน้นไปที่การปรับตัวของชุมชนและกลุ่มเปราะบางเมื่อเกิดภัยธรรมชาติใน 4 ประเด็นหลัก ทั้ง น้ำท่วม  ภัยแล้ง กัดเซาะชายฝั่ง และสภาพอากาศที่ร้อนสุดขั้ว (Extreme heat)  โดยเอามิติทางวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ การจัดการทางวิศวกรรมมาผสานเข้ากับมิติทางสังคม เพื่อหาหลักฐานให้กับรัฐบาลว่า หากเกิดเหตุขึ้น ประชาชนกลุ่มใดได้รับผลกระทบและจะสร้างการทำงานร่วมกับองค์กรท้องถิ่นที่มีอยู่ในการจัดการอย่างไร

ภมรรัตน์ ตันสงวนวงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาสังคมอาวุโส ธนาคารโลก

กระบวนการนี้เกิดขึ้นผ่านการวิจัยที่มีการลงพื้นที่ชุมชน พร้อม ๆ กับใช้หลักการทำแผนที่ข้อมูลแบบวิศวกรรม ที่ใช้ทั้งเทคโนโลยีดาวเทียม การจำลองสถานการณ์ภัยแล้ง ผนวกกับมิติทางสังคม เพื่อศึกษาผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อประชาชนและชุมชนอย่างไร

“ทีมทำงานของคณะวิศกรรมศาสตร์ จุฬานิยามกลุ่มเปราะบางว่าเป็นไข่แดง คนกลุ่มคือกลุ่มที่อ่อนไหวมากเมื่อยามต้องเกิดภัยพิบัติ ก่อนหน้านี้แต่ละหน่วยงานมีนิยามคำว่ากลุ่มเปราะบางที่ไม่เหมือนกัน บางองค์กรมองผู้สูงอายุ บางองค์กรมองผู้พิการ เด็ก คุณแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือแม้กระทั่งกลุ่มชาติพันธุ์ขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นหน่วยงานไหน เราทำ Mapping เพื่อทำฐานข้อมูลที่รวมกัน เพื่อค้นหาแนวทางว่า หากเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ คนกลุ่มไข่แดงนี้จะสามารถปรับตัว อยู่รอดปลอดภัยได้ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างไร” ผศ.ดร.พงษ์ศักดิ์ กล่าวและว่า ในฐานะวิศวกรที่เคยชินกับการทำเรื่องน้ำ ภัยแล้ง เคยทำโปรเจคที่เป็นวิทยาศาสตร์และมองเฉพาะส่วนที่เป็นโครงสร้างที่เป็นกายภาพ แต่โปรเจคนี้คือการเอามิติทางสังคมมาประกอบ จึงต้องวิเคราะห์ทั้งชั้นที่เป็นกลุ่มเปราะบางในแต่ละประเภท ผนวกเข้ากับการจำลองสถานการณ์ด้าน Climate Change

โมเดลความพร้อมในการรับมือความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Resilience)

ลองจินตนาการถึงฝนที่ตกทั้งคืนจนต้องย้ายออกจากบ้านกลางดึก คลื่นความร้อนที่ทำให้ไม่สามารถพักอาศัยอยู่ที่เดิมได้ นี่คือภาพตัวอย่างของปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น หากยังไม่แผนเพื่อเตรียมการรับมือกับภัยพิบัติที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ การมีฐานข้อมูลนี้จะนำไปสู่ แนวความคิดที่จะตั้งศูนย์ช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางและผู้ได้รับผลกระทบ ที่เกิดจากความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การใช้เวลาไม่เกิน 15 นาที เพื่อเข้าช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง โดยกลุ่มอาสาสมัครท้องถิ่นซึ่งเป็นแนวหน้าในการช่วยเหลือคนในชุมชน

“ถ้าชุมชนไหนมีผู้ป่วยติดเตียง ศูนย์นั้นก็จะมีอุปกรณ์สำหรับสิ่งนั้น หรือถ้าชุมชนไหนมีคุณแม่ มีเด็กเล็ก เขาจะมีสต็อกผ้าอ้อม นมผง ยารักษาโรค ฯลฯ ที่แตกต่างไปในแต่ละแห่ง เพราะข้อมูลกลุ่มเปราะบางที่มีในพื้นที่ จะบอกถึงจำนวนและความต้องการที่แท้จริง ทำให้มีการจัดการเฉพาะ” ผศ.ดร.พงษ์ศักดิ์ ยกตัวอย่าง

ผศ.ดร.พงษ์ศักดิ์ อธิบายเพิ่มว่า โครงสร้างการตั้งศูนย์ตั้งรับความเสี่ยง และแผนการจัดการภัยธรรมชาติ ในรูปแบบเดียว ไม่ได้เหมาะกับทุกชุมชน และในแต่ละช่วงเวลาเองต้องมีแผนที่แตกต่างกัน

ตัวอย่างเช่น 1.ขั้นเตรียมตัว ที่ต้องมีการเตรียมอุปกรณ์เฉพาะ การแบ่งหน้าที่รับผิดชอบของคนในชุมชน 2.ขั้นเกิดภัย ที่มีการดูแล เตรียมอาหาร น้ำ การให้ความช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบภัยในพื้นที่ ผ่านระบบปฏิบัติการออนไลน์ (Online Operation System : OOS) และ 3. หลังเกิดเหตุที่ต้องออกแบบสวัสดิการที่จะช่วยให้คนเปราะบางลุกขึ้นและใช้ชีวิตต่อได้

ทีมงานที่ร่วมพัฒนาจัดทำข้อมูลกับแผนที่ภัยพิบัติ  ร่วมกับ ธนาคารโลก และกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยนำเอาหลักการจัดการทรัพยากร ผสมเข้ากับมิติทางสังคม ซึ่งเป็นงานที่ธนาคารโลกจัดทำในหลายประเทศทั่วโลก

การศึกษาภัยโลกร้อน 3 รูปแบบ

Data จากการทำวิจัยนี้ จะถูกนำไปเสนอเป็นรายงานมิติทางสังคมกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ Social Dimensions of Climate Change (SDCC) ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการวางแผนการดำเนินงาน การจัดสรรงบประมาณ และการบริหารบุคคล ซึ่งจะนำไปสู่การดำเนินงานแบบพุ่งเป้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ความเปลี่ยนแปลงหลังจากการมีแผนจะเห็นตั้งแต่สิ่งของภายในถุงยังชีพที่จะเปลี่ยนไปตามบริบทของชุมชนรวมถึงมิติหญิงชายของชุมชน การมีศูนย์บรรเทาความเดือดร้อนที่สามารถทำงานได้ตั้งแต่ชั่วโมงแรกที่สถานการณ์ไม่ปกติ รวมไปถึงการพัฒนาศักยภาพและทักษะอาชีพที่สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ สิ่งสำคัญที่เราได้จากการสำรวจคือ ชุมชนที่รับมือกับภัยที่เกิดจากสภาพภูมิอากาศได้ดีคือชุมชนที่มี Frontline ซึ่งหมายถึงผู้นำชุมชน องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นที่เข้มแข็ง เรานำเสนอกระทรวงพม. เพื่อให้แต่ละชุมชนที่มีความเสี่ยงมีรูปแบบที่สามารถตั้งศูนย์รับมือในแบบของตัวเองเพื่อให้การช่วยเหลือสามารถทำได้ทันที โดยไม่ต้องรอคำสั่งจากรัฐบาลกลาง”

ที่ผ่านมา ทีมงาน ได้ลงพื้นที่ศึกษาใน ชุมชน 3 แห่ง ได้แก่ จ. เชียงใหม่ ซึ่งเป็นตัวแทนของการน้ำหลากและดินสไลด์ จ.สุโขทัย ซึ่งเป็นชุมชนที่เกิดน้ำแล้งและน้ำท่วม และ จ.สงขลา ที่ถูกผลกระทบกับการกัดเซาะชายฝั่ง

ดร.ศุทธนา วิจิตรานนท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาสังคม ธนาคารโลก หัวหน้าทีมวิจัยซึ่งทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่กระทรวง พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ วิทยาลัยประชากรศาสตร์และชุมชนใน 4 พื้นที่ ใน 3 จังหวัด บอกว่า บริบทของชุมชนในแต่ละที่แตกต่างกัน ข้อเสนอของรายงานนี้จึงเน้นไปที่หน่วยงานแนวหน้าที่อยู่และใกล้ชิดชุมชน เช่น  การปฏิบัติงานของอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) หรือผู้บริบาลผู้สูงอายุ หรือหน่วยงานสังกัดกระทรวง พม. การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงที่อยู่อาศัย ที่สนับสนุนให้กลุ่มเปราะบางสามารถรับมือและปรับตัวได้ และทำงานร่วมกับเครือข่าย เช่น องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และเครือข่ายภาคประชาชน

ดร.ศุทธนา วิจิตรานนท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาสังคม ธนาคารโลก

สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องมีนโยบายระยะยาวสำหรับการดูแล ไม่เฉพาะแต่กรณีที่เกิดเหตุขึ้นฉับพลัน ในลักษณะภัยพิบัติเท่านั้น แต่รวมถึงเหตุการณ์ที่ค่อย ๆ เกิดขึ้น (Slow Onset Events) เช่น อุณหภูมิค่อย ๆ สูงขึ้น หรือระดับน้ำทะเลค่อย ๆ ยกระดับขึ้น หรือสภาพอากาศร้อน หนาว ฝน แล้ง ค่อย ๆ ปรับรูปแบบ หรือค่อยๆ ทวีความรุนแรงขึ้น

จากการร่วมมือกันระหว่าง 3 หน่วยงาน ทำให้ค้นพบ “ไข่แดง” หลักฐานเชิงประจักษ์ของจำนวนกลุ่มคนเปราะบาง และหน้าตาของปัญหาที่เกิดจริงในพื้นที่

รายงานและการวิจัยนี้ คือสารตั้งต้นที่จะนำไปสู่วางแผนแก้ปัญหาที่นับวันยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และส่งผลเป็นห่วงโซ่ต่อการดำรงชีวิต การประกอบอาชีพ และคุณภาพชีวิตของผู้คน โดยเฉพาะคนยากจนและกลุ่มคนเปราะบางที่ไม่ได้เป็นกลุ่มที่เป็นต้นเหตุหลักของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่ต้องรับผลกระทบสูงสุด ข้อมูลนี้อาจช่วยสร้างโมเดลที่จะเป็นเบาะรองรับให้พวกเขาสามารถลุกขึ้นมาได้ ในวันที่โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

กองบรรณาธิการ National Geographic ฉบับภาษาไทย

ที่มา

https://www.thaigov.go.th

IPCC. (2021). Climate Change 2021

Germanwatch

https://www.unicef.org/thailand/th


อ่านเพิ่มเติม : ดร.กรรณิการ์ ธรรมพานิชวงค์ ถอดทักษะ Climate Adaptation ปรับตัวอย่างไรเมื่อเศรษฐกิจปั่นป่วนเพราะโลกไม่เหมือนเดิม

© COPYRIGHT 2025 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.