นักวิทยาศาสตร์เตือน ทะลเลทั่วโลกจะเข้าสู่จุดวิกฤตที่รุนแรงสุดในประวัติศาสตร์ ในปี 2050

“มนุษย์กำลังเปลี่ยนแปลงทะเลและผลกระทบจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายในปี 2050

นี้จนระบบนิเวศบางแห่งจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”

ทะเลผืนน้ำสีฟ้ากว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาคอยหล่อเลี้ยงมนุษย์มานานนับหมื่นนับพันปี เป็นทั้งชีวิต อาหาร แหล่งพักผ่อนหย่อนใจ ธุรกิจ สุขภาพ และการท่องเที่ยว เราเคยคิดว่าทะเลและมหาสมุทรเหล่านี้ยิ่งใหญ่เกินกว่าที่ถูกรบกวนได้ แต่ความเป็นจริงแล้วผืนน้ำนี้กลับอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นบนโลก

กิจกรรมของมนุษย์กำลังเปลี่ยนแปลงทะเลและแนวชายฝั่งทั่วโลกอย่างลึกซึ่ง ในไม่ช้า ระบบนิเวศทางทะเลหลายแห่งอาจเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงและตลอดไป ตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ การทำประมงเกินขนาด ภาวะกรด และการปรับภูมิทัศน์ของชายฝั่ง ทั้งหมดได้สร้างความเปราะบางให้กับทะเลทั่วโลก

“มันเหมือนความตายที่ถูกเฉือนแล้วเฉือนอีกเป็นพัน ๆ ครั้ง” เบน ฮาลเพิร์น นักชีววิทยาทางทะเลและนักนิเวศวิทยาจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาบาร์บารา และหนึ่งในผู้เขียนผลการศึกษาใหม่นี้ กล่าว “มันจะกลายเป็นชุมชนของสิ่งมีชีวิตที่อุดมสมบูรณ์น้อยลง และมันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราเคยเห็นมา” 

ตามรายงานใหม่จากศูนย์วิเคราะห์และสังเคราะห์ระบบนิเวศแห่งชาติสหรัฐฯ (NCEAS) และมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานตาบาร์บารา (UCSB) ซึ่งเผยแพร่บนวารสาร Science ได้พยายามสร้างแบบจำลองผลกระทบที่เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ โดยรวบรวมจากงานวิจัยตั้งแต่ปี 2008 

ทีมวิจัยได้สังเคราะห์ชุดข้อมูลทั่วโลก 17 ชุดเพื่อทำแผนที่ความรุนแรงและขอบเขตของกิจกรรมมนุษย์ในทะเลทั่วโลก ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่น่าตกใจนั่นคือ ไม่มีพื้นที่ใดเลยที่ไม่ได้รับผลกระทบ และร้อยละ 41 ของสิ่งแวดล้อมทางทะเลของโลกนั้นอยู่ในอาการ ‘สาหัสสากรรจ์’ 

“ผลกระทบสะสมของเราต่อทะเล ซึ่งมีอยู่อย่างมหาศาลอยู่แล้วกำลังจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าภายในปี 2050 ในเวลาเพียง 25 ปี” ฮาลเพิร์น เสริม “มันน่าตกใจและเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิด ไม่ใช่เพราะผลกรทะบจะทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ แต่มันจะเพิ่มขึ้นอย่างมากและรวดเร็วมาก” 

ท้องทะเลที่น่าสงสาร

ในช่วงต้นทศวรรษ 2000 เกิดปรากฏการณ์ที่ทำให้ผู้เชี่ยวชาญหลายคนต้องตกใจนั่นคือ ปะการังฟอกขาวขนาดใหญ่ซึ่งเกิดขึ้นไปทั่วทุกมุมโลก นักวิทยาศาสตร์หลายคนรวมถึง ดร. ฮาลเพิร์น ได้จำทำแผนที่เพื่อระบุว่าทะเลส่วนใดของโลกที่มีสุขภาพดีที่สุด และส่วนใดบ้างที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด

แต่เขาก็ตระหนักได้ว่าความท้าทายที่แท้จริงคือการเปรียบเทียบถิ่นที่อยู่อาศัยทางทะเลตั้งแต่แนวปะการังไปจนถึงพื้นมหาสมุทรลึก ต่อการตอบสนองในกิจกรรมและแรงกดดันต่าง ๆ ที่มาจากมนุษย์โดยใช้เกณฑ์มาตรฐานเดียวกัน 

ความพยายามกว่า 20 ปีได้ออกมาเป็นผลลัพธ์ที่ชื่อว่า ‘คะแนนผลกระทบ’ ซึ่งอ้างอิงจากสูตรที่รวมตำแหน่งของถิ่นที่อยู่อาศัยแต่ละแห่ง ความรุนแรงของปัจจัยกดดันต่าง ๆ ที่มีต่อพื้นที่นั้น และความเปราะบางของแต่ละแห่งต่อแรงกดดันแต่ละรูปแบบ 

“รายงานฉบับก่อนหน้าบอกเราว่าเรากำลังอยู่ที่ไหน รายงานฉบับปัจจุบันบอกเราว่าเรากำลังมุ่งหน้าไปทางไหน” ฮาลเพิร์น กล่าว 

ภายใต้วิถีชีวิตโลกปัจจุบัน งานวิจัยพบว่าภายในกลางศตวรรษนี้ ทะเลทั่วโลกประมาณร้อยละ 3 มีความเสี่ยงที่จะเปลี่ยนแปลงไปจนไม่สามารถรับรู้ได้ ส่วนทะเลใกล้ชายฝั่งที่มนุษย์มีความใกล้ชิดด้วยมากกว่า ตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นเป็น 12 เปอร์เซ็น

อนาคตที่เลวร้ายนี้จะแตกต่างกันไปแต่ละภูมิภาคเช่น ทะเลในเขตร้อนและทะเลบริเวณขั้วโลกจะได้รับผลกระทบรุนแรงกว่าทะเลเขตอบอุ่นและละติจูดกลาง นักวิจัยคาดการณ์ว่าแรงกดดันนี้จะเร่งตัวขึ้นในเขตนอกชายฝั่ง แต่น่านน้ำชายฝั่งจะยังคงได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุดต่อไป 

นอกจากนี้ยังมีบางประเทศที่ถือว่ามีความเสี่ยงสูง เนื่องจากต้องพึ่งพาทรัพยากรจากทะเลมากกว่า โดยเฉพาะโตโก กานา และศรีลังกา อยู่ในอันดับต้น ๆ ของรายชื่อในการศึกษา โดยรวมแล้วนักวิทยาศาสตร์ระบุว่า สิ่งมีชีวิตในทะเลจะน้อยลงไปเรื่อย ๆ 

“หลายประเทศเหล่านี้จะเผชิญกับผลกระทบที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก” ฮาลเพิร์น กล่าว “(เพราะชายฝั่ง)คือที่ที่ผู้คนได้รับคุณค่าสูงสุดจากทะเล” 

แรงกดดันที่รุนแรงที่สุด

งานวิจัยระบุว่าปัจจัยใหญ่ที่สุดที่ผลักดันให้ทะเลทั่วโลกอยู่ในสภาพน่าหดหู่ทั้งในปัจจุบันและอนาคตคือ ภาวะโลกร้อนและการประมงที่มากเกินไป ซึ่งอย่างหลังยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นไปอีก สัตว์จำนวนมากที่ไม่ต้องการถูกจับขึ้นไปอย่างไม่จำเป็น และการลากอวนไปตามพื้นมหาสมุทรก็เลวร้ายมาก 

ผลกระทบบางอย่างเช่นการขุดเจาะและทำเหมืองใต้ทะเลที่กำลังเติบโตขึ้นก็ยังไม่สามารถวัดได้ ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงเชื่อว่า ผลกระทบเหล่านี้เมื่อมารวมกันแล้ว อาจทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปอีก 

“กิจกรรมบางอย่างเหล่านี้อาจส่งเสริมการทำงานร่วมกัน หรืออาจเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า” ไมค์ เอลเลียต (Mike Elliott) นักชีววิทยาทางทะเลและศาสตราจารย์กิตติคุณประจำมหาวิทยาลัยฮัลล์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการศึกษานี้กล่าว 

เขาเชื่อว่าบางทีผลกระทบที่สะสมกันมาเหล่านี้อาจเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่า “แต่มันจะมากกว่านั้น เพราะเรากำลังทำสิ่งต่าง ๆ ในทะเลมากขึ้น ถ้าเรารอจนกว่าจะได้ข้อมูลสมบูรณ์แบบ เราจะไม่มีวันทำอะไรได้เลย” 

ได้เวลาเปลี่ยนแปลง

ข้อมูลเหล่านี้มีประโยชน์อย่างยิ่งในการช่วยวางแผนการดูแลทะเล เช่นโครงการอย่าง 30×30 ที่เป็นความพยายามระดับโลกในการปกป้องแผ่นดินและผืนมหาสมุทรโลกร้อยละ 30 ภายในปี 2030 ไปจนถึงการบังคับใช้นโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการจัดการด้านประมง 

วิธีเหล่านั้นอาจเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการลดผลกระทบจากมนุษย์ ในทำนองเดียวกันก็อาจช่วยถิ่นที่อยู่อาศัยท้องถิ่นเช่น บึงน้ำเค็มและป่าชายเลย ให้แข็งแกร่งซึ่งจะช่วยลดผลกระทบได้อีกทางหนึ่ง 

“การสามารถมองไปยังอนาคตได้ เป็นเครื่องมือวางแผนที่ทรงพลังอย่างยิ่ง” ฮาลเพิร์น บอก “เรายังคงสามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตนั้นได้ รายงานนี้เป็นเพียงคำเตือน ไม่ใช่ใบสั่งยา” 

สืบค้นและเรียบเรียง

วิทิต บรมพิชัยชาติกุล

ที่มา

https://www.science.org/

https://phys.org

https://www.nytimes.com


อ่านเพิ่มเติม : ‘เมื่อทะเลมีพลาสติก มากกว่าปลา’

จากความสะดวกสบายสู่หายนะใต้ท้องทะเล

© COPYRIGHT 2025 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.