งานวิจัยใหม่พบเครื่องพ่นยาหอบหืด ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเทียบเท่ารถยนต์ 530,000 คันต่อปี

“ยาพ่นสำหรับโรคหอบหืดและโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง

ก่อให้ก๊าซเรือนกระจกมากขึ้นตามรายงานใหม่จากสหรัฐอเมริกา”

ปัจจุบันสหรัฐอเมริกามีผู้ป่วยโรคหอบหืดกว่า 34 ล้านคนและโรคปอดเรื้อรังราว 28 ล้านคน ขณะที่ประเทศไทยมีอยู่ราว 4.5 ล้านคนรวมทั้งสองโรคตามข้อมูลจากสมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย นักวิทยาศาสตร์ระบุว่าตัวเลขเหล่านี้มีแนวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศและมลพิษทางอากาศที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้นทุกปี 

เพื่อบรรเทาอาการและรักษาโรคทั้งสองนี้ แพทย์มักสั่งจ่ายสิ่งที่เรียกว่า ‘เครื่องพ่นยาชนิด metered dose inhalers ซึ่งเป็นอุปกรณ์ขนาดเล็กที่พ่นยาเข้าไปในปอดอย่างรวดเร็วโดยใช้สารขับดันที่ชื่อว่า ไฮโดรฟลูออโรอัลเคน หรือ HFAs

ตามรายงานใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร JAMA ชี้ให้เห็นว่าสารตัวนี้อาจกลายเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนใหม่ที่น่าตกใจ เมื่อ HFAs ถูกปล่อยสู่บรรยากาศ มันจะกักเก็บความร้อนและกลายเป็นแหล่งทำให้โลกร้อนมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์หลายพันเท่า 

ภายในเวลาเพียงปีเดียว มลพิษดังกล่าวก็ทำให้เกิดผลกระทบเทียบเท่ากับรถยนต์กว่า 500,000 คันในแต่ละปี หรือเทียบเท่ากับการใช้ไฟฟ้าของบ้านเรือน 470,000 หลัง โดยรวมแล้วเครื่องพ่นยาชนิดนี้อาจเป็นสาเหตุของมลพิษจากสภาพอากาศถึงร้อยละ 98 

“พวกมันเป็นผลิตภัณฑ์เล็ก ๆ จึงยากที่จะจินตนาการว่าพวกมันมีส่วนช่วย(ให้เกิดโลกร้อน)ได้มากขนาดนี้ แต่ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วย การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในอนาคต ดังนั้นการแก้ไขปัญหาการปล่อยมลพิษจึงดูเป็นเรื่องง่าย” ดร. วิลเลียม เฟลด์แมน (William Feldman) แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านปอดและนักวิจัยด้านบริการสุขภาพ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส ผู้ร่วมเขียนงานวิจัยกล่าว

เป็นไปได้อย่างไร?

ทีมวิจัยได้ตรวจสอบข้อมูลการจ่ายเครื่องพ่นยาระหว่างปี 2014 ถึง 2024 ในสหรัฐอเมริก โดนระบุว่าช่วงเวลาดังกล่าวมีจ่ายเครื่องกว่า 1.6 พันล้านเครื่อง ขณะเดียวกันการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ก็พุ่งสูงขึ้นจาก 1.9 ล้านเมตริกตันเป็น 2.3 ล้านเมตริกตันในช่วงทศวรรษนั้น หรือราวร้อยละ 24 

แม้การตรวจสอบเครื่องพ่นยาเมื่อจำแนกลงไปแต่ละตัวจะมีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงเล็กน้อยจาก 15.6 กิโลกรัม เป็น 14.6 กิโลกรัม แต่การสั่งจ่ายที่เพิ่มขึ้น ก็นำไปสู่ก๊าซเรือนกระจกที่เพิ่มขึ้น 

“แม้ว่าอุปกรณ์แต่ละชิ้นจะมีปริมาณเชื้อเพลิงเพียงเล็กน้อย แต่การใช้เครื่องพ่นยาชนิดนี้เพียงครั้งเดียวก็ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่ากับการขับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินเป็นระยะทางระหว่าง 100 ถึง 200 กิโลเมตร” ดร. อเล็กซานเดอร์ เอส. ราบิน (Alexander S. Rabin) จากระบบการดูแลสุขภาพของ VA Ann Arbor ในรัฐมิชิแกน กล่าว

การศึกษาอีกชิ้นหนึ่งที่ตีพิมพ์เมื่อวันจันทร์แสดงให้เห็นว่าความพยายามร่วมกันเพื่อลดการใช้ยาสูดพ่นแบบดั้งเดิมสามารถสร้างความแตกต่างได้ โดยตั้งแต่ปี 2021 สำนักงานกิจการทหารผ่านศึกสหรัฐฯ ได้ให้ความสำคัญกับเครื่องพ่นผงแห้งมากกว่าเครื่องพ่นแบบดั้งเดิมที่มีเชื้อเพลิง 

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวทำให้เกิดก๊าซภาวะโลกร้อนลดลงมากกว่าร้อยละ 68 ในตั้งแต่ปี 2008 ถึงปี 2023 ตามที่การศึกษาวิจัยระบุ และลดลงร้อยละ 76 เมื่อคำนวณจากปริมาณการปล่อยก๊าซต่อหัว

อย่างไรก็ตามแม้จะมีความพยายามลดยาพ่น HFA ให้ลดลงได้มากที่สุด แต่ยาพ่นชนิดนี้ก็ยังคงจำเป็นต้องมีอยู่เนื่องจากไม่ใช่ทุกคนที่จะใช้ยาพ่นชนิดอื่นได้ เช่น เด็กเล็กที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งเครื่องดังกล่าวจะไปขัดขวางประสิทธิภาพของยาพ่นชนิดผงแห้ง

เช่นกัน ผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยที่ไม่สามารถหายใจเข้าได้เร็วและแรงพอที่จะสูดดมยาชนิดผงแห้งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ต้องใช้ยาพ่นชนิดนี้ต่อไป และที่สำคัญยาพ่นแบบผงแห้งยังไม่ได้เป็นที่แพร่หลายในสหรัฐอเมริกา แม้จะมีใช้กันทั่วไปในยุโรปก็ตาม 

ในฐานะผู้ป่วยโรคหอบหืด เคท เบนเดอร์ (Kate Bender) รองประธานฝ่ายรณรงค์ระดับชาติและนโยบายสาธารณะของสมาคมปอดแห่งอเมริกา ซึ่งไม่ได้มีส่วนร่วมในการศึกษาใหม่นี้ กล่าวว่า “ฉันรู้สึกแย่มากที่ยาที่ฉันใช้เพื่อบรรเทาอาการของฉันกลับเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ”

ถึงอย่างนั้นองค์กรก็จะไม่แนะนำให้ ‘ทุกคน’ เปลี่ยนไปใช้ยาพ่นชนิดอื่นหากวิธีการรักษาของพวกเขาในปัจจุบันยังได้ผลดี

“ใช่ เราควรก้าวไปสู่อนาคตที่ยาพ่นจะไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก แต่การจะไปถึงอนาคตนั้น… เราต้องมั่นใจว่าผู้คนยังคงสามารถเข้าถึงยาสูดพ่นที่มีสารขับดันและทางเลือกอื่น ๆ ได้” เบนเดอร์กล่าว

เฟลด์แมนตั้งข้อสังเกตว่า ยาพ่นเป็นเพียงสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับสาเหตุหลัก ๆ เช่น การจราจร เกษตรกรรม และการผลิตพลังงาน แต่ในฐานะแพทย์ที่รักษาผู้ป่วยที่หายใจไม่ออกเป็นประจำ เขากล่าวว่า ความพยายามเพียงเล็กน้อยก็ยังคงช่วยโลกได้

“เป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนที่จะพยายามมีส่วนร่วมในการลดการปล่อยมลพิษ” เฟลด์แมนกล่าว

สืบค้นและเรียบเรียง

วิทิต บรมพิชัยชาติกุล

ที่มา

https://jamanetwork.com

https://www.eurekalert.org

https://www.cbsnews.com


อ่านเพิ่มเติม : ฝนตกในทะเลทราย

ตัวเร่งก๊าซเรือนกระจกที่ถูกมองข้ามในระบบนิเวศแห้งแล้ง

© COPYRIGHT 2025 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.