ต้นไม้คืออย่างแรก ๆ ที่คนส่วนใหญ่นึกถึงเมื่อเกี่ยวข้องกับคาร์บอนไดออกไซด์ เนื่องจากสิ่งมีชีวิตเหล่านี้คอยดูดซับก๊าซมลพิษอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อการเจริญเติบโต ป่าสีเขียวทั่วโลกเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของมนุษย์มาโดยตลอด
นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์มาโดยตลอดว่าก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นนั้นจะช่วยให้ป่าเจริญเติบโตมากขึ้น อย่างไรก็ตามงานวิจัยใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร Nature เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมาเผยให้เห็นว่า พวกมันกำลังเหนื่อยล้ามากขึ้นเรื่อย ๆ จากคาร์บอนส่วนเกินที่มนุษย์ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ
“นี่เป็นป่าเขตร้อนแห่งแรกที่แสดงอากาศของการเปลี่ยนแปลงนี้” ดร. ฮันนาห์ คาร์ล (Hannah Carle)หัวหน้าทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเวสเทิร์นซิดนีย์กล่าว “เราทราบดีว่าพื้นที่เขตร้อนชื้นในออสเตรเลียนั้นมีภูมิอากาศที่อบอุ่นและแห้งกว่าป่าเขตร้อนในทวีปอื่น ๆ ดังนั้นป่าเขตร้อนเหล่านี้จึงอาจเป็นตัวอย่างในอนาคตว่าป่าเขตร้อนส่วนอื่น ๆ ของโลกจะเป็นอย่างไร”
ตามรายงานระบุว่าทีมวิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลจากต้นไม้ประมาณ 11,000 ต้นในป่าเขตร้อนที่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลีย 20 แห่ง พวกเขาได้ติดตามชีวมวลของต้นไม้มานานกว่า 49 ปี ป่าดิบชื้นเหล่านี้มีคาร์บอนหนาแน่นสูง มีพันธุ์ไม้หลายร้อยชนิดเรียงรายกันเป็นชั้น ๆ ปกคลุมกันไปมา
ต้นไม้เหล่านี้ดึงคาร์บอนไดออกไซด์จากอากาศมาเปลี่ยนเป็นน้ำตาลเพื่อช่วยในการเจริญเติบโต พร้อมกับผลิตออกซิเจนที่เราหายใจออกมาเป็นผลพลอยได้ผ่านกระบวนการที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันดีนั่นคือ กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง คาร์บอนบางส่วนยังถูกเก็บไว้ในใบ ลำต้น กิ่งก้าน รากของต้นไม้ และเข้าสู่ใต้ดินด้วย
ในตอนที่ต้นไม้ยังมีชีวิต คาร์บอนเหล่านี้สามารถกักเก็บไว้ในได้นานหลายทศวรรษ และเมื่อมันตายลงคาร์บอนนั้นจะถูกปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศในกระบวนการเน่าเปื่อย ซึ่งในสถานการณ์ปกติแล้วคาร์บอนจะถูกดูดซับเข้าไปมากกว่าถูกปล่อยออกมา ทว่าป่าทางตะวันออกเฉียงเหนือของออสเตรเลียกลับเกิดสิ่งตรงข้ามเมื่อหลายสิบปีที่แล้ว
พืชที่ติดตามดูดซับคาร์บอนได้เฉลี่ยประมาณ 620 กิโลกรัมต่อเฮกตาร์ต่อปีในช่วงปี 1971 ถึง 2000 แต่ตั้งแต่ปี 2010 ถึง 2019 พวกมันกลับปล่อยคาร์บอนเฉลี่ยประมาณ 930 กิโลกรัมต่อเฮกตาร์ต่อปี กลายเป็นป่าแห่งแรกของโลกที่เปลี่ยนจากแหล่งดูดซับกลายเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนแทน นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่านี่เป็นผลสะท้อนจากความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศ
“งานวิจัยนี้เป็นครั้งแรกที่ระบุจุดเปลี่ยนของการเปลี่ยนจากแหล่งดูดซับคาร์บอนไปเป็นแหล่งคาร์บอนในป่าฝนเขตร้อน ซึ่งได้รับการระบุอย่างชัดเจนว่าไม่ใช่เปลี่ยนแค่เพียงปีเดียว แต่เป็นเวลา 20 ปี” ศาสตราจารย์เดวิด คาโรลี (David Karoly) จากมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นและผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กล่าว
นอกจากนี้ทีมวิจัยยังพบว่า พายุไซโคลนสามารถยับยั้งปริมาณคาร์บอนที่ป่าดูดซับได้ โดยป่าฝนจะกักเก็บคาร์บอนไว้น้อยลงในช่วงหกปีหลังพายุไซโคลน ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่น่ากังวล เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศกำลังสร้างสถานการณ์ที่เอื้อต่อพายุรุนแรงมากขึ้น รวมถึงภัยแล้งรุนแรงและไฟป่าขนาดใหญ่มากขึ้น
ซึ่งท้ายที่สุดจะทำให้ต้นไม้ในป่าตายลงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ป่าแต่ละแห่งตั้งอยู่ในภูมิประเทศที่แตกต่างกันไป จึงยังไม่มีป่าแห่งใดที่แสดงสัญญาณการปล่อยคาร์บอนมากกว่าดูดซับไว้ แต่ป่าขนาดใหญ่อย่างแอมะซอนเองก็ดูมีแนวโน้มการดูดซับคาร์บอนที่ลดลง อีกทั้งบางส่วนยังกลายเป็นแหล่งปล่อยคาร์บอนเนื่องจากการตัดไม้ทำลายป่า และไฟป่าที่เกิดจากมนุษย์
“ที่จริงแล้วป่าไม้มีความสุมดุลอันละเอียดอ่อนกับชั้นบรรยากาศ” ดร. คาร์ล บอก “ป่าไม้เองก็ต้องการสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม เพื่อทำหน้าที่เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอน”
สืบค้นและเรียบเรียง
วิทิต บรมพิชัยชาติกุล
ที่มา
https://www.smithsonianmag.com