ตั้งแต่เวลาตีสี่ครึ่งตาข่ายดักค้างคาวกางเปิดออก เพื่อรอจับค้างคาวที่หากินยามรุ่งสางก่อนพระอาทิตย์ขึ้น และเมื่อแสงแรกค่อย ๆ โผล่พ้นขอบฟ้าตาข่ายเหล่านี้ทำหน้าที่รอจับนกที่เพิ่งตื่นออกหากิน พอตกช่วงสายของวันทีมนักวิจัยอีกทีมก็มุ่งหน้าสู่ลำน้ำเพื่อเก็บตัวอย่างปลาและแมลงที่ล่อเอาไว้ เราเดินไล่ไปบนลำน้ำดูปู จับปลา หาแมลงน้ำจนบ่ายคล้อย ก่อนจะพักกินข้าวเย็นให้หายเหนื่อย และเมื่อตะวันตกดินเราออกเดินทางอีกครั้งบนเขาหินปูน ลัดเลาะไปตามทางเดินเล็ก ๆ พร้อมไฟฉายสอดส่องไปมา หวังจะได้เห็นกิ้งก่าหรืองูที่ออกหากินในเวลากลางคืน เสียงกบและจั๊กกระจั่นดังระงมป่า ผีเสื้อกลางคืนชอบบินชนหน้าเพราะพยายามบินเข้าหาไฟฉาย นาฬิกาแจ้งเวลาเที่ยงคืนว่าวันนี้ได้จบลงแล้ว แต่งานของวันใหม่เพิ่งเริ่มต้น
BioBlitz หรือชีวะตะลุมบอน คือการสำรวจความหลากหลายทางชีวภาพที่ต้องอาศัยการรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา เพื่อที่จะทำความเข้าใจสุขภาพของระบบนิเวศเบื้องต้น ไม่ต่างอะไรจากการที่เราตรวจสุขภาพประจำปี สิ่งมีชีวิตที่หลากหลายบ่งบอกความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศ หรือบางชนิดอาจจะบอกถึงอาการป่วยหรืออักเสบเรื้อรังที่ต้องได้รับการดูแล
โครงการพัฒนาดอยตุงได้ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญหลากสาขาจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (National University of Singapore) และเครือข่ายนักวิจัยในประเทศไทย ในการสำรวจสุขภาพป่าที่ครั้งหนึ่งเมื่อ 40 กว่าปีก่อนเคยเป็นเขาหัวโล้นและค่อย ๆ กลายมาเป็นป่า ดอยตุงผ่านทั้งการปลูกฝิ่น ไฟป่า แลนด์สไลด์ วันนี้ป่ายังสุขภาพดีอยู่ไหม และการมีอยู่ของชีวิตต่างๆ กำลังบอกอะไรกับเราบ้าง
“ประวัติศาสตร์ของที่นี่น่าสนใจมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติของการฟื้นฟูป่า การศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพของดอยตุงถือเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น สำหรับผมมันเป็นตัวอย่างที่ดีว่าถ้าเราดูแลธรรมชาติแล้วธรรมชาติจะเยียวยาตัวเองได้ และผู้คนก็ได้รับประโยชน์จากธรรมชาติด้วย น้ำสะอาดขึ้นก็เพราะพืชพรรณ อากาศบริสุทธิ์ขึ้นก็เพราะป่าด้วยเหมือนกัน ที่อื่นถ้ามีการล่านกเยอะ ๆ นกจะเงียบหรือบินหนีเวลาเจอคน แต่นกที่ดอยตุงร้องเสียงดังแบบไม่กลัวคนเลย มันบ่งบอกว่าธรรมชาติที่นี่อยู่ร่วมกับมนุษย์ได้” ศาสตราจารย์เอเดรียน ลู หัวหน้าทีมศึกษาวิจัยและรองผู้อำนวยการศูนย์ Nature-based Climate Solutions กล่าว
อุจจาระถูกห่อใส่ถุงและแขวนเหนือหลุมเล็ก ๆ ที่ขุดเอาไว้ “นี่เป็นกลิ่นล่ออย่างดีสำหรับด้วงขี้ควาย” ดร.ชอน เยป บอกหลังจากที่ติดตั้งกับดักหลุมในป่า รอให้ด้วงตามกลิ่นมาและตกลงไปหลุม เพื่อศึกษาชนิดและประชากรของด้วงเหล่านี้ “ด้วงขี้ควายมันมีประโยชน์มากนะ เราคุ้นเคยกับภาพที่มันกลิ้งขี้เป็นก้อนกลม ๆ จริง ๆ เฉพาะตัวที่ขาหลังยาว ๆ ถึงจะกลิ้งขี้ได้ ส่วนตัวอื่นมันมุดลงไปในขี้เลย พวกมันช่วยทำให้สารอาหารต่าง ๆ กลับลงสู่ดิน และทำให้เกิดการหมุนวนของธาตุอาหารด้วย”
ในขณะที่ฟู่เหมาเฉิง ผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาแมลงสาปและปลวกยังเสริมว่า “ปลวกนี่แหละที่ทำให้ดินร่วนซุย” พร้อมคีบปลวกตัวเล็ก ๆ ขึ้นมาให้ดู “เวลาเราเดินป่าแล้วมีดินติดรองเท้าเรา ทำห้องแลปเลอะเทอะไปหมด จริงๆ เป็นสัญญาณที่ดีนะ เพราะดินร่วนทำให้มีธาตุอาหารและอากาศลงไปได้ ปลวกบางชนิดทำรังใต้ดิน ทำให้มีดินสภาพที่ต่างกัน เอื้อต่อพืชที่ต่างกัน ทำให้ป่ามีพืชหลายชนิดด้วย”
ไม่น่าเชื่อว่าแมลงตัวเล็ก ๆ ในป่าจะช่วยเราไว้มากขนาดนี้
สาย ๆ ถึงเป็นช่วงเวลาการทำงานของทีมวิจัยปลา แม้แดดจะเริ่มร้อนแต่พอจุ่มเท้าลงในน้ำก็เย็นฉ่ำจนสะดุ้ง พวกเราแบกสวิง ถังน้ำ กล่องพลาสติกพะรุงพะรังเดินย้อนขึ้นไปตามลำน้ำ ภารกิจแรกคือการเก็บลอบปูที่วางไว้ “ปูนั๊มตก” ทัน จือวัน นักศึกษาปริญญาเอก พูดเป็นภาษาไทยกระท่อนกระแท่นที่เขาฝึกมาเพียงไม่กี่คำไว้ถามคำถามชาวบ้าน พร้อมเปิดลอบดักปูที่มีปูอยู่ 5-6 ตัว “ปูน้ำตกเป็นตัวบ่งชี้ความสะอาดของแม่น้ำ” เขาบอก
นอกจากปูแล้วเราก็เอาสวิงจับปลาหรืออวดขึงกางไว้ แล้วเดินไล่ให้ปลาตกใจแล้วว่ายมาติดในอวดด้วย ปลาที่เราได้ส่วนใหญ่เป็นปลาขนาดเล็กจิ๋วเต็มไปหมด ปลาและแมลงบางส่วนถูกนำใส่ถุงหรือขวดเก็บตัวอย่าง เพื่อนำไปศึกษาต่อใต้กล้องขยายในห้องปฏิบัติการ
วันนี้เราโชคดีที่เจอชาวบ้านลงมาจับปลา เราเลยได้เห็นทั้งวิธีการดั้งเดิมและเหมือนมีคนช่วยเก็บตัวอย่างไปพร้อม ๆ กัน แม่ ๆ บ้านห้วยปูใหม่จับปลาด้วยมือเปล่า โดยการนั่งจุ่มตัวในน้ำ เอามือคลำไปที่พื้นน้ำ ส่วนผู้ชายก็จะเดินเหวี่ยงแหอยู่รอบ ๆ แต่ทั้งหมดจะต้องไปพร้อมกัน ยิ่งมีหลายคนยิ่งทำให้น้ำขุ่นจนปลามองไม่เห็น และทำให้มีโอกาสจับได้ง่ายขึ้น จะจับปลาแต่ละทีชาวบ้านต้องดูน้ำดูวันที่เหมาะสมแล้วนัดกันมาพร้อมกัน ข้าวปลาจึงไม่ใช่แค่อาหาร แต่คือความสามัคคีของชุมชนด้วย
คนเมืองอย่างเราคุ้นเคยกับปลาตัวใหญ่ แต่ในตะกร้าปลาที่ชาวบ้านได้มีปลาขนาดไม่เลยฝ่ามือบรรจุเกือบเต็ม ปลาที่เรายังไม่คุ้นเคย เราก็ขอซื้อจากชาวบ้าน แต่ชาวบ้านยกให้ฟรี ๆ แบบไม่คิดเงินเลย ปลาหลายตัวถูกจับมาเป็นตัวอย่างและบางส่วนจะถูกส่งเข้าไปในพิพิธภัณฑ์
“การเก็บตัวอย่างเป็นอะไรที่จำเป็นมาก เพราะมันเหมือนหลักฐานยืนยันการบันทึกว่ามันเคยมีสิ่งมีชีวิตที่นี่ ตัวอย่างพวกนี้เป็นความรู้สาธารณะ ใครจะขอมาดูหรือไปศึกษาก็ได้ เราเกิดความรู้ใหม่ ๆ จากการศึกษาตัวอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นขนาด สีสัน การจัดจำแนกประเภทหรือวิวัฒนาการ” ดร.เอเดรียน เล่าถึงความสำคัญของการเก็บตัวอย่างในงานวิจัยวิทยาศาสตร์
ธงเล็ก ๆ ถูกปักสี่มุม ถูกล้อมด้วยเชือกอย่างง่ายเพื่อป้องกันไม่ให้เราเข้าไปเหยียบ ไม่ต่างอะไรกับสถานที่เกิดเหตุและป้องกันการทำลายหลักฐาน นักวิจัยสวมถุงพลาสติกที่รองเท้าก่อนเดินเข้าไปในพื้นที่ ดินตรงกลางถูกตักขึ้นมาและบรรจุในภาชนะปลอดเชื้อ ดีเอ็นเอในพื้นที่กำลังถูกส่งไปตรวจ
“เราเก็บตัวอย่างเหล่านี้ไปศึกษา eDNA หรือสารพันธุกรรมสิ่งแวดล้อม เวลาสัตว์เดินผ่านมันอาจจะทิ้งอึ เส้นขน หรือกระทั่งเมือกหอยทากที่เลื้อยผ่านก็อาจจะทิ้งสารพันธุกรรมเอาไว้ ถ้าเดินสำรวจกว่าเราจะเจอตัวมันอาจจะยากมาก แต่สารพันธุกรรมจะช่วยบอกว่ามีอะไรอยู่ที่นี่บ้าง น้ำก็เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นปลาที่ว่ายในน้ำหรือแบคทีเรียก็มีสารพันธุกรรมต่าง ๆ ไหลปะปนมาเราก็ตรวจสอบได้ แต่น้ำไหลมาจากหลายที่ก็จะเป็นภาพกว้างกว่า ส่วนดินก็จะเฉพาะเจาะจงกับพื้นที่นั้นมากกว่า” เลอชาน นักศึกษาปริญญาเอก เล่าให้ฟังถึงสิ่งที่เธอพยายามทำ แต่เธอย้ำว่า ข้อมูลต่าง ๆ ยังต้องพัฒนาอีกเยอะมาก วิธีการนี้ช่วยได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่การสำรวจแบบดั้งเดิมยังมีความจำเป็นอยู่
เช่นเดียวกับเครื่องชีวะอะคูสติกหรือเครื่องบันทึกเสียงธรรมชาติ เป็นการบันทึกเสียงในป่าและใช้ AI ในการจำแนกว่าใครเป็นเจ้าของเสียงร้องเหล่านั้น ใช้เวลาเพียงแค่ 3-4 วัน เราได้รายชื่อทั้งนกและค้างคาวกว่า 40 ชนิด
“เราไม่ได้เชื่อโปรแกรมหมด เราต้องใช้ทีมของเราดูด้วยว่า เสียงที่มันวิเคราะห์มา เราเจอนกจริง ๆ ในพื้นที่ไหม โปรแกรมจะระบุความเป็นไปได้มาให้เรา ซึ่งแต่ละสภาพพื้นที่ก็ควรมาดูระดับที่น่าเชื่อถือที่เหมาะสมอีกที” ดร.อากาศ นักวิจัยด้าน Computer science เล่าถึงการวิเคราะห์ผล และยังบอกด้วยว่าเทคโนโลยีที่ทันสมัยเกิดจากการเก็บข้อมูลภาคสนามมากมาย เขาคาดหวังให้เทคโนโลยีมาช่วยในการสำรวจ แต่การเข้าใจธรรมชาติได้อย่างแท้จริง จำเป็นต้องใช้หลายศาสตร์ร่วมกันศึกษา
“บางทีเราคิดว่าอันนี้จะตื่นเต้นทำไม” พี จตุพงค์ อภิพรไพศาล เจ้าหน้าที่ทีมพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่เกิดและเติบโตในพื้นที่ดอยตุงพูดติดตลก ก่อนที่จะเล่าต่อว่า “ทีมนักวิจัยเขาดูมีความสุขและอินกับเรื่องนี้มากๆ เลย อาจจะเพราะบ้านเขาอาจจะมีทรัพยากรน้อยกว่านี้ บางอย่างที่เราเห็นอยู่ทุกวัน แต่เขาตื่นเต้นมากเพราะเขารู้ว่ามันสำคัญ”
ฉันเลยอดถามถึงสิ่งที่พี่พีได้เรียนรู้ใหม่ในทริปนี้ไม่ได้ “อย่างแมงมุมตกปลานี่ผมก็เพิ่งรู้ เราอยู่ที่นี่ เราเห็นมาตั้งแต่เด็กว่ามันอยู่ริมน้ำ แต่พอเขาบอกมันตกปลาได้นะ สำหรับผมมันว้าวมากเลย ส่วนตัวเราก็ชอบตกปลาอยู่แล้ว ได้มารู้ว่ามันก็ตกปลาเป็นเหมือนกัน มันจุ่มขาลงไปในน้ำรอให้ปลามาติด แล้วเวลาเขาตื่นเต้นเราก็ดีใจที่มันยังมีสิ่งเหล่านี้เหลืออยู่ที่บ้านเรา เป็นงานที่เราทำที่เราดูแล” เขาเล่าด้วยความภาคภูมิใจและหวังว่าจะเห็นคนรุ่นใหม่ในดอยตุงหันมาสนใจงานอนุรักษ์และฟื้นฟูมากขึ้น
สำหรับฉัน ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาเหมือนกันการฝึกฝนในการใช้ดวงตาคู่ใหม่ในการทำความเข้าใจโลก ตลอดสัปดาห์ที่แทบไม่ได้หยิบโทรศัพท์มาติดตามข่าวสาร แต่กลับตั้งใจถ่ายรูปสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่อยู่รายรอบ ไม่ว่าจะในป่าหรือในเมือง เราละเลยธรรมชาติมานานเกินไป และบางทีการเริ่มมองเห็นอีกครั้ง อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูทั้งธรรมชาติ และ “ตัวเรา” ด้วยเช่นกัน
เรื่อง: สุภัชญา เตชะชูเชิด
ภาพ: หาญณเรศ หริพ่าย