ศ.ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ถอดบทเรียนจาก COP30 ถึงบทบาทของไทยในการรับมือสภาพภูมิอากาศ

พฤศจิกายน 2568 คือช่วงเดียวกับที่ประเทศไทยกำลังให้ความสนใจกับสถานการณ์อุทกภัยในภาคใต้ แต่อีกด้านหนึ่ง ณ การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) หรือการประชุม COP ยังมีสถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่ควรบันทึกไว้ และ National Geographic ฉบับภาษาไทยสนทนากับ ศ.ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ ในฐานะนักวิชาการที่ติดตามสาระสำคัญในเวทีนี้

ในโลกที่สภาพภูมิอากาศแปรปรวน ร้อนและแล้งนานกว่าปกติ ฝนที่ตกหนักอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบหลายปี การประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (UNFCCC) หรือการประชุม COP สำคัญแค่ไหนคงไม่ต้องบอก

ในปีนี้ เป็นการประชุม ครั้งที่ 30 และ COP30 จัดขึ้นระหว่างวันที่ 10–21 พ.ย. 2568 ณ เมืองเบเล็ง ประเทศบราซิล และท่ามกลางผู้เข้าร่วมจากบุคลากรจากนานาประเทศ ศ.ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ นักวิชาการด้านวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการป้องกันและจัดการภัยพิบัติ คณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ คืออีกคนหนึ่งในนามประเทศไทยที่เข้าร่วมการประชุมด้านความเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ใหญ่ที่สุดในโลกครั้งนี้

ก่อนปี 2568 จะผ่านพ้นไป อะไรในการประชุม COP 30 ที่ประเทศไทยควรบันทึกไว้ และเมื่อเทียบกับประเทศต่างๆทั่วโลก ไทยเราอยู่ตรงไหนท่ามกลางการตื่นตัวด้านความเปลี่ยนแปลงของโลก

อาจารย์ไป COP30 ในฐานะอะไร และมีอะไรที่สังคมไทยควรบันทึกไว้ในการประชุมครั้งนี้บ้าง?

ผมไปในฐานะนักวิชาการ และนำเสนองานวิจัยที่ทำที่เกี่ยวกับ Climate Change สิ่งที่นำเสนอในเรื่องนี้คือเวลาที่เราพูดถึง Climate Change หรือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โลกร้อน คนก็จะนึกถึงแต่ในเรื่องก๊าซเรือนกระจก หรือการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นกิจกรรมของมนุษย์ แต่ในความเป็นจริงความเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศไม่ได้มีแค่เรื่องก๊าซเรือนกระจกอย่างเดียว แต่ยังมีอิทธิพลของธรรมชาติที่ส่งผลต่อความเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิด้วย

กิจกรรมของมนุษย์ไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ทำให้โลกร้อนขึ้น?

ใช่ กิจกรรมของมนุษย์มีส่วนต่อสภาพภูมิอากาศจริงๆ ซึ่งผมไม่ได้ปฏิเสธข้อเท็จจริงตรงนั้น นี่คือส่วนสำคัญ แต่ไม่ได้หมายถึงเป็นปัจจัยทั้งหมด อย่าลืมว่าก่อนที่มีอารยธรรมของมนุษย์โลกก็ร้อนขึ้นและเย็นลงด้วยตัวมันเอง ดังนั้น Climate Change หรือโลกร้อนเกิดขึ้นตั้งแต่มีมนุษย์ด้วยซ้ำ มิเช่นนั้นจะมียุคน้ำแข็งหรือยุคอบอุ่นซึ่งผ่านมานับร้อยนับพันปีได้อย่างไร

ในทุกวันนี้เราโฟกัสเพียงปัจจัยจากกิจกรรมของมนุษย์ เช่น คำนวณว่ามนุษย์ปล่อยคาร์บอนจำนวนเท่าใด และมีกระบวนการดูดซับคืนเท่าไร แต่ในมิติอื่นไม่ได้พูดถึงเท่าใดนัก ตัวอย่างกรณี PM2.5 และการเผา ซึ่งเชื่อมโยงกันเรามักมองว่า ฝุ่น PM2.5 เชื่อมโยงกับการเผา ยิ่งเผามากค่าฝุ่นก็ยิ่งเยอะ แต่เมื่อสำรวจจริงๆ เรากลับพบว่าในบางวันที่มีค่าฝุ่น PM2.5 มาก แต่ดาวเทียมกลับมีการจับจุดที่ตรวจพบค่าความร้อนสูงผิดปกติจากค่าความร้อนบนผิวโลกความร้อน (Hotspot) ไม่ได้เลย มันจึงสะท้อนว่า PM2.5 อาจไม่ใช่ตัวแปรตามทุกกิจกรรมที่มาจากการเผา อุปมาอุปไมย เหมือนกับว่า ถ้าอยากรู้ว่าคนนี้ฐานะดีแค่ไหน เราดูจากข้าวของเครื่องใช้ การแต่งตัวที่เขาสวมใส่ ซึ่งมันก็อธิบายได้บ้าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด เราสรุปไม่ได้

งานวิจัยของอาจารย์ที่นำเสนอคือการบอกว่ามีปัจจัยอื่นที่ทำให้โลกร้อนขึ้น?

ใช่ครับ เพราะถ้าจะพูดเรื่อง Climate Change จะมองแค่ปัจจัยจากมนุษย์อย่างเดียวไม่ได้

งานของผมเน้นเรื่องสารที่เรียกว่า BVOCs (Biogenic Volatile Organic Compounds) ซึ่งเป็นสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่ายจากสิ่งมีชีวิต เป็นโมเลกุลที่พืชปล่อยออกมาและมีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบหลัก โดย  BVOCs ตัวนี้ถ้าไปทำปฏิกิริยากับ ไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) ซึ่งมาจากท่อไอเสียหรือการที่ปุ๋ยไนโตรเจนทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ

เมื่อ BVOCs ทำปฏิกิริยากับ NOx จะก่อให้เกิดโอโซนและฝุ่น PM ในชั้นบรรยากาศ ซึ่งตัวฝุ่น PM นี้แหละคือตัวการสำคัญที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบทางเคมีของฝุ่นและสภาพอากาศในแต่ละพื้นที่ ตัว PM ที่เกิดขึ้น มีบทบาทสำคัญ เช่น ทำให้ร้อนขึ้น เพราะองค์ประกอบบางชนิดของฝุ่นดูดกลืนรังสี (เช่นมีสัดส่วนของธาตุคาร์บอนสูง) ทำให้เกิดการกักเก็บความร้อนในชั้นบรรยากาศ แต่อีกด้านหนึ่ง PM เดียวกันนั้น ทำหน้าที่เป็น “แกนกลั่นเมฆ (Cloud Condensation Nuclei: CCN)” เพิ่มการก่อตัวของเมฆ ซึ่งช่วยสะท้อนรังสีดวงอาทิตย์กลับออกไปสู่อวกาศส่งผลให้โลกเย็นลง นั่นหมายความว่า PM อาจส่งผลให้โลกร้อนขึ้นและเย็นลงได้ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับ “องค์ประกอบทางเคมีของฝุ่น” และ “เงื่อนไขอุตุนิยมวิทยา” ในแต่ละพื้นที่และฤดูกาล

ความฉลาดของธรรมชาติในเรื่องนี้คือปีไหนที่เป็นปีของ เอลนีโญ (El Niño) ต้นไม้จะพร้อมใจกันปล่อยสาร BVOCs ออกมาเพื่อให้ BVOCs ไปรวมกับสารตัวอื่น ซึ่งมีส่วนสำคัญในการกลั่นเมฆ เมื่อมีเมฆรวมตัวกันเยอะก็ดูดความชื้น และเป็นฝนในที่สุด กลายเป็นว่าในปีไหนที่มีอากาศร้อน ป่าสามารถออกคำสั่ง ให้เกิดฝนได้ และในทางตรงกันข้ามปีไหนฝนมาเยอะ ต้นไม้จะปล่อย BVOCs น้อย ถึงตรงนี้จึงหมายความว่ากลไกธรรมชาติได้คลี่คลายตัวเองบางส่วน แต่ก็ไม่ได้ทั้งหมด

กลไกทางธรรมชาตินี้ มนุษย์จะมีส่วนร่วมได้อย่างไร?

ผมต้องการสื่อสารว่า การที่เราจะไปชี้นิ้วว่า โลกร้อนหรือการเผา ไม่ใช่ต้นตอของปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งหมด แต่อยู่ที่นโยบายการทำเกษตรกรรมของมนุษย์ด้วย ในกรณีนี้ถ้าเราลดการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนลง หรือใช้ให้น้อยในระดับที่เหมาะสม จะมองว่าเป็นการลด NOx ซึ่งลดปัจจัยการเกิด PM ได้อีก

พูดแบบนี้ไม่ได้จะมองว่าพืชที่ปล่อยสารนี้ออกมาเป็นตัวร้าย เพราะการปล่อย BVOCs เราคุมไม่ได้อยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญคือต้องลดการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนลง และถ้าสำรวจประเทศที่ทำเกษตรกรรมมีการใช้ปุ๋ยไนโตรเจนเยอะจริงๆ

แต่ในสถานการณ์จริงเราใช้ปุ๋ยเคมีเยอะเกินไป ถ้าเราไปสำรวจดู ทั้งการใช้แอพลพิเคชั่น เราจะรู้เลยเลยว่า มีการปล่อย  จากการทำเกษตรเยอะจริงๆ ข้อเสนอผมประเด็นหนึ่งคือการลดใช้ปุ๋ยเคมี เพื่อลดปริมาณของ NOx ไม่ให้ไปทำปฏิกิริยากับ BVOCs และกลายเป็น PM

ต่อให้ไม่มีการเผา แต่ถ้ายังใช้ปุ๋ยเคมีที่มีการปล่อยไนโตรเจนอยู่ ก็ยังส่งกระทบต่อ Climate Change อยู่ดี ?

(พยักหน้า) แน่นอน มันเหมือนกับว่าการที่เรามองอนาคตข้างหน้า เราต้องเข้าใจกลไกทุกอย่าง

ผมเห็นด้วยนะกับการลดการปล่อยคาร์บอน แต่ถ้ามันมีเพียงแค่นั้นมันก็ถือว่าจบแล้วสิ ไม่ต้องวิจัยเรื่องอื่น การคาดการณ์สภาพภูมิอากาศที่ปัจจัยมันเยอะมาก เราต้องมองระบบโลกทั้งระบบ ไม่ใช่มองแค่กิจกรรมของมนุษย์ เพราะต่อให้ไม่มีมนุษย์โลกก็จะร้อนขึ้นและเย็นขึ้นด้วยตัวมันเองอยู่ดี

ว่าเฉพาะการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศ ประเทศไทยอยู่ในระดับไหน?

ไทยไม่ได้ปล่อยคาร์บอนฯ ขนาดนั้น เราปล่อยแทบไม่ถึง 1% ของทั้งโลก แต่เราได้รับผลกระทบอย่างเท่าเทียม เพราะโลกใบนี้ไม่ได้สนใจว่าใครปล่อยเท่าไร แต่ทุกคนได้รับผลกระทบไม่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับชั้นบรรยากาศ

สิ่งที่เป็นสาระสำคัญของไทยใน COP 30 คือการที่เรา ประกาศอย่างชัดเจนว่าภาย ในปี 2035 ประเทศไทยตั้งเป้าลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 152 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO2eq) หรือลดลง 47% เมื่อเทียบกับปี 2019 (ปีฐาน) โดยในจำนวนดังกล่าว ไทยสามารถดำเนินการได้เองเป็นสัดส่วน 70% และอีก 30% ต้องได้รับการสนับสนุนเงินทุนสีเขียวจากต่างประเทศจำนวน 7,047 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ดังนั้นเป็นท่าทีว่าเราเอาจริงเอาจังกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิกาอาศ ซึ่งจะส่งผลต่อนโยบายกการใช้พลังงานสะอาด ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง EV, Solar cell, พลังงานลม การมีมาตรการภาษีคาร์บอน หรือการจำหน่ายคาร์บอนเครดิต ซึ่งถือเป็นโอกาสทางธุรกิจ

นอกจากนี้ใน COP30 ยังให้ความสำคัญกับการสร้างเครือข่ายพันธมิตรในการจับมือระหว่างประเทศที่เป็นป่าเขตร้อน  (Tropical Forests) เพราะมีงานวิจัยที่ชี้ว่า ป่าเขตร้อน เป็นป่าที่มันเขียวตลอด  ไม่ต้องใช้เวลาผลัดใบ เป็นป่าที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ เขตร้อนเป็นปอดของโลก เป็นแหล่งดูดซับคาร์บอนมากที่สุดในโลก ประมาณ 4-5 พันล้านตัน ซึ่งป่าเขตร้อนนี้ อยู่ใน 1. ป่าแอมะซอน 2. คองโก และ 3. เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ครอบคลุมพื้นที่รวมกันกว่า 1.1 พันล้านเฮกตาร์ (ประมาณ 6.88 พันล้านไร่)

การรวบรวมป่าเขตร้อนในพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลก เพื่อทำให้ประเทศเจ้าของป่ารวมถึงประเทศไทยมีบทบาทมากขึ้นในฐานะผู้ปกป้องคาร์บอนของโลก และได้รับผลตอบแทนที่เป็นธรรม โดยมีการจัดตั้งพันธมิตรป่าไม้เขตร้อน (Three Basins Initiative) ระหว่างแอมะซอน คองโก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  (Coalition of the Three Basins) อย่างเป็นทางการ เพื่อร่วมมือด้านการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาการเงินเพื่อป่าไม้เขตร้อน (Tropical Forest Finance) และสร้างอำนาจการเจรจาและต่อรอง

กราฟสรุป “ประวัติภูมิอากาศโลกย้อนหลัง ~420,000 ปี” โดยอาศัยข้อมูลจากแกนน้ำแข็ง (ice core) และแสดงให้เห็นความเชื่อมโยงเชิงระบบระหว่าง ก๊าซเรือนกระจก–อุณหภูมิ–พลังงานจากดวงอาทิตย์ อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นหัวใจของการอธิบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ภาพบรรยายจาก ศ.ดร.ศิวัช พงษ์เพียจันทร์ )

ประเทศไทยควรเคลื่อนไหวอย่างไรจากนี้?

ควรใช้โอกาสนี้ในการใช้ประโยชน์จากป่าไม้ให้เป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรองในการเข้าถึงกลไกทางการเงินใหม่ด้านป่าไม้ ได้แก่ Tropical Forest Finance Mechanism รวมถึงพัฒนากฎระเบียบ และมาตรฐานเพื่อต่อยอดการเข้าถึงตลาดคาร์บอนระหว่างประเทศ

นอกจากนี้ที่ผมคิดว่าสำคัญมากและเชื่อมกับประเทศโดยตรงคือการที่ที่ประชุมให้ความสำคัญกับ แนวคิด Blue Carbon ซึ่งในที่นี่หมายถึงระบบนิเวศชายฝั่ง อันประกอบด้วย ป่าชายเลน ที่ราบน้ำท่วมถึง และหญ้าทะเล

โดยพื้นที่เหล่านี้ถือเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนที่มีประสิทธิภาพ ระบบนิเวศนี้กักเก็บคาร์บอนส่วนใหญ่ไว้ในรากและตะกอนดินซึ่งคาร์บอนเหล่านี้จะถูกกักเก็บได้นานนับพันปีในกรณีที่ไม่ถูกรบกวน ซึ่งเรื่องนี้ประเทศไทยได้เปรียบมาก เรามีทั้งหญ้าทะเล ป่าชายเลน ป่าไม้โกงกาง และไฟโตแพลงก์ตอนในอ่าวไทยและอันดามัน ทะเลสาบสงขลา  ยังมีพื้นที่อีกมากกว่า 160,000 ไร่ ที่จะสามารถฟื้นฟูหญ้าทะเลให้กลับมาเป็นระบบนิเวศที่สมบูรณ์ได้

ทั้งป่าเขตร้อนและ Blue Carbon นี้ เชื่อมโยงกับการตั้งเป้าหมาย Net Zero หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ด้วยการสร้างสมดุลระหว่างการปล่อยและการลดก๊าซเรือนกระจกของไทยให้ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะการฟื้นฟูพื้นที่บลู-คาร์บอนที่เป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนประสิทธิภาพสูง ให้เป็นหนึ่งในสมการที่จะเป็น เครื่องมือธรรมชาติที่ทรงพลังในการช่วยรับมือกับปัญหาโลกร้อน

ในฐานะนักวิชาการคุณจะนำเสนออะไรหลังจากการประชุมครั้งนี้?

อยากให้เรากระตุ้นในการฉกฉวยหรือตักตวงผลประโยชน์กับสิ่งที่เกิดขึ้น เหมือนกับช่วงโควิด-19 ที่แม้จะมีหลายคนเจ๊ง ล้มละลาย แต่ก็มีหลายคนที่ประสบความสำเร็จจากการเป็น New Normal การที่มีสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็จะเป็นจัดเปลี่ยนที่ทำให้แต่ละประเทศเกิดแนวทางใหม่ๆเช่นกัน เช่น การมีกองทุน Climate Finance ที่จะพิจารณาว่าจะมีธุรกิจไหนที่ได้เงินกองทุนบ้าง

สำหรับประเทศไทย แม้การประชุม COP 30 จะไม่ได้เป็นหัวข้อสนทนาของประชาชนทั่วไป แต่ไทยไม่สามารถไม่เกี่ยวข้องกับการประชุมนี้ได้ เพราะเป็นเวทีที่โลกกำลังหารือเกี่ยวกับทิศทางที่ทุกประเทศจะไปต่อในเรื่องการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

ทั้งนี้ยังรวมถึง การมีนโยบายทางการเกษตร เช่น การไม่เผาหลังการเก็บผลผลิต ซึ่งมันส่งผลกระทบมากต่อเกษตรกรและชั้นบรรยากาศในคราวเดียวกัน การใช้ปุ๋ยเคมีที่ต้องยอมรับว่าได้สร้างผลผลิตที่ดีกว่ามาก แต่ก็ถึงเวลาเลือกที่ประเทศไทยต้องเลือก Productivity (จำนวนผลผลิต) หรือ Quality (คุณภาพ) และถ้าเราเลือก Quality จุดหนึ่งที่เราต้องทำให้ได้คือความยั่งยืน ซึ่งความยั่งยืนต้องไม่ใช่การแก้ปัญหาเพียงระยะสั้น แต่ความแข็งแรงของระบบนิเวศต่างหากที่เป็นความยั่งยืน มันอาจจะไม่หวือหวาในการผลิต แต่เป็นการสร้าง Branding ในภาคการเกษตรที่ยั่งยืน ไม่กระทบต่อโลกร้อนในระยะยาว

เรื่อง : อรรถภูมิ อองกุลนะ

ภาพ : ณัฐวุฒิ เพ็งคำภู


อ่านเพิ่มเติม : เชื่อมวิศวกรรมสู่สังคม ภารกิจพื้นที่เปราะบางของธนาคารโลก เพื่อสร้างชุมชนรับมือสภาพภูมิอากาศ

© COPYRIGHT 2025 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.