กรุงนิวเดลีของอินเดีย เป็นอีกเมืองหนึ่งที่เผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศอย่างรุนแรง
ภาพถ่ายโดย Altaf Qadri, AP
ข่าว ฝุ่นละออง PM 2.5 จางหายไปในสัปดาห์นี้หลังการมาของกรณีป้าทุบรถกระบะที่จอดขวางหน้าบ้าน ซึ่งขณะนี้กำลังเป็นประเด็นร้อนที่คนไทยให้ความสนใจมากที่สุด ทุกพื้นที่สื่อพร้อมใจกันนำเสนอประเด็นทางสังคมนี้ราวกับว่าปัญหามลพิษทางอากาศได้ลาจากชาวกรุงเทพมหานครไปแล้วจริงๆ
ข่าวร้ายที่ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะล่าสุดข้อมูลจากเวทีเสวนา “ภัยร้าย “ฝุ่น” กลางเมือง” ที่ระดมบรรดานักวิชาการและนักสิ่งแวดล้อมมาร่วมพูดคุยหาทางออกเกี่ยวกับปัญหานี้ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2561 ระบุว่าปัญหาฝุ่นละอองจะยังคงปกคลุมและคุกคามชาวกรุงเทพมหานครต่อไปจนถึงเดือนเมษายน แม้ประเด็นนี้จะถูกแย่งพื้นที่ไปด้วยข่าวกระแสหลักแล้วก็ตาม ราวกับเป็นเจ้ากรรมนายเวรตามติดตัว
ทำไมต้อง PM 2.5? คำว่า PM ย่อมาจาก Particulate Matters เป็นคำเรียกค่ามาตรฐานของฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ ส่วน 2.5 นั้นมาจากหน่วย 2.5 ไมครอนหรือไมโครเมตร นั่นหมายความว่าเจ้าฝุ่นอนุภาคเล็กจิ๋วเหล่านี้มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางน้อยกว่า 2.5 ไมครอน ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ปกติแล้วไส้ดินสอกดจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 500 ไมครอน เส้นผมของมนุษย์อยู่ที่ 100 ไมครอน ฝุ่นละอองเหล่านี้มีขนาดเล็กแค่ไหน? ลองจินตนาการเปรียบเทียบดู
และด้วยความที่ขนาดของมันนั้นเล็กมากๆ ฝุ่นละออง PM 2.5 เหล่านี้จึงกลายเป็นปัญหา เนื่องจากพวกมันสามารถเล็ดรอดผ่านการดักของขนจมูกเข้าไปสู่ภายในร่างกายของเราได้และจะนำมาซึ่งปัญหาสุขภาพในระยะยาวตามมา ไม่ว่าจะเป็นโรคทางเดินหายใจหรือภูมิแพ้ และที่น่ากลัวก็คืออนุภาคของฝุ่นละอองที่ถูกสุดเข้าไปในร่างกายมีลักษณะขรุขระ ดังนั้นมันจึงพาเอาสารอื่นติดมาด้วย เช่น แคดเมียม ปรอท โลหะหนัก ไฮโดรคาร์บอน ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งมากขึ้น หากสูดเขาไปในปริมาณมากๆ จนสะสมในร่างกาย
ตรวจเช็คปริมาณค่าฝุ่นละอองกับกรมควบคุมมลพิษได้ ที่นี่
ผลสำรวจจากนิด้าโพลเมื่อวันที่ 14 – 15 กุมภาพันธ์ 2561 ประชาชน 58.64% มองว่าปัญหามลพิษและฝุ่นละอองนี้คือปัญหาเร่งด่วนที่ต้องรีบแก้ไข และอีก 61.52% เชื่อว่าฝุ่นละอองเหล่านี้มีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างรุนแรง ด้านกรมควบคุมมลพิษเองก็คอยออกมาอัพเดทสถานการณ์ปริมาณฝุ่นละออง PM 2.5 ในหลายเขตของกรุงเทพมหานครทุกวัน โดยจะเห็นได้ว่าในช่วงวันที่ 13 – 15 กุมภาพันธ์ 2561 ค่าปริมาณฝุ่นละอองนั้นเกินมาตรฐาน (ค่ามาตรฐานอยู่ที่ปริมาณฝุ่นละออง PM 2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมงไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ส่วนสหรัฐฯ กำหนดที่ 35 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ฉะนั้นค่าไม่เกินมาตรฐานใช่ว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ) ส่วนในช่วงวันที่ 17 – 20 กุมภาพันธ์ 2561 สถานการณ์ดีขึ้นมาก แม้จะยังคงมีฝุ่นละอองอยู่แต่ไม่เกินค่ามาตรฐาน ในขณะที่ทางกทม.เองนำรถออกฉีดพ่นน้ำบนท้องถนนและฟุตบาธหลายจุดในช่วงกลางคืน ท่ามกลางกระแสวิพากษ์วิจารณ์บนโซเชียลมีเดียว่าเป็นการแก้ปัญหาที่เป็นผักชีโรยหน้า
“การนำรถออกมาฉีดพ่นน้ำไม่น่าจะช่วยแก้ปัญหาได้นานค่ะ ตราบใดที่น้ำนั้นไม่ได้นำไปทิ้งหรือระบายลงท่อไป น้ำแค่ช่วยไม่ให้ฝุ่นฟุ้งกระจายออกไปในขณะที่ถนนยังเปียก แต่มื่อถนนแห้งฝุ่นก็จะกลับมาฟุ้งกระจายได้อีก” รองศาสตราจารย์ ดร. กัณฑรีย์ บุญประกอบ หัวหน้าหน่วยวิจัยไลเคน ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ตอบข้อสงสัยเกี่ยวกับการแก้ปัญหาด้วยรถฉีดพ่นน้ำผ่านอีเมล์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญที่เคยมีงานวิจัยเกี่ยวกับการตรวจวัดมลพิษทางอากาศด้วยไลเคน
“ในกรุงเทพมหานคร PM 2.5 มีปัจจัยการเกิดจากการเผาไหม้พลังงานฟอสซิล (น้ำมัน) เป็นสำคัญ เพราะมีรถยนต์จำนวนมากและการจราจรติดขัด ในระยะยาวควรแก้ปัญหาด้วยการสร้างระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพ มีการเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายอย่างสมบูรณ์เข้าถึงทุกพื้นที่ อนาคตรถยนต์ไฟฟ้าจะมีส่วนช่วยลดมลพิษได้มากโดยเฉพาะกับ ฝุ่นละออง PM 2.5” นอกจากนั้น ดร. กัณฑรีย์ ยังให้คำแนะนำเพิ่มเติมว่า กรุงเทพมหานครควรเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้มากขึ้น รวมไปถึงดูแลรักษาต้นไม้ที่มีอยู่แล้วให้สมบูรณ์อยู่เสมอ เนื่องจากต้นไม้เหล่านี้จะช่วยดูดซับสารพิษในอากาศได้ โดยเฉพาะกับเกาะกลางถนน แค่ลำพังหญ้าหรือพืชที่คลุมดินนั้นไม่เพียงพอ เมื่อมียานยนต์หนาแน่นจะเกิดฝุ่นขนาดใหญ่ (PM 10) ฟุ้งกระจาย ซึ่งเมื่อผสมผสานกับฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 จะยิ่งทำให้สภาวะมลพิษรุนแรงขึ้น
ในต่างประเทศการปลูกต้นไม้บนเกาะกลางถนนทำโดยให้วัสดุปลูกและดินอยู่ต่ำกว่าขอบเกาะ รวมทั้งจะปิดหน้าดินด้วยวัสดุคล้ายเปลือกไม้ ซึ่งจะช่วยให้ฝุ่นไม่ฟุ้งกระจายหรือไหลลงบนพื้นถนน ต่างจากในไทยที่นิยมพูนดินบนเกาะกลางถนนให้สูงไปกว่าขอบ เหล่านี้คือแนวทางที่บ้านเราสามารถนำมาปรับใช้ได้เพื่อลดปัญหามลพิษ
ปัญหาฝุ่นละอองกำลังกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่คุกคามสุขภาพของผู้คนในหลากหลายประเทศ ก่อนหน้านี้กรุงปักกิ่ง ในจีนและกรุงนิวเดลี ในอินเดีย ก็เผชิญกับวิกฤติดังกล่าว ร้ายแรงที่สุดคือในวันที่ฝุ่นและหมอกควันเข้าปกคลุมมากๆ คนอินเดียได้รับผลกระทบถึงขนาดไม่สามารถมองเห็นได้ไกลกว่าในระยะ 300 เมตร จนทำให้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์กันมาแล้ว รัฐบาลต้องออกมาตรการป้องกันและแก้ไขไม่ให้ปัญหาลุกลามไปมากกว่าเดิม รถเก๋งที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดใหญ่รวมไปถึงรถ SUV เครื่องยนต์มากกว่า 2,000CC ถูกแบน รวมไปถึงรถแท็กซี่อีกหลายหมื่นคันที่ใช้น้ำมันดีเซลด้วย
ข้ามฝั่งไปที่ยุโรป ในกรุงปารีส รัฐบาลมีมาตรการแบนรถยนต์เก่าเช่นกัน รวมไปถึงสนับสนุนให้ประชาชนหันมาให้ระบบขนส่งมวลชนและจักรยานกันมากขึ้น ด้วยการเปิดให้ใช้บริการฟรีในช่วงที่ต้องต่อสู้กับปัญหามลพิษที่เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนั้นยังมีการกำหนดพื้นที่ปลอดรถยนต์ เช่นบริเวณตามแนวแม่น้ำแซน ด้านประเทศเนเธอร์แลนด์มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลกว่า รัฐบาลเตรียมแบนบริษัทขายรถยนต์ที่ยังคงใช้พลังงานเชื้อเพลิงจากน้ำมันภายในปี 2025 นี้ นั่นหมายความว่าในอนาคตรถยนต์ที่วิ่งในประเทศนี้จะมีแต่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าและพลังงานทดแทนเท่านั้น ซึ่งไม่เป็นปัญหาเท่าใด เพราะประเทศนี้มีผู้ใช้จักรยานมากกว่าผู้ขับขี่รถยนต์อยู่แล้ว
ในระหว่างที่ต้องรอการแก้ไขปัญหาจากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประชาชนทั่วไปควรที่จะป้องกันสุขภาพของตนเองไว้ หากไม่สามารถหลีกเลี่ยงการเดินทางออกจากบ้านหรือใช้บริการขนส่งสาธารณในวันที่ค่าปริมาณฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน ด้วยการหาหน้ากาก N95 หรือ P-100 respirators ที่ใช้สำหรับป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ โดยสามารถกรองอนุภาคขนาด 1 – 5 ไมครอนได้ร้อยละ 95 ส่วนหน้ากากอนามัยทั่วไปนั้นไม่สามารถกรอง ฝุ่นละออง PM 2.5 ได้ ใช้กรองได้เพียงฝุ่นขนาดใหญ่เท่านั้น
ขอบคุณข้อมูลจาก
รองศาสตราจารย์ ดร. กัณฑรีย์ บุญประกอบ
https://www.posttoday.com/social/general/540993
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/792871
http://www.greenpeace.org/seasia/th/news/blog1/pm25/blog/61132/
http://www.newtv.co.th/news/11832
https://www.voicetv.co.th/read/S1WjswFPG
https://www.facebook.com/OhISeebyAjarnJess/posts/356323228184070
https://www.facebook.com/pg/PCD.go.th/photos/?ref=page_internal
https://news.thaiware.com/12547.html
http://www.csc-biz.com/thai/dust.html
อ่านเพิ่มเติม