ยามเย็นของปลายเดือนสิงหาคม ชายคนหนึ่งทรุดตัวนั่งบนกระสอบทรายที่ถูกวางเสริมบนผนังกั้นน้ำกลางเมืองสุโขทัย มือหนึ่งเขาถือโทรศัพท์ที่เหมือนเพิ่งวางสายกับคู่สนทนา ขณะที่อีกข้างเขาจับกล่องใส่อาหารไว้แน่น
ดวงอาทิตย์ตอนใกล้ลับขอบฟ้าทำให้แสงสว่างดูอุ่นขึ้น และหากนิยามมื้ออาหารของชายตรงหน้า เราอาจเรียกได้ว่านี่คือ “อาหารหลักสิบ วิวหลักล้าน” เพราะฉากหลังของเขาคือแม่น้ำยม แม่น้ำสายหลักของคนสุโขทัย โดยมีแสงไฟบนสะพานพระร่วง ถนนเชื่อมเมืองสุโขทัยสองฝั่งเป็นภาพเบื้องหลังที่ซ้อนทับอีกชั้นหนึ่ง
“ถ้าน้ำจากจังหวัดแพร่ จังหวัดพะเยามามาก อีกไม่กี่วันต้องมาที่นี่แน่นอน ปลายเดือนที่แล้วน้ำดันดินใต้พนังกั้นน้ำเป็นโพรง เข้าท่วมตรงนี้ไวมาก” ชายคนนั้นพูดขึ้นทำลายความเงียบ พลางชี้มือไปที่ชุมชนคูหาสุวรรณ อีกหนึ่งจุดที่กระแสน้ำจากแม่น้ำยมทะลักผ่านกำแพงเข้าชุมชนอย่างรวดเร็ว เมื่อครั้งอิทธิพลพายุวิภาทำภาคเหนือฝนตกหนักในหลายจังหวัด เมื่อวันที่ 22-24 กรกฎาคม 2568 ก่อนถัดมาไม่กี่วันน้ำจะล้นตลิ่งตรงจังหวัดสุโขทัย
จรัญ อิ่มขันธ์ ประธานชุมชนคูหาสุวรรณ เขตเทศบาลเมืองสุโขทัยธานี จังหวัดสุโขทัย เล่าเหตุการณ์เมื่อช่วงเช้ามืดวันที่ 26 กรกฎาคมที่ผ่านมาว่า ตอนประมาณ 05.00 น. กำแพงผนังกั้นน้ำบางจุดในชุมชนเสียหาย ทำให้น้ำไหลทะลักเข้าชุมชนแบบไม่ทันตั้งตัว บางครอบครัวที่มีผู้สูงอายุหรือเด็กเล็ก ต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น แต่มีอีกไม่น้อยที่อยู่สู้กับน้ำที่บ้านโดยอาศัยการใช้ชีวิตอยู่บนชั้นสอง
มันเป็นเช้ามืดที่วุ่นวายเอาเรื่องสำหรับผู้นำชุมชนในเขตเมือง แต่ถึงเช่นนั้นหากพยายามมองหาด้านบวก อย่างเดียวที่มีคือคนสุโขทัยมีประสบการณ์และคุ้นเคยกับน้ำ เพราะน้ำท่วมกับสุโขทัยไม่ใช่เรื่องใหม่แต่เกิดขึ้นเกือบทุกปี อีกทั้งหน่วยงานต่างๆในจังหวัดจะดำเนินการตามแผนที่ได้เตรียมมา ทั้งการเคลื่อนย้ายผู้คนไปที่แหล่งพักพิงในที่ทำการเทศบาล การนำกระสอบทรายเพื่ออุดรอยรั่วของกำแพงกั้นน้ำ การหาอาหารและของใช้ที่จำเป็น การสำรวจข้อมูลกลุ่มเปราะบางเพื่อเตรียมเคลื่อนย้าย เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการ ผู้ป่วยติดเตียง โดยทีมสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.)
ทำไมสุโขทัยจึงน้ำท่วม? คำถามนี้อธิบายในเชิงกายภาพได้ว่า เพราะจังหวัดสุโขทัยมีสภาพพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่ม ตอนเหนือเป็นที่ราบสูง โดยมีภูเขายาวพาดผ่านทางตะวันตก ขณะที่ตอนกลางจังหวัดเป็นแอ่งกว้างคล้ายกระทะ ทำให้น้ำจากหลายจังหวัดรอบข้างไหลมารวมกัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำจากจังหวัดกำแพงเพชรที่ไหลเข้ามาในอำเภอคีรีมาศ หรือน้ำจากอำเภอเถิน จังหวัดลำปาง ที่ไหลเข้าสู่อำเภอทุ่งเสลี่ยมและอำเภอเมืองสุโขทัย น้ำจากจังหวัดพะเยาและแพร่ผ่านทางแม่น้ำยม
แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดสุโขทัย พ.ศ. 2564 – 2570 ระบุตอนหนึ่งว่า ช่วงที่แม่น้ำยมไหลผ่านจากเหนือลงใต้ผ่านพื้นที่อำเภอศรีสัชนาลัย, สวรรคโลก, ศรีสำโรง, เมืองสุโขทัย และอำเภอกงไกรลาศ ซึ่งรวมระยะทางประมาณ 170 กิโลเมตร โดยช่วงนี้เองเป็นช่วงที่แม่น้ำมีความลาดเทสูงโดยเฉพาะช่วงต้นน้ำ จึงเป็นปัญหาในเรื่องการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำในแม่น้ำยม ในช่วงฤดูฝนจะมีน้ำมากเกินความต้องการ และไหลลงสู่ทางใต้อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดน้ำท่วมบริเวณที่ราบลุ่ม เป็นเหตุให้พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหาย ขณะที่ขีดความสามารถในการระบายน้ำ ผ่านประตูระบายน้ำแห่งเดียวคือที่บ้านหาดสะพานจันทร์ อำเภอสวรรคโลก ซึ่งทำหน้าที่กั้นแม่น้ำยมเพื่อผันน้ำออกไปตามคลองต่างๆ ช่วยลดปริมาณน้ำที่ไหลผ่านตัวเมือง ทำได้เพียงแค่บางส่วน
แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ยังอธิบายว่า สถิติการเกิดอุทกภัยในจังหวัดสุโขทัย ระหว่างปี พ.ศ.2553-2563 ของจังหวัดสุโขทัย อยู่ที่ 14 ครั้ง แต่ถึงเช่นนั้น แม้จะเป็นจังหวัดถูกพูดถึงเรื่องน้ำท่วม แต่ในอีกด้านหนึ่งผู้คนที่นี่ก็พบกับภัยแล้งเช่นกัน โดยสถิติการเกิดภัยแล้ง ระหว่างปี พ.ศ.2553-2563 อยู่ที่ 4 ครั้ง มีช่วงเวลาเฝ้าระวังคือมกราคม-เมษายนของทุกปี โดยเฉพาะที่ตำบลนาขุนไกร อำเภอศรีสำโรง ซึ่งเป็นพื้นที่สูง จะประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำเป็นประจำทุกปี นั่นเพราะน้ำในแม่น้ำยม ลำคลอง และแหล่งน้ำชุมชนลดระดับลงจนไม่เพียงพอสำหรับการเกษตรและการใช้อุปโภคบริโภค ทำให้ชาวบ้านจำนวนมากต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงทางน้ำ ที่ส่งผลต่อรายได้และคุณภาพชีวิต
บางคนนิยามสุโขทัยคือ “เมืองสองน้ำ” ที่ต้องเผชิญทั้งน้ำท่วมและภัยแล้งในทุกปี แต่สิ่งที่ขับเน้นความเป็นสุโขทัยมากกว่าภัยธรรมชาติ คือความสามารถของผู้คนในการอยู่รอด และสร้างทางออกใหม่ให้การดำรงชีวิตสอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
ภฤนธร ดีคำ เจ้าของร้านอาหารเฟื่องฟ้า อ.เมือง จ.สุโขทัย ซึ่งอาศัยที่สุโขทัยตั้งแต่บรรพบุรุษ บอกเราว่า คนสุโขทัยรู้งาน รู้สถานการณ์ เพราะภัยธรรมชาติอย่างน้ำท่วมน้ำแล้งได้ยินตั้งแต่จำความได้
“ไม่ได้เคยชิน จะเรียกแบบนั้นไม่ได้ เพราะใครจะชินกับความเดือดร้อน แต่เรียกว่าเรารู้ว่าต้องรับมืออย่างไร”
ตัวอย่างง่ายๆ คือการสร้างบ้างที่ใต้ถุนยกสูง มีหน้าต่างรอบทิศระบายความร้อน การจัดวางสิ่งของสำคัญไว้บนชั้นสอง ครอบครัวที่มีผู้สูงอายุจัดเตรียมที่นอนทั้งในสถานการณ์ปกติและฤดูน้ำมา ขณะที่
เมื่อน้ำลดคนสุโขทัยจะซ่อมแซมบ้าน สำรวจความเสียหายของเครื่องใช้ไฟฟ้า เตรียมถุงกระสอบทรายติดบ้านไว้เพื่อรับมือกับน้ำในครั้งต่อไป เช่นเดียวกับด้านภัยแล้งที่ในชุมชนจะขุดบ่อเก็บน้ำ เน้นการปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย เช่น ข้าวโพด ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
ที่น่าจะเป็นเรื่องสำคัญคือการปรับเปลี่ยนอาชีพให้ยืดหยุ่น เช่น การปลูกกล้วยตานีเพื่อเก็บเกี่ยวใบตองเป็นหลักแทนการขายผล การผลิตไม้กวาดดอกหญ้าในชุมชน ชดเชยการทำงานกลางแจ้งเพื่อหลบเลี่ยงอากาศที่ร้อนจัด การรับจ้างเลี้ยงวัวเนื้อเพื่อไปจำหน่ายต่อ
นรารัตน์ คเชนธร บ้านสันติสุข ตำบลนาขุนไกร อำเภอศรีสำโรง ผู้ประกอบการผลิตไม้กวาดดอกหญ้า “พ่อใหญ่บุญโฮม ไม้กวาดดอกหญ้า สุโขทัย” บอกว่า อากาศที่ร้อนและแล้งจัดทำให้การทำนาไม่ใช่อาชีพเดียวที่ชาวบ้านพึ่งพิงอีกต่อไป การรวมตัวผลิตไม้กวาดดอกหญ้าเพื่อส่งขายกรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง จึงเป็นอาชีพเสริมที่สำคัญไม่ต่างจากอาชีพหลัก โดยอาชีพนี้ทำรายได้เฉลี่ยครอบครัวละ 1,000 บาทต่อสัปดาห์
“อากาศร้อนทำให้การทำนากลางแจ้งทำได้แค่ตอนเช้ากับตอนเย็น ส่วนตอนกลางวันจะรวมกลุ่มทำไม้กวาด ใครทำมากก็ได้มาก มีคนรับไปขายต่อบ้าง ส่งไปขายที่กรุงเทพฯเองบ้าง และก็เปิดเพจเพื่อขายออนไลน์และคิดค่าส่งตามจริง”
ในเวลาที่ภัยธรรมชาตินำมาซึ่งความเดือดร้อนของผู้คน แต่อีกด้านนั่นก็เป็นโจทย์ให้จังหวัดพัฒนาแผนรับมือให้รัดกุมกว่าเดิม เช่นที่ เทศบาลตำบลทับผึ้ง อำเภอศรีสำโรง จังหวัดสุโขทัย ซึ่งให้การติดตามสถานการณ์น้ำเป็นหนึ่งในวาระสำคัญที่ต้องมีทีมงานรับผิดชอบ
สนอง อินทิม นายกองค์การบริหารส่วนตำบลทับผึ้ง อธิบายว่า พวกเขาสรุปบทเรียนทุกครั้งที่เกิดเหตุ มีกลุ่มแจ้งเตือนคนในชุมชน และในยามปกติเราพยายามพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งร่างกายและจิตใจ จัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรับมือในอนาคต
ภัยธรรมชาติมาพร้อมความเสี่ยงและผลกระทบที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้คน รายงาน “การเสริมสร้างความเข้มแข็งต่อสภาพภูมิอากาศให้กับประชากรและชุมชนที่เปราะบางในประเทศไทย” โดยความร่วมมือระหว่างธนาคารโลก กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุตอนหนึ่งว่า หากไม่มีการดำเนินการที่เด็ดขาดเพื่อลดความเสี่ยงและเสริมสร้างความยืดหยุ่นในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศประเทศไทยอาจสูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึง 20% ของ GDP ภายในอีก 25 ปีข้างหน้า
รายงานระบุว่า ประชากรที่เปราะบางต่อสภาพภูมิอากาศ มีจำนวน 9.4 ล้านคนทั่วประเทศ โดยในจำนวนนี้มีประชากรเปราะบางราว 600,000 คน อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมสูง ครอบคลุม 37 จังหวัด ขณะเดียวกัน ภัยแล้งยังคุกคามประชาชนเกือบ 500,000 คน ในพื้นที่เสี่ยงสูงกว่า 21 จังหวัด และการกัดเซาะชายฝั่งกำลังเป็นภัยต่อประชากรมากกว่า 114,000 คน ในพื้นที่เสี่ยงสูงของจังหวัดภาคใต้
แม้ชุมชนทั่วประเทศไทย เช่น ที่ จ.สุโขทัย จะแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่หากไม่ได้รับการสนับสนุนที่เข้มแข็งมากขึ้น กลไกการรับมือของพวกเขาจะยังคงเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า
ภมรรัตน์ ตันสงวนวงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาสังคมอาวุโส ธนาคารโลก กล่าวว่า ได้ร่วมมือกันจัดทำแผนที่ความเสี่ยงของภัยและกลุ่มเปราะบางเพื่อเป็นข้อมูลในการหาแนวทางประสานความร่วมมือในการป้องกัน เตรียมความพร้อมรับมือ ช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบโดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยชุดข้อมูลในรายงานนี้ จะสนับสนุนหน่วยงาที่เกี่ยวข้องสามารถรับมือและช่วยชุมชนปรับตัวต่อภัยธรรมชาติ มีการซ้อนแผนที่ความเสี่ยงภัยในด้านต่างๆกับประชากรในพื้นที่และประชากรเปราะบางที่ทางกระทรวงฯให้การสนับสนุน
ข้อมูลจากการทำวิจัยเก็บข้อมูลในชุมชนที่เปราะบางชี้ให้เห็นถึงข้อจำกัด ประเด็นท้าทาย ความสำคัญและความจำเป็นของการประสานแผนงานและการปฎิบัติการในทุกระดับ ชี้ให้เห็นถึงวิธีการที่ประเทศไทยใช้แนวทางเฉพาะในการวางแผนเพื่อชุมชนที่เปราะบาง พร้อมเสนอข้อแนะนำสำคัญ ได้แก่ การลงทุนในระบบข้อมูลที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น การขยายมาตรการป้องกันล่วงหน้า การเสริมบทบาทขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนอย่างลึกซึ้ง เพื่อสร้างความยืดหยุ่นที่ครอบคลุมและเท่าเทียม
ทั้งนี้รายงานยังเน้นย้ำถึงความสำคัญของการจัดเตรียมศูนย์พักพิงชั่วคราวสำหรับการรับมือภัยพิบัติให้อยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมสูง เพื่อปกป้องครัวเรือนที่เปราะบางนับพันรายในช่วงวิกฤต โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ผู้พิการ เด็กเล็ก และสตรีมีครรภ์
ในช่วงก่อนการประชุมประจำปี IMF–World Bank Group ปี 2569 ธนาคารโลกได้เปิดตัวโครงการสำคัญ “สร้างอนาคตประเทศไทยวันนี้” เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จด้านการพัฒนาของประเทศไทย และกำหนดแนวทางการเติบโตที่ครอบคลุมและยั่งยืนต่อสภาพภูมิอากาศ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงแนวทางหลักของประเทศไทยในการเร่งการปรับตัวและบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พร้อมกับสร้างงานและโอกาสที่ช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนที่เปราะบางที่สุด
ดาวน์โหลดรายงานฉบับเต็ม “Building Climate Resilience of Vulnerable Populations and Communities in Thailand”
เรื่อง : อรรถภูมิ อองกุลนะ
ภาพ : หาญณเรศ หริพ่าย