เมืองไทยในอดีต : ศรัทธาและศาสนา

เมืองไทยในอดีต : ศรัทธาและศาสนา

กรุงเทพฯกอปรด้วยวิถีศาสนาอันหลากหลาย ยามเช้าตรู่มีเสียงอะซานแว่วมาจากสุเหร่า ควันธูปลอยคลุ้งอยู่กลางศาลเจ้าของชาวจีน ท่วงทำนองสวดพระมหาคัมภีร์คุรุครันธ์ซาฮิบหลอมรวมดวงจิตของชาวซิกข์ พระสงฆ์ผู้เคร่งครัดในวิถีแห่งพุทธองค์พายเรือออกบิณฑบาตในละแวกวัด บทเพลงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้ากังวานก้องในโบสถ์คริตส์ ศาสนิกชนคารวะเทวรูปพระแม่อุมาเทวีด้วยดวงจิตนอบน้อม ความหลากหลายทางศาสนาเป็นผลมาจากความหลากหลายทางชาติพันธุ์ที่ผสมผสานกันอยู่ในนครฟ้าอมรแห่งนี้ ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของคนส่วนใหญ่และได้รับการค้ำชูจากสถาบันการปกครองมากที่สุด พระมหากษัตริย์ประกาศพระองค์เป็นพุทธมามกะและเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภกแห่งพุทธศาสนามาโดยตลอด

ความผสมผสานระหว่างคติพุทธ พราหมณ์ และจิตวิญญาณ (ผี) เป็นมรดกจากการผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนผู้ปกครองและอารยธรรมและอาณาจักรที่เคยรุ่งเรืองในดินแดนแถบนี้ อาทิ ขอม ละโว้ ตามพรลิงค์ สุพรรณภูมิ สุโขทัย และอยุธยา ขณะเดียวกัน การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมบนดินแดนที่มีการค้าเป็นพลังขับเคลื่อนยังตอกย้ำให้วิถีทางจิตวิญญาณผสมกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันและหยั่งรากลงในวิถีชีวิตตั้งแต่ไพร่ฟ้าข้าราชการแผ่นดินไปจนถึงพระราชพิธีในรั้ววัง พระราชพิธีพิรุณศาสตร์ และพระราชพิธีตรียัมปวาย

แม้จะอยู่ในสังคมพุทธ ทว่าพราหมณ์ยังคงมีบทบาทในฐานะผู้ประกอบพระราชพิธีศักดิ์สิทธิ์มากมาย สะท้อนให้เห็นอิทธิพลทางศาสนาที่หลงเหลือมาจากยุคขอมโบราณ

การล่มสลายของอาณาจักรอยุธยาเป็นความตกต่ำร้ายแรงของพุทธศาสนา สงครามครั้งนี้มิได้มุ่งเพียงแค่การยอมศิโรราบของชนชั้นปกครอง หากพุ่งประเด็นไปที่การทำลายล้างอาณาจักรไม่ให้กลับมาฟื้นตัวได้อีก และวิธีที่ง่ายที่สุดคือการทำลายล้างอาณาจักรไม่ให้กลับมาฟื้นตัวได้อีก และวิธีที่ง่ายที่สุดคือการทำลายให้ราพณาสูรทั้งวัดวาอารามและสัญลักษณ์ทางศาสนา ศาสนวัตถุจำนวนมากสูญหาย คณะสงฆ์หวาดกลัวจนแตกฉานซ่านกระเซ็นไปตามป่าเขา พระไตรปิฎกถูกเผาทำลาย วัดวาอารามมอดไหม้ในกองเพลิง

 


ชมภาพเมืองไทยในอดีตเพิ่มเติม

เมืองไทยในอดีต : ไพร่ฟ้าสามัญชน


 

ลุสู่สมัยรัตนโกสินทร์ การฟื้นฟูศาสนาเริ่มเป็นรูปเป็นร่างหลังจากพระบาทสมเด็กจพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสถาปนากรุงเทพฯเป็นเมืองหลวงใหม่ พระองค์ทรงโปรดให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามในเขตพระราชฐานเฉกเช่นวัดพระศรีสรรเพชญ์ในเขตพระราชวังหลวงอยุธยา เพื่อบำรุงขวัญกำลังใจไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ ทั้งยังโปรดให้อัญเชิญพระพุทธรูปโบราณที่ได้รับความเสียหายจากหัวเมืองต่างๆ มาปฏิสังขรณ์เป็นจำนวนถึง 1248 องค์ ก่อนจะทรงถวายวัด มีรับสั่งให้สร้างวัดสุทัศนเทพวรารามเพื่อประดิษฐานหลวงพ่อโตหรือพระศรีศากยมุนีจากสุโขทัย และบูรณะวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามซึ่งเป็นวัดเก่าสมัยอยุธยา พร้อมทั้งโปรดให้สังคายนาพระไตรปิฎกและคัดลอกเพื่อเผยแพร่ไปยังวัดต่างๆ ขณะเดียวกัน การสร้างศาลหลักเมืองเป็นศูนย์กลางยังสะท้อนโลกทัศน์แบบไตรภูมิ แนวคิดที่เปรียบเสมือนสารานุกรมอธิบายปรากฏการณ์ทุกสิ่งทุกอย่างและยังครอบงำโลกทัศน์ของผู้คนเรื่อยมา กระทั่งถูกท้าทายจากแนวคิดเชิง “เหตุผลนิยม” ในช่วงปลายสมัยรัชกาลที่ 3 นอกจากนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชยังดปรดให้ก่อสร้างเทวสถานซึ่งเป็นศาสนสถานสำคัญที่สุดของศาสนาพราหมณ์และฮินดูด้วย

 

บทบาทของพระภิกษุและวัดในพระพุทธศาสนาหยั่งรากลึกไปถึงชีวิตประจำวันของศาสนิกชน เนื่องจากวัดเป็นทั้งศาสนมณฑลและโรงเรียนสำหรับชนทุกระดับ

ปฏิสัมพันธ์กับโลกตะวันตกชักนำหมอสอนศาสนาและบาทหลวงกลับมาอีกครั้งหลังจากหลบหนีไประหว่างสงครามเสียกรุงเก่า ทว่าแม้สนธิสัญญาเบอร์นีย์ระหว่างสยามกับอังกฤษจะเป็นเสมือนก้าวแรกแห่งการเปิดประเทศอย่างเป็นทางการ แต่ลึกลงไป พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวกลับทรงมองว่าชาติตะวันตกเป็นภัยคุกคาม เช่นเดียวกับศาสนาความเชื่อที่แพร่เข้ามาในกรุงเทพฯพร้อมกับวิทยาการตะวันตก ในระยะแรกจึงทรงห้ามสอนหมอศาสนาเผยแพร่คำสอนให้ชาวไทย ด้วยทรงเกรงว่าจะหันไปเข้ารีตเสียหมด แต่ทรงอนุญาตให้เผยแผ่ในหมู่ชาติพันธุ์อื่นๆได้

พระราชพิธีตรียัมปวายหรือโล้ชิงช้าเป็นพระราชพิธีโบราณของศาสนาพราหมณ์และฮินดูสำหรับต้อนรับพระอิศวรจากสวรรค์ นับเป็นอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์และฮินดูที่สอดแทรกอยู่ในสังคมพุทธ เสาชิงชาสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 และบูรณปฏิสังขรณ์เรื่อยมา แม้พระราชพิธีตรียัมปวายจะยกเลิกไปในสมัยรัชกาลที่ 7 ทว่าเสาชิงช้ายังคงเป็นสัญลักษณ์สำคัญของกรุงเทพฯ

ต่อมาเมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศให้การนับถือศาสนาอื่นๆเป็นไปอย่างเสรี ความอึดอัดคับข้องใจจึงค่อยๆผ่อนคลายลง กล่าวกันว่า นั่นเป็นอีกหนึ่งกลไกที่ช่วยให้สยามรอดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้นของชาติตะวันตก การก่อสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์วัดถือเป็นพระราชประเพณีที่ได้รับการสืบสานมาอย่างต่อเนื่อง อิทธิพลตะวันตกเผยผ่านศิลปะและสถาปัตยกรรมในศาสนสถาน วัดกลายเป็นสิ่งที่แสดงออกถึง “ความอารยะ” กระทั่งล่วงเลยสู่สมัยพระบาทสมเด็จพระมุงกฏเกล้าเจ้าอยู่หัว การสร้างวัดใหม่ๆจึงเริ่มชะลอตัวลง เพราะก่อนหน้านั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชปรารภว่า วัดในกรุงเทพฯมีเพียงพอแล้ว และเนื่องจากจำนวนวัดเดิมมีอยู่มาก การบูรณปฏิสังขรณ์จึงต้องอาศัยจำนวนเม็ดเงินมหาศาล ซ้ำยังมีอุปสรรคจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำหลังสงครามโลกครั้งที่หนึ่งด้วย

ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปีพ.ศ. 2475 บรรยากาศการเรียกร้องความเสมอภาคกำลังคุกรุ่น ระบอบเจ้าถูกลดอนความสำคัญลงอย่างฮวบฮาบและถูกสร้างภาพว่าเป็นระบบที่ถ่วงความเจริญของประเทศ การก่อสร้างวัดพระศรีมหาธาตุเต็มไปด้วยนัยทางการเมือง วัดนี้เดิมชื่อว่า “วัดประชาธิปไตย” สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พระภิกษุรูปแรกที่อุปสมบทในวัดนี้คือพระยาพหลพยุหเสนา แกนนำคณะปฏิวัติปีพ.ศ. 2475 ฐานเจดีย์วัดนี้เป็นสถานที่บรรจุอัฐิของคณะปฏิวัติ อีกทั้งทำเลที่ตั้งในย่านบางเขนยังใกล้กับอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ (บ้างเรียกอนุสาวรีย์หลักสี่หรืออนุสาวรีย์ปราบกบฏ) อนุสรณ์ที่ระลึกถึงเหตุการณ์กบฏบวรเดชซึ่งมีพระองค์เจ้าบวรเดชทรงเป็นผู้นำเมื่อปีพ.ศ. 2476 อันเป็นการต่อสู้ระหว่างตัวแทนระบอบเจ้ากับประชาชน

อย่างไรก็ดี ความพยายามของคณะปฏิวัติและรัฐบาลก็ไม่ต่างอะไรกับชนชั้นปกครองในระบอบเจ้ายุคก่อนหน้า การก่อสร้างวัดพระศรีมหาธาตุถูกเปรียบเปรยว่าเป็นเสมือนการสร้างวัดประจำรัชกาล รัฐบาลหรือผู้ปกครองยังคงใช้ศาสนาเป็น “เครื่องมือ” ปกครองและจัดระเบียบสังคมเช่นเคย ไม่ว่าการเมืองในประเทศและโลกจะหมุนเปลี่ยนไปในทิศทางใด

และไม่ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่ก็ตาม

 

ชมภาพเมืองไทยในอดีตเพิ่มเติม

เมืองไทยในอดีต : สีสันย่านนิยม

© COPYRIGHT 2024 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.