นครโบราณออลมุล (Holmul) หาใช่ซากปรักที่งดงามน่าชม เมื่อมองเผินๆ เป็นเพียงหมู่เนินเขาสูงชัน ปกคลุมด้วยผืนป่า อยู่ท่ามกลาง ป่ารกชัฏทางตอนเหนือของประเทศกัวเตมาลา ใกล้ชายแดนเม็กซิโก ป่าในแอ่งเปเตนแห่งนี้มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น ร้อน แต่แห้งแล้งกว่าที่คุณคิด ทั่วทั้งป่าเงียบสงบ จะมีก็แต่เสียงจักจั่นและเสียงกู่ร้องของลิงเฮาเลอร์ดังมาเป็นครั้งคราว
แต่เมื่อพินิจพิจารณาดีๆ คุณอาจสังเกตเห็นว่า เนินเขาเหล่านี้ส่วนใหญ่เรียงตัวเป็นวงแหวนขนาดใหญ่ และถ้ามองให้ถี่ถ้วนยิ่งขึ้นจะเห็นว่า บางส่วนของเนินเหล่านี้สร้างด้วยหินสกัด เนินบางลูกยังมีอุโมงค์ที่เจาะเข้าไปตรงด้านข้าง ซึ่งจริงๆแล้วนี่ไม่ใช่เนินเขา หากเป็นพีระมิดโบราณที่ถูกทิ้งร้างหลังการล่มสลายของอารยธรรมมายาเมื่อหนึ่งพันปีมาแล้ว
แหล่งโบราณคดีแห่งนี้เคยรุ่งเรืองในยุคคลาสสิกของชาวมายา [Classic Maya Period ระหว่าง ค.ศ. 250-900] ซึ่งเป็นช่วงที่การเขียนและวัฒนธรรมเฟื่องฟูไปทั่วบริเวณ ซึ่งปัจจุบันคืออเมริกากลางและตอนใต้ของเม็กซิโก แต่ก็เป็นช่วงที่มีความวุ่นวายทางการเมืองด้วย เพราะนครรัฐกระหายสงครามสองแห่งสู้รบแย่งชิงความเป็นใหญ่กันไม่ว่างเว้น มีช่วงเวลาสั้นๆ ช่วงหนึ่งที่นครรัฐหนึ่งในสองแห่งนี้ได้ชัยและกลายเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับคำว่าจักรวรรดิมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของชาวมายา นครนี้ปกครองโดยเหล่าราชันอสรพิษ (Snake King) แห่งราชวงศ์คานุล ซึ่งเมื่อไม่กี่ทศวรรษก่อนหน้านี้ยังไม่มีใครทราบแม้กระทั่งว่าเคยมีอยู่จริง แต่จากแหล่งโบราณคดีรอบๆ นครรัฐแห่งนี้ รวมทั้งที่ออลมุลด้วย ทำให้ขณะนี้นักโบราณคดีสามารถ ปะติดปะต่อเรื่องราวของเหล่าราชันอสรพิษได้
ออลมุลไม่ใช่แหล่งโบราณคดีขนาดใหญ่และเป็นที่รู้จักดีเหมือนติกาล (Tikal) ที่อยู่ใกล้เคียง และยังถูกมองข้ามจากนักโบราณคดีส่วนใหญ่จนกระทั่งปี2000 เมื่อฟรันซิสโก เอสตราดา-เบยีมาถึง ชายผู้นี้ไม่ได้มุ่งหวังอะไรเลิศลอยอย่างแผ่นจารึกยุคคลาสสิกหรือหลุมศพประดับประดาหรูหรา แต่หวังแค่บางสิ่งที่จะทำให้เห็นถึงรากเหง้าของวัฒนธรรมชาวมายา หนึ่งในสิ่งแรกๆ ที่เขาพบคืออาคารหรือสิ่งปลูกสร้างแห่งหนึ่งตั้งอยู่ห่างออกไปไม่กี่กิโลเมตร จากสถานที่ซึ่งดูเหมือนจะเป็นหมู่พีระมิดกลางของออลมุล ภายในสิ่งปลูกสร้างแห่งนี้มีเศษซากของจิตรกรรมฝาผนังแสดงภาพทหารที่กำลังเดินทัพไปยังสถานที่ห่างไกลแห่งหนึ่ง
น่าแปลกที่หลายส่วนของภาพนี้ถูกทำลาย เห็นได้ชัดว่าเกิดจากนํ้ามือของชาวมายาเอง ราวกับต้องการจะลบล้าง ประวัติศาสตร์ที่อยู่ในภาพ เอสตราดา-เบยีขุดเข้าไปในพีระมิดหลายแห่งที่อยู่รอบๆ ชาวเมโสอเมริกาโบราณสร้างพีระมิดเป็นชั้นๆ ทับลงไปบนชั้นก่อนหน้า เหมือนตุ๊กตารัสเซีย เมื่อชาวออลมุลสร้างพีระมิดชั้นใหม่ พวกเขาจะเก็บชั้นที่อยู่ข้างล่างไว้ ทำให้นักวิจัยสามารถขุดเข้าไปดู โครงสร้างเดิมซึ่งเกือบเหมือนกับตอนที่ถูกทิ้งไว้
เมื่อปี 2013 เอสตราดา-เบยีและทีมงานขุดสำรวจเข้าไปในพีระมิดแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ในกลุ่มที่มีขนาดใหญ่กว่าพีระมิดอื่นๆ โดยตามรอยบันไดโบราณไปสู่ทางเข้าอาคารประกอบพิธี และเมื่อคลานขึ้นไปตามช่องบนพื้น พวกเขาก็พบภาพปูนปั้นยาวแปดเมตรอยู่ในสภาพดีเยี่ยม ประดับอยู่ด้านบนของประตูทางเข้าสุสานโบราณแห่งหนึ่ง
ภาพปูนปั้นเป็นของหายากและเสียหายง่ายมาก ภาพนี้เป็นภาพของชายสามคน หนึ่งในนั้นคือกษัตริย์แห่ง ออลมุล ทั้งสามผงาดขึ้นจากปากอสูรร้ายรูปร่างประหลาด ขนาบข้างด้วยสัตว์จากปรโลก และมีงูยักษ์ที่มีขนสองตัวกระหวัดรัดอยู่รอบภาพ งานศิลปะชิ้นนี้ทั้งโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และมีชีวิตชีวาอย่างน่าทึ่ง
ขณะที่เอสตราดา-เบยีพินิจพิเคราะห์ภาพอยู่นั้น เขาสังเกตเห็นอักษรภาพแถวหนึ่งที่ด้านล่าง ระบุรายพระนามกษัตริย์ของนครออลมุล ใกล้กับตรงกลางเป็นอักษรภาพซึ่งทำให้เขาทราบทันทีว่า นี่เป็นการค้นพบที่น่าตื่นเต้นที่สุดในอาชีพนักโบราณคดีของเขา นั่นคือภาพงูแสยะยิ้ม
“ในบรรดาอักษรภาพเหล่านั้น ผมเห็น [นาม] คานุล ครับ” เขาเล่า “จู่ๆ เราก็มาอยู่ท่ามกลางช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดในประวัติศาสตร์ชาวมายาเลยละครับ”
เรื่องราวการค้นพบคานุลหรือราชวงศ์อสรพิษ และความพยายามของกษัตริย์แห่งราชวงศ์นี้ที่จะสร้างจักรวรรดิมีจุดเริ่มต้นที่ติกาล นครของศัตรูคู่แค้นที่สุดของพวกเขา ติกาลครองความยิ่งใหญ่เหนือดินแดนลุ่มตํ่าของชาวมายา มาหลายศตวรรษ เช่นเดียวกับที่นครแห่งนี้เป็นจุดสนใจในแวดวงโบราณคดีมายามาตั้งแต่ทศวรรษ 1950 ครั้งหนึ่ง เมืองซึ่งมีอาณาเขตแผ่ไพศาลนี้เคยมีประชากรเกือบ 60,000 คน และสิ่งก่อสร้างโอ่อ่างดงามของที่นี่คงสร้างความพิศวงให้แก่ผู้มาเยือนในปี750 เป็นแน่แท้ และนั่นก็คงไม่ต่างจากนักท่องเที่ยวในปัจจุบันสักเท่าใด
เมืองนี้ยังมีหินสลักงดงามคล้ายหินหน้าหลุมฝังศพ เรียกว่า ศิลาจารึก (stelae) ด้วยการอาศัยข้อความจารึกบนหินเหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์สามารถปะติดปะต่อประวัติศาสตร์ของติกาลได้จนกระทั่งถึงวาระล่มสลายในศตวรรษที่เก้า แต่กลับมีช่องว่างที่น่าแปลกอยู่ช่วงหนึ่ง นั่นคือราวปี 560 ถึง 690 ช่วงนี้ไม่ปรากฏว่ามีศิลาจารึก มิหนำซํ้ายังแทบไม่มีการสร้างสิ่งอื่นใด ด้วยความสับสนงุนงงในช่วงเวลาที่ขาดหายไป 130 ปีนี้ นักโบราณคดีจึงเรียกช่วงนี้ว่า “ช่องโหว่ติกาล” และบันทึกไว้ว่า เป็นปริศนาลี้ลับข้อหนึ่งของชาวมายาโบราณ
นักโบราณคดีเริ่มเติมเต็มช่องว่างดังกล่าวในทศวรรษ 1960 หลังพวกเขาสังเกตเห็นอักษรภาพแปลกๆ ภาพหนึ่ง กระจัดกระจายอยู่ตามแหล่งโบราณคดียุคคลาสสิกหลายแห่ง เป็นภาพหัวงูแสยะยิ้มอย่างน่าขัน ล้อมรอบด้วยเครื่องหมายที่เกี่ยวข้องกับกษัตริย์หรือราชวงศ์ กระทั่งถึง ปี1973 จอยซ์ มาร์คัส นักโบราณคดี จึงเห็นว่านี่เป็นตราสัญลักษณ์ โดยเป็นคำที่หมายถึงนครแห่งหนึ่งและนามของผู้ครองนครลักษณะคล้ายกับเป็นตราประจำราชวงศ์ เธอสงสัยว่า ตรานี้จะเกี่ยวข้องกับช่องโหว่ติกาลหรือไม่ เป็นไปได้หรือไม่ว่ามีนักรบที่ยังไม่เป็นที่รู้จักเข้ามายึดเมือง
ป่าในแอ่งเปเตนร้อนและแห้งผากในฤดูแล้ง แต่พอถึงฤดูฝนกลับแทบเข้าไปไม่ได้ เป็นผืนป่าที่ชุกชุมไปด้วยพืชกับแมลงมีพิษ และอันตรายจากกองกำลังติดอาวุธที่ค้ายาเสพติด แต่มาร์คัสก็ยังเข้าไปสำรวจอยู่หลายเดือน โดยตระเวนไปตามซากปรักและบันทึกภาพอักษรภาพต่างๆ เธอเห็นอักษรภาพงูแสยะยิ้มในทุกที่ที่ไป โดยเฉพาะรอบๆ นครโบราณคาลักมุลซึ่งปัจจุบันอยู่ใกล้แนวพรมแดนทางใต้ของเม็กซิโก
“พื้นที่บริวารเหล่านี้กล่าวถึงคาลักมุลว่าเป็นศูนย์กลาง เมืองนี้จึงน่าจะเป็นอะไรที่คล้ายหลุมดำ กล่าวคือเป็นศูนย์รวมเครือข่ายของพื้นที่โดยรอบ ซึ่งมีระยะห่างจากคาลักมุลเท่าๆ กัน” มาร์คัสกล่าว
เมื่อเธอไปถึงคาลักมุลซึ่งสามารถมองเห็นพีระมิดสองแห่งตรงกลางได้อย่างชัดเจนจากทางอากาศ เธอตื่นใจกับขนาดของเมือง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีคนอาศัยอยู่ราว 50,000 คน มีศิลาจารึกกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป แต่ส่วนใหญ่ว่างเปล่า หินปูนเนื้ออ่อนมากจนการกัดเซาะตลอดหลายศตวรรษลบอักษรภาพที่จารึกไว้ไปจนหมดสิ้น มาร์คัสพบอักษรภาพงูเพียงสองภาพในเมืองนี้
ความลี้ลับของราชันอสรพิษทำให้นักวิจัยหนุ่มชาวอังกฤษ ไซมอน มาร์ติน สนใจรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับอักษรภาพงูจากคาลักมุลและแหล่งโบราณคดีขนาดเล็กกว่าอื่นๆ ผนวกกับเค้าเงื่อนของสงครามและอุบายทางการเมืองจากที่ต่างๆ ในโลกของชาวมายา แล้วนำมาสร้างเป็นภาพของเหล่าราชันอสรพิษและราชวงศ์ของพวกเขา
“เรารู้จักติกาลได้จริงๆ ก็จากติกาลเท่านั้น แต่ในกรณีของคาลักมุล เรารู้จักเมืองนี้ได้จากเมืองอื่นทุกเมืองครับ” มาร์ตินบอกและเสริมว่า “เราเห็นความหมายของสิ่งที่กระจัดกระจายทั้งหมดนี้ได้ทีละน้อยว่า เริ่มส่อหรือชี้ไปในทิศทางเดียวกัน”
ในที่สุดมาร์ตินและนิโคไล กรูเบอ นักโบราณคดี ก็ตีพิมพ์หนังสือเล่มหนึ่งออกมาชื่อ พงศาวดารกษัตริย์และราชินีชาวมายา (Chronicle of the Maya Kings and Queens) ซึ่งบรรยายถึงประวัติศาสตร์ที่สอดประสานกันระหว่างอาณาจักรต่างๆ ในโลกของชาวมายาโบราณ ณ ศูนย์กลางของโลกที่ว่านั้นในช่วงเวลาหนึ่งศตวรรษอันรุ่งเรือง ก็คือเหล่าราชันอสรพิษนั่นเอง มาร์ตินพูดถึง อาณาจักรของราชันอสรพิษโดยใช้คำ พูดเปรียบเปรยทำนอง เดียวกับมาร์คัสว่า คล้ายหลุมดำที่ดูดกลืนเมืองโดยรอบ และสร้างสิ่งที่อาจยิ่งใหญ่เทียบเท่าจักรวรรดิมายาขึ้น แต่แน่นอนว่ายังมีคำ ถามอีกมากเกี่ยวกับราชันอสรพิษ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเป็นอยู่ การปกครอง และการสู้รบ และแม้กระทั่งว่าบางพระองค์ทรงมีตัวตนอยู่จริงหรือ
ปลายศตวรรษที่ห้า ติกาลเป็นนครรัฐที่ทรงอำนาจที่สุดแห่งหนึ่งในภูมิภาค นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า เมืองนี้เรืองอำนาจขึ้นมาด้วยความช่วยเหลือจากนครที่มีขนาดใหญ่ กว่ามากชื่อเตโอตีอัวกาน (Teotihuacan) ซึ่งตั้งอยู่บนเขาสูงห่างออกไปทางตะวันตก 1,000 กิโลเมตร ใกล้กับกรุงเม็กซิโกซิตีในปัจจุบัน นครทั้งสองมีอิทธิพลต่อจิตรกรรม สถาปัตยกรรม เครื่องปั้นดินเผา อาวุธ และการวางผังเมืองของชาวมายาอยู่นานหลายศตวรรษ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปในศตวรรษที่หก เมื่อเตโอตีอัวกานตัดขาดความสัมพันธ์กับดินแดนของชาวมายา ปล่อยให้ติกาลป้องกันตัวเอง
และแล้วก็ถึงเวลาของราชันอสรพิษ ซึ่งไม่มีใครทราบแน่ชัดว่ามาจากที่ใด ไม่มีหลักฐานว่ากษัตริย์เหล่านี้ปกครองคาลักมุลก่อนปี 635 ผู้เชี่ยวชาญบางคนคิดว่า น่าจะมีราชวงศ์นี้อยู่แล้วหลายร้อยปีก่อนยุคคลาสสิก โดยโยกย้ายไปตามมหานครที่พวกเขาสร้างขึ้นแห่งแล้วแห่งเล่า แต่นี่เป็นเพียงการคาดเดา อักษรภาพงูที่ชัดเจนภาพแรกดูเหมือนจะอยู่ในนครซีบันเชทางตอนใต้ของเม็กซิโก ห่างจากคาลักมุลไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ 125 กิโลเมตร
ไม่ว่าเหล่าราชันอสรพิษจะมีฐานที่มั่นอยู่ที่ใดก็ตาม แต่เราทราบว่าตั้งแต่ต้นศตวรรษที่หก ราชันอสรพิษสององค์ที่ครองราชย์ต่อเนื่องกันทรงเห็นว่าติกาลไม่มั่นคง จึงทรงงัดอุบายและกลยุทธ์ที่ออกจะกล้าบ้าบิ่นเพื่อควบคุมทางการเมือง กษัตริย์พระองค์แรกซึ่งมีพระนามว่า เสือจากัวร์หัตถ์ศิลา (Stone Hand Jaguar) ทรงใช้เวลาหลายสิบปีออกเยี่ยมเยือนนครอื่นๆอย่างฉันมิตรทั่วดินแดนลุ่มตํ่าของชาวมายา
ปัจจุบัน การเยี่ยมเยือนเช่นนี้อาจดูเหมือนเป็นการกระทำโดยบริสุทธิ์ใจไม่ว่าจะเป็นการจัดงานสมรส การเข้าร่วมแข่งขันเกมบอลของชาวมายาโบราณ หรือบางครั้งอาจแค่แวะทักทายเท่านั้น ทว่านี่คือกลยุทธ์หรือวิธีที่มักนำไปสู่การยึดครองในโลกของชาวมายา โดยการให้เครื่องบรรณาการ การไปเยี่ยมเยือนฉันมิตร และการสร้างพันธมิตรอย่างแนบแน่น ดูเหมือนจะไม่มีใครทำได้ดีไปกว่าเหล่าราชันอสรพิษอีกแล้ว
ในไม่ช้าเมืองการากอล พันธมิตรทางตะวันออกเฉียงใต้ของติกาล ก็เริ่มมีใจฝักใฝ่มาทางราชันอสรพิษ เช่นเดียวกับวากา เมืองกระหายสงครามทางตะวันตก ราชันอสรพิษค่อยๆ รวบรวมความภักดีของเมืองอื่นๆ ทั้งทางเหนือ ตะวันออก และตะวันตกของติกาลอย่างอดทน จนคล้ายเป็นคีมยักษ์ที่บีบรัดศัตรูไว้ ในที่สุด กษัตริย์เสือจากัวร์ หัตถ์ศิลากับพันธมิตรก็พร้อมจะโจมตีนครติกาล แต่พระองค์สิ้นพระชนม์เสียก่อนที่ความพยายามทางการเมืองจะประสบผล การพิชิตติกาลจึงตกเป็นหน้าที่ของประจักษ์พยานแห่งฟากฟ้า (Sky Witness) กษัตริย์พระองค์ต่อมา (และอาจเป็นพระโอรสของเสือจากัวร์หัตถ์ศิลา) ราชันหนุ่มองค์นี้ทรงมีพระสรีระกำยำลํ่าสัน และกะโหลกพระเศียรมีรอยถูกทุบจากการสู้รบนับครั้งไม่ถ้วน ทิ้งรอยแผลเป็นตรงจุดเดิมซํ้าแล้วซํ้าเล่า
ตามจารึกบนแท่นบูชาแห่งหนึ่งในการากอล กษัตริย์ประจักษ์พยานแห่งฟากฟ้าทรงปิดฉากการปกครองของ ราชวงศ์ติกาลเมื่อวันที่ 29 เมษายน ปี562 พระองค์ทรงรวบรวมพันธมิตรทั้งหมด แล้วจึงโจมตี ทรงนำกองทัพแห่งอสรพิษมาทางตะวันออกจากเมืองวากา ขณะที่กองทัพจากการากอล นครรัฐนารันโคที่อยู่ใกล้เคียง และอาจรวมทั้งจากออลมุลด้วย รุกเข้ามาทางตะวันตก
กองทัพของราชันอสรพิษและพันธมิตรบดขยี้ติกาลได้อย่างรวดเร็ว ทั้งปล้นสะดม และน่าจะสังเวยกษัตริย์ผู้ครองอาณาจักรด้วยคมมีดที่ทำด้วยหินบนแท่นบูชาของพระองค์เอง และอาจเป็นช่วงนี้เองที่ชาวเมืองออลมุลเกือบจะทำลายจิตรกรรมฝาผนังสดุดีพันธมิตรระหว่างติกาลกับเตโอตีอัวกานที่เอสตราดา-เบยีไปพบในอีกกว่า 1,400 ปีต่อมา การกระทำนี้เป็นเครื่องแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อราชันอสรพิษ ในฐานะผู้ปกครององค์ใหม่ รัชสมัยของราชันอสรพิษได้เปิดฉากขึ้นแล้ว
ประวัติศาสตร์มายาในช่วง 30 ปีต่อมาค่อนข้างคลุมเครือแต่เพราะนักโบราณคดีชาวเม็กซิกันสองคนคือ เอนริเก นัลดา และซานดรา บาลันซาเรียว ทำให้เราทราบว่ากษัตริย์ประจักษ์พยานแห่งฟากฟ้าสิ้นพระชนม์หลังจากทรงได้ชัยแล้ว 10 ปี ขณะมีพระชนมายุ 30 พรรษาต้นๆ เมื่อปี2004 ทั้งสองค้นพบหลุมศพจำนวนหนึ่งในพีระมิดที่ซีบันเช ที่นั่นพวกเขาพบเข็มทำจากกระดูกสำหรับใช้ในพิธีสังเวยเลือดอยู่ท่ามกลางหน้ากากหยก หินออบซิเดียนและไข่มุก ด้านหนึ่งของเข็มจารึกไว้ว่า “นี่คือเครื่องสังเวยเลือดของประจักษ์พยานแห่งฟากฟ้า” ในบรรดาราชันอสรพิษทั้งแปดองค์ที่ปกครองในช่วงช่องโหว่ติกาล พระองค์ทรงเป็นหนึ่งในกษัตริย์เพียงสองพระองค์ที่มีผู้พบพระศพ
หลักฐานทางโบราณคดีอีกชิ้นที่ยืนยันถึงการมีอยู่จริง ของเหล่าราชันอสรพิษปรากฏที่เมืองปาเลงเก (Palenque) อันมั่งคั่งซึ่งอยู่ห่างออกไปทางตะวันตก นครแห่งนี้ เจริญรุ่งเรืองและมีวัฒนธรรมซับซ้อน พีระมิดและหอคอย ประดับประดาด้วยภาพปูนปั้นงดงามกระจุกตัวอยู่ตรงเชิงเขาที่เปิดสู่อ่าวเม็กซิโกและพื้นที่สูงตอนกลาง
ปาเลงเกไม่ใช่เมืองใหญ่ อาจมีพลเมืองราว 10,000 คน แต่เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและประตูการค้าสู่ตะวันตก จึงเป็นเป้าหมายหลักของราชวงศ์ใหม่ที่ทะเยอทะยาน ในขณะนั้นกษัตริย์ของราชวงศ์อสรพิษมีพระนามว่า พญางูขด (Scroll Serpent) พระองค์ทรงใช้อุบายยืมกำลังของพันธมิตรเข้าโจมตีปาเลงเกเช่นเดียวกับกษัตริย์องค์ก่อนๆ ราชินีของปาเลงเกผู้มีพระนามว่า ดวงใจแห่งดินแดนวายุ (Heart of the Windy Place) ทรงปักหลักต่อสู้ป้องกันเมืองจากการจู่โจมอย่างหนักของราชันอสรพิษ แต่สุดท้ายก็จำต้องยอมแพ้เมื่อวันที่ 21 เมษายน ปี599
ความปรารถนาอย่างแรงกล้าในการขยายดินแดนเช่นนี้เป็นเรื่องที่ไม่ค่อยพบเห็นในอาณาจักรมายายุคคลาสสิกซึ่งมักถูกกล่าวขวัญถึงบ่อยๆ ว่าเป็นพวกนิยมการทะเลาะวิวาทและแตกแยก สนใจแต่เฉพาะดินแดนของตนโดยไม่มีความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้น แต่ราชันอสรพิษกลับต่างออกไป “การรุกรานอาณาจักรปาเลงเกเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ ที่ใหญ่กว่านั้นครับ” กีเยร์โม เบร์นัล นักถอดความศิลาจารึกจากมหาวิทยาลัยอิสระแห่งชาติเม็กซิโก กล่าว “ผมไม่คิดว่าเหตุผลจะมาจากเรื่องความมั่งคั่ง แต่เป็นเรื่องของแนวคิดหรืออุดมคติครับ ราชวงศ์คานุลวาดภาพการสร้างจักรวรรดิขึ้นมา”
แนวคิดเรื่องการสร้างจักรวรรดิเป็นสิ่งที่นักโบราณคดีด้านมายายังถกเถียงกันอยู่ หลายคนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ทั้งในเชิงวัฒนธรรมและภูมิศาสตร์ แต่เมื่อพิจารณาจากสิ่งที่เหล่าราชันอสรพิษทำ ก็ยากที่จะมองข้ามรูปแบบของการขยายดินแดน พวกเขาสร้างพันธมิตรกับบรรดาเมืองใหญ่ที่สุดทางตะวันออก พิชิตเมืองน้อยใหญ่ทางใต้ ติดต่อค้าขายกับผู้คนทางเหนือ ส่วนปาเลงเกนั้นเป็นตัวแทนของดินแดนสุดขอบโลกของชาวมายาทางฝั่งตะวันตก กระนั้น หากปราศจากม้าและกำลังทหารที่พร้อมรบ กษัตริย์เหล่านี้จะรักษาอำนาจไว้ได้อย่างไร
การจะมีอิทธิพลเหนือภูมิภาคอันห่างไกลซึ่งอาจมีขนาดใหญ่ถึงราว 100 ตารางกิโลเมตร ต้องมีการจัดรูปแบบการปกครองที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในหมู่ชาวมายา รวมทั้งต้องมีศูนย์รวมอำนาจแห่งใหม่ที่ใกล้กับบรรดาเมืองทางใต้ซึ่งอุดมไปด้วยหยก ไม่ปรากฏหลักฐานหรือบันทึกว่ามีการย้ายไปยังคาลักมุลซึ่งเป็นเมืองหลวงใหม่ แต่ในปี635 ราชวงศ์อสรพิษสร้างอนุสาวรีย์ขึ้นที่นี่เพื่อประกาศถึงการครอบครองนครแห่งนี้ แทนที่ราชวงศ์เดิมที่รู้จักกันในนามราชวงศ์ค้างคาว
ภายในหนึ่งปี กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของราชวงศ์อสรพิษหรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นกษัตริย์มายาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดก็ว่าได้ ขึ้นครองบัลลังก์ พระองค์มีพระนามว่า ยุกนูม ชีน ที่สอง หรือบางครั้งรู้จักกันในพระสมัญญาว่า ผู้สั่นคลอนเมือง (Shaker of Cities) ประจักษ์พยานแห่งฟากฟ้ากับพญางูขดเป็นกษัตริย์ผู้พิชิตที่เก่งกล้า แต่ยุกนูม ชีน ทรงเป็นกษัตริย์ที่แท้จริง พระองค์ทรงใช้กุศโลบายอันแยบคายยุแหย่ให้แต่ละเมืองประหัตประหารกัน ไม่ต่างจากกษัตริย์ไซรัสแห่งเปอร์เซียหรือจักรพรรดิเอากุสตุสแห่งโรม ด้วยการติดสินบนบ้าง ขู่กรรโชกบ้าง ขณะเดียวกันก็ทรงกระชับพระราชอำนาจเหนือดินแดนที่ราบลุ่มของชาวมายาแบบที่ไม่เคยมีกษัตริย์มายาพระองค์ไหนไม่ว่าจะก่อนหรือหลังเคยทำ พระองค์ทรงรักษาสมดุลแห่งอำนาจทางการเมืองเช่นนี้อยู่นานถึง 50 ปี
วิธีดีที่สุดที่จะเข้าใจกษัตริย์พระองค์หนึ่งน่าจะเป็นการรู้จักกับมหาดเล็กของพระองค์ ในทำนองเดียวกัน การจะเข้าใจจักรวรรดิแห่งหนึ่งได้ดีที่สุดมักต้องดูเมืองบริวาร และเมืองบริวารของราชวงศ์อสรพิษที่น่าสนใจที่สุดน่าจะเป็นเมืองเล็กๆ ชื่อซักนิกเต ซึ่งหากไม่ใช่เมืองบริวารของราชวงศ์อสรพิษแล้วไซร้ เมืองนี้จะไม่มีอะไรน่าสนใจเลย
ย้อนหลังไปตอนต้นทศวรรษ 1970 นักโบราณคดีบังเอิญพบแผ่นศิลาชุดหนึ่งแกะสลักเป็นตัวอักษรลวดลายงดงามซื้อขายเปลี่ยนมืออยู่ในตลาดมืด แผ่นศิลาเหล่านี้ถูกขโมยมาและลักลอบส่งขายออกนอกประเทศ โดยไม่มีหนทางสืบรู้แหล่งที่มาได้เลย บนแผ่นศิลามีอักษรภาพงูแสยะยิ้มอยู่ทั่วไป นักโบราณคดีตั้งชื่อสถานที่ซึ่งพวกเขา ไม่รู้จักและพวกโจรขุดสมบัติไปพบแผ่นศิลาเหล่านี้ว่า แหล่งโบราณคดีคิว (Site Q)
ซักนิกเตซึ่งเป็นชื่อภาษามายาดูจะมีสถานะพิเศษในอาณาจักรอสรพิษ เจ้าชายหลายพระองค์ของเมืองนี้เสด็จไปศึกษาที่คาลักมุล และสามองค์ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับเจ้าหญิงราชวงศ์อสรพิษ เมืองซักนิกเตไม่ได้ทำศึกสงครามมากนัก ต่างจากเมืองกระหายสงครามอย่างวากาที่อยู่ห่างออกไปทางใต้ กษัตริย์ของเมืองนี้มีพระนามที่บ่งบอกถึงสันติภาพแปลคร่าวๆ ได้ เช่น สุนัขร่าเริง (Sunny Dog) หนอนขาว (White Worm) และไก่งวงแดง (Red Turkey) แผ่นหินสลักบอกเล่าถึงชนชั้นสูงที่ชื่นชอบการรํ่าสุราและเป่าขลุ่ย
ตามหลักฐานที่ปรากฏบนแผ่นหินสลัก กษัตริย์ยุกนูม ชีน เสด็จมาเยือนเมืองนี้ไม่นานก่อนที่เมืองหลวงของราชวงศ์อสรพิษจะย้ายไปยังคาลักมุลอย่างเป็นทางการ ภาพสลักอันงดงามวิจิตรนี้เป็นภาพกษัตริย์ยุกนูม ชีน ประทับในอิริยาบถผ่อนคลาย
พระนามของกษัตริย์ยุกนูม ชีน ปรากฏอยู่ทั่วดินแดนของชาวมายา พระองค์ทรงส่งพระธิดานามว่า หัตถ์แห่งดอกบัว (Water Lily Hand) ไปเสกสมรสกับเจ้าชายเมืองวากา และในเวลาต่อมาทรงกลายเป็นราชินีนักรบผู้ทรงอำนาจ พระองค์ยังทรงตั้งกษัตริย์องค์ใหม่ให้ปกครองเมืองกันกวนซึ่งอยู่ทางใต้ และเมืองโมรัล-เรฟอร์มาที่อยู่ห่างออกไปทางตะวันตกเกือบ 160 กิโลเมตร ส่วนที่เมืองดอสปีลัส พระองค์ทรงปราบพระอนุชาของกษัตริย์องค์ใหม่แห่งติกาลและเปลี่ยนให้เป็นข้าศักดินาผู้จงรักภักดีของพระองค์
กษัตริย์ยุกนูม ชีน ยังทรงสร้างเส้นทางการค้าสายใหม่ทางฝั่งตะวันตกของอาณาจักรเชื่อมโยงกับพันธมิตรหลายเมือง ผู้เชี่ยวชาญสังเกตเห็นความผิดปกติของเมืองบริวารเหล่านี้ ดูเหมือนว่าเมืองพันธมิตรที่ใกล้ชิดบางเมืองไม่มีอักษรภาพแสดงสัญลักษณ์ประจำเมืองเป็นของตนเอง และกษัตริย์ของเมืองเหล่านี้ แม้จะแต่งพระองค์อย่างโอ่อ่าหรูหรา แต่กลับไม่ได้ใช้พระนามเยี่ยงกษัตริย์ เมื่อสวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์อสรพิษแล้ว
ขณะเดียวกัน บรรดาราชันอสรพิษแห่งคาลักมุลกลับเฉลิมพระนามที่มีความหมายยิ่งใหญ่ขึ้นว่า คาลูมเต หรือราชาแห่งราชัน
“ผมคิดว่าราชวงศ์อสรพิษเปลี่ยนแปลงวิถีทางทางการเมืองของมายาไป พวกเขาสร้างบางอย่างที่ค่อนข้างใหม่ครับ” โตมัส บาร์เรียนตอส นักโบราณคดีชาวกัวเตมาลา ผู้ร่วมดูแลแหล่งโบราณคดีซักนิกเต บอก “โดยส่วนตัวแล้ว ผมเห็นว่านี่เป็นความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ของชาวมายาเลยละครับ”
เหล่าราชันอสรพิษยังคงจับตาดูศัตรูคู่แค้นเก่าคือติกาลที่พยายามลุกขึ้นสู้และแก้แค้นครั้งแล้วครั้งเล่า ในปี 657 หลังจากรวบรวมพันธมิตรแล้ว กษัตริย์ยุกนูม ชีน และกษัตริย์หุ่นเชิดที่ครองเมืองใกล้เคียงพระนามว่า เทพเจ้าผู้ทุบแผ่นฟ้า (God That Hammers the Sky) ก็เข้าโจมตีติกาล ยี่สิบปีต่อมา ติกาลลุกขึ้นกระด้างกระเดื่องอีกครั้ง และราชันอสรพิษก็ทรงร่วมกับพันธมิตรสยบนครแห่งนี้ได้อีก และคราวนี้สังหารกษัตริย์แห่งติกาลไปด้วย
นครติกาลยังสามารถคุกคามราชวงศ์อสรพิษที่ดูจะเรืองอำนาจยิ่งใหญ่นี้ได้อย่างไร ผู้เชี่ยวชาญอธิบายว่า กษัตริย์มายาต้องระแวดระวังในการรักษาพันธมิตร และมักไว้ชีวิตกษัตริย์ของฝ่ายพ่ายแพ้ อาจเป็นไปได้ว่า สงครามของชาวมายาในยุคคลาสสิกส่วนใหญ่ไม่ได้รบกันอย่างดุเดือด หรืออาจเป็นเพราะพันธมิตรของฝ่ายแพ้ร้องขอความเมตตาจากผู้ชนะ หรือกษัตริย์มายาในยุคนั้นมีกองทัพไม่ใหญ่พอที่จะกวาดล้างอริราชศัตรูให้หมดสิ้นทั้งเมืองก็เป็นได้
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด กษัตริย์ยุกนูม ชีน ทรงเลือกดำเนินเกมการเมืองอันอ่อนไหว กล่าวคือแทนที่จะยกติกาลให้กษัตริย์เทพเจ้าผู้ทุบแผ่นฟ้าซึ่งเป็นพันธมิตร พระองค์กลับทรงจัดประชุมสุดยอดสันติภาพกับกษัตริย์องค์ใหม่ของติกาล และในเวลานั้นทรงแนะนำผู้จะสืบราชบัลลังก์ต่อจากพระองค์ (ซึ่งน่าจะเป็นพระโอรส) พระนามว่า กรงเล็บอัคนี (Claw of Fire) รัชทายาทซึ่งวันหนึ่งจะได้ครองราชย์ต่อมา และนำพาอาณาจักรนี้ ไปสู่อวสานตลอดกาล
กษัตริย์ยุกนูม ชีน สิ้นพระชนม์ในวัยชรา คือ 86 พรรษา ชาวคาลักมุลส่วนใหญ่หากมีอายุยืนได้ถึงครึ่งหนึ่ง ของพระองค์ก็นับว่าโชคดีแล้ว แต่เนื่องจากกษัตริย์ของพวกเขาได้รับการปรนเปรออย่างดี เสวยแต่ตามาเล (แผ่นแป้งข้าวโพดห่อไส้) เนื้อนุ่ม ด้วยเหตุนี้ แม้แต่พระทนต์ก็ยังดูดีอย่างผิดวิสัย ภาวะทุพโภชนาการพบได้ดาษดื่นในชนชั้นยากจน แต่พวกชนชั้นสูงอาจมีนํ้าหนักตัวเกิน และบางคนอาจเป็นโรคเบาหวานด้วยซํ้า
นักโบราณคดีบางคนสันนิษฐานว่า กษัตริย์กรงเล็บอัคนีทรงมีนํ้าหนักตัวเกินและอาจเป็นโรคเบาหวาน พระองค์น่าจะทรงปกครองอาณาจักรเนิ่นนานก่อนหน้าพระบิดาจะสิ้นพระชนม์ ทว่าทรงไม่มีบุญบารมีหรือพระปรีชาสามารถเทียบเท่าพระบิดา เฉกเช่นพระโอรสของกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่อีกหลายพระองค์ ในปี695 อาณาจักรติกาลยังลุกขึ้นก่อกบฏอีกครั้ง แม้จะปราชัยมาหลายต่อหลายครั้งแล้วก็ตาม คราวนี้นำโดยกษัตริย์หนุ่มผู้มีพระนามน่าประทับใจว่า เทพเจ้าผู้ล้างแผ่นฟ้า (God That Clears the Sky) กษัตริย์กรงเล็บอัคนีต้องทรงรวบรวมกองทัพอสรพิษอีกครั้งเพื่อปราบติกาล
เราไม่ทราบแน่ชัดว่า เกิดอะไรขึ้นในวันนั้นของเดือนสิงหาคม ผู้เชี่ยวชาญบางคนคิดว่า เทพเจ้าผู้ทุบแผ่นฟ้า ทรงหักหลังราชันอสรพิษผู้เป็นพันธมิตรในสนามรบ เพราะทรงขมขื่นที่ถูกดูแคลนหลายครั้ง บางคนบอกว่า กษัตริย์กรงเล็บอัคนีผู้ทรงอยู่ในวัยกลางคนและประชวรด้วยโรคเกี่ยวกับพระปิฐิกัณฐกัฐิ(กระดูกสันหลัง) ไม่อาจปลุกขวัญกำลังใจของกองทัพได้ หรืออาจเป็นเพราะฟ้าไม่เข้าข้างพระองค์ก็เป็นได้
ราชันอสรพิษจึงปราชัย ไม่กี่ปีต่อมา อำนาจของพระองค์ก็สั่นคลอน กษัตริย์กรงเล็บอัคนีสิ้นพระชนม์พร้อมกับนำความฝันถึงจักรวรรดิอสรพิษไปสู่ปรโลกกับพระองค์ด้วย นักโบราณคดีส่วนใหญ่เห็นว่า ราชวงศ์อสรพิษไม่เคยกลับมายิ่งใหญ่อีกเลย แต่ยังคงมีอิทธิพลอยู่
พอถึงกลางศตวรรษ ราชวงศ์อสรพิษก็ไร้พิษสง แม้แต่นครเพื่อนบ้านแห่งหนึ่งของคาลักมุลยังสร้างศิลาจารึกเพื่อเฉลิมฉลองการกลับมาของกษัตริย์ราชวงศ์ค้างคาว โดยสลักเป็นรูปนักรบกำลังกระทืบงู ในช่วงศตวรรษต่อมา อาณาจักรติกาลสำ เร็จโทษนครรัฐที่เคยช่วยเหลือราชวงศ์ อสรพิษ ได้แก่ วากา การากอล นารันโค และออลมุล
แต่ถึงอย่างไร อาณาจักรติกาลก็ไม่เคยมีอำนาจบารมีเทียบเท่าราชวงศ์อสรพิษ และพอถึงกลางศตวรรษที่เก้า มายายุคคลาสสิกก็ถึงแก่กาลล่มสลาย อาจเป็นเพราะประชากรล้น การขาดเสถียรภาพทางการเมือง หรือภัยแล้งยาวนานก็เป็นได้ เมืองต่างๆ ในยุคคลาสสิกจึงเกิดความระสํ่าระสายทั่วทุกหย่อมหญ้า และในที่สุดก็ถูกทิ้งร้างไป
เหล่าราชันอสรพิษจะปกป้องการล่มสลายนี้ได้หรือไม่ จะเกิดอะไรขึ้นหากกษัตริย์กรงเล็บอัคนีสามารถพิชิตติกาล ได้เมื่อปี 695
“ผมคิดว่าน่าจะหลีกเลี่ยงการล่มสลายนี้ได้นะครับ” เดวิด ฟรีเดล นักโบราณคดีมายา บอก “ความล้มเหลวในการรวบรวมอาณาจักรน้อยใหญ่ ณ ดินแดนใจกลางของโลกมายาไว้ภายใต้ผู้ปกครองหนึ่งเดียว เป็นสาเหตุหลักของความเสื่อมถอยที่นำไปสู่ภาวะอนาธิปไตย สงครามที่ลุกลามไปทั่ว และความเปราะบางต่อภัยแล้ง”
สักวันหนึ่งเราอาจมีคำตอบ ย้อนหลังไป 40 ปีก่อน ราชันอสรพิษยังเป็นเพียงคำเล่าลือ และกระทั่งเมื่อ 20 ปีที่แล้วเรายังมองว่าพวกเขาเป็นเพียงผู้ปกครองคาลักมุล ทุกวันนี้ เราทราบว่าพวกเขาเป็นกษัตริย์ที่ปกครองอาณาจักรอันยิ่งใหญ่และทรงอำนาจที่สุดของชาวมายา
นี่คือความเชื่องช้าราวเต่าคลานของงานโบราณคดี ผู้เชี่ยวชาญพยายามปะติดปะต่อภาพในอดีตที่สอดประสานกันอย่างลงตัว โดยอาศัยหลักฐานชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่เก็บมาได้ในแต่ละครั้ง
และบ่อยครั้งที่ผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นไม่ตรงกัน รามอน การ์รัสโก นักโบราณคดีผู้ดูแลแหล่งโบราณคดีคาลักมุล กล่าวว่า ราชวงศ์อสรพิษไม่เคยอยู่ที่เมืองซีบันเช และอำนาจของราชวงศ์นี้ไม่เคยเสื่อมถอย เขาทำงานร่วมกับ ไซมอน มาร์ติน และนักวิจัยคนอื่นๆ และได้เห็นหลักฐานเดียวกัน แต่กลับได้ข้อสรุปต่างออกไป
ดังนั้น นักโบราณคดีจึงยังคงเสาะหาเงื่อนงำต่อไป เมื่อปี1996 ขณะที่การ์รัสโกกำลังขุดสำรวจสิ่งก่อสร้าง ขนาดใหญ่ที่สุดของคาลักมุล ซึ่งเป็นพีระมิดงดงามที่มีอายุย้อนกลับไปถึงก่อน 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช ตรงใกล้ยอดพีระมิด ขณะที่เขาทำความสะอาดและดึงก้อนหินออกมาอย่างระมัดระวัง เขาพบซากที่หลงเหลือของมนุษย์ร่างหนึ่ง และข้างใต้นั้นมีคูหาแห่งหนึ่ง
“เรายกฝาปิดขึ้นเพื่อจะได้มองลงไปข้างล่างครับ” การ์รัสโกเล่า “เราเห็นกระดูกและเครื่องสังเวยกับฝุ่นหนา เตอะราวกับกำลังมองฝุ่นของกาลเวลาอยู่เลยครับ”
พวกเขาใช้เวลาเก้าเดือนในการขุดเข้าไปและทำการขุดค้นสุสานแห่งนั้น เมื่อเข้าไปได้ การ์รัสโกจึงทราบว่าเขาพบกษัตริย์ผู้ทรงอำนาจพระองค์หนึ่งเข้าแล้ว ร่างของพระองค์ได้รับการห่อหุ้มด้วยผ้าเนื้อละเอียด และมีลูกปัดวางทับข้างบน กษัตริย์พระองค์นี้ไม่ได้อยู่โดดเดี่ยว ยังมีสตรีสาวและเด็กอีกคนหนึ่งถูกสังเวยไปด้วย ร่างของทั้งสองวางอยู่ในคูหาใกล้ๆ นั่นเอง
การ์รัสโกเล่าว่า ร่างของกษัตริย์ “มีแต่โคลนกับฝุ่น พอจะมองเห็นลูกปัดหยกได้บ้างครับ แต่ไม่เห็นหน้ากาก” ดังนั้นเขาจึงเอาแปรงออกมาและเริ่มทำความสะอาดอย่างเบามือ “สิ่งแรกที่ผมเห็นคือดวงตาข้างหนึ่ง จ้องมองผมออกมาจากอดีตไกลโพ้น”
ดวงตาข้างนั้นมาจากหน้ากากหยกอันงดงามซึ่งสวมไว้เพื่อถวายพระเกียรติแด่กษัตริย์ในปรโลก การวิเคราะห์ในภายหลังแสดงให้เห็นว่า กษัตริย์พระองค์นี้ทรงมีพระวรกายท้วมใหญ่ หรืออาจจะอ้วนด้วยซํ้า และมีพระนหารุ (เอ็น) แข็งในพระปิฐิกัณฐกัฐิ(กระดูกสันหลัง) สุสานของพระองค์ได้รับการประดับตกแต่งอย่างวิจิตรตระการตา
ใกล้ๆ กันนั้นเป็นเครื่องประดับพระเศียรทำด้วยหยก ซึ่งครั้งหนึ่งตรงกลางเคยประดับด้วยอุ้งเท้าเสือจากัวร์ ถัด ไปเป็นจานเซรามิกมีลวดลายรูปหัวงูแสยะยิ้ม และจารึกอักษรว่า “จานของกรงเล็บอัคนี”
เรื่อง เอริก แวนซ์
ภาพถ่าย เดวิด โคเวนทรี
เผยแพร่ครั้งแรกในนิตยสาร เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย เดือนกันยายน 2559