เมียป กีส์ (Miep Gies) คือพนักงานออฟฟิศที่เพิ่งแต่งงานและอาศัยอยู่ในอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ในปี ค.ศ. 1942 ในยามที่ผู้ยึดครองอย่างเยอรมนีควบคุมเมืองแห่งนี้อย่างเข้มงวด อ็อตโต แฟรงค์ ผู้เป็นเจ้านายของเธอ ขอให้กีส์ช่วยเขาและครอบครัวซ่อนตัวจากเหล่านาซีซึ่งกำลังดำเนินการส่งตัวชาวยิวไปยังค่ายกักกันแห่งต่างๆ
ในระหว่างเวลาสองปีหลังจากนี้ เธอต้องเสี่ยงชีวิตตนเองในทุกๆ วันเพื่อลักลอบนำอาหารไปให้ครอบครัวแฟรงค์และชาวยิวอีกสี่คนที่หลบซ่อนตัวอยู่ในห้องลับใต้หลังคาของที่ทำการธุรกิจของอ็อตโต
เมื่อเธอไม่สามารถปกป้องครอบครัวแฟรงค์ได้อีกต่อไป ในตอนที่เหล่านาซีจับตัวพวกเขาได้ในที่สุดในปี 1944 กีส์ช่วยให้เรื่องราวของครอบครัวนี้ยังคงอยู่ต่อไปด้วยการเก็บรักษาบันทึกของแอนน์ แฟรงค์ และเป็นเธอที่ทำให้ผู้คนทั่วโลกได้อ่านบันทึกลับของแอนน์ แฟรงค์ (The Diary of a Young Girl)
ต่อมา แม้ผู้คนจะยกย่องเธอเป็นวีรสตรี แต่กีส์ เชื่อว่าตนเองเพียงแค่ทำในสิ่งที่ตนทำได้ในเวลาแห่งความชั่วร้าย เธอตอบกลับไปเพียงว่า “แม้แต่เลขา หรือแม่บ้าน หรือวัยรุ่นธรมดาๆ สักคนก็สามารถทำสิ่งเล็กๆ ในแบบของตนเองเพื่อสร้างแสงเล็กๆ ในห้องที่มืดมนได้ค่ะ”
ความเมตตาของกีส์คือส่วนหนึ่งของบรรดาผู้กระทำการอันเสียสละ เธอรู้ถึงการทำลายล้างที่สงครามโลกก่อขึ้นตั้งแต่ตนเองยังเยาว์วัย ยี่สิบสองปีก่อนที่ครอบครัวแฟรงค์จะต้องหลบซ่อนตัว เมื่อเธอมีอายุเพียง 11 ปี พ่อแม่ของเมียปส่งเธอซึ่งกำลังอดอยากและป่วยไข้จากบ้านที่เวียนนาไปให้ครอบครัวบุญธรรมใน Leiden ในเนเธอร์แลนด์เลี้ยงดู ที่นี่ เธอฟื้นตัว เติบโตเบิกบาน และได้พบปะกับผู้คนที่เธอจะได้ช่วยเหลือในภายภาคหน้า
มินิซีรีย์ A Small Light บอกเล่าเรื่องราวของกีส์ มีความยาวแปดตอนซึ่งถ่ายทำในอัมสเตอร์ดัมและปราก ในการสัมภาษณ์หลายครั้งที่กองถ่าย เหล่าผู้สร้างและนักแสดงพินิจว่าเหตุใดกีส์จึงยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้คน
“ขณะที่พวกเราส่วนใหญ่คุ้นเคยกับบันทึก [ของแอนน์] สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นนอกห้องแห่งนั้น … ยังเป็นปริศนาครับ” โธนี่ ฟีแลน ผู้ควบคุมการถ่ายทำร่วมกับโจอัน เรเทอร์ ผู้เป็นภรรยา กล่าว
สามีภรรยาซึ่งแต่งงานกันมา 30 ปีคู่นี้สร้าง อำนวยการผลิต และเขียนมินิซีรีย์เรื่องนี้ขึ้นหลังการค้นคว้าวิจัยเป็นเวลาหกปี โดยความสนใจของทั้งสองเริ่มถูกจุดขึ้นด้วยสารคดี Anne Frank Remembered จากปี 1995 ทั้งคู่ก็ได้ไปเที่ยวชมบ้านของแอนน์ แฟรงค์ พิพิธภัณฑ์ซึ่งก่อตั้งขึ้น ณ สถานที่ที่ครอบครัวแห่งนี้เคยใช้ซ่อนตัว หลัง Rater เดินลงจากบันไดที่ชันและแคบเหมือนเช่นที่แอนน์เคยทำ เธอก็ได้สังเกตเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งกำลังตีลังกาอยู่ข้างนอก
สำหรับ A Small Light เธอได้นำความทรงจำเกี่ยวกับจิตใจที่ปลอดโปร่งของเด็กหญิงคนหนึ่งมาใช้สำหรับฉากที่เมียปย้อนความจำถึงแอนน์ในที่ตนเองวิวาห์กับแจน กีส์ (Jan Gies) เมื่อปี 1941 ในฉากนั้น แอนน์กระโดดโลดเต้นไปมาและฉงนไปกับบรรดาการสมรสอันโรแมนติกที่ศาลาประจำเมือง เมื่อนั้น เธอยังคงเป็นเด็กซุกซนผู้ไม่ชอบข้อจำกัดต่างๆ แต่ภายในเวลาเพียงหนึ่งปี ชีวิตของเธอจะไม่มีสิ่งอื่นใดทั้งสิ้นนอกจากข้อจำกัด
สิ่งที่ดีอย่างหนึ่งสำหรับแอนน์คือการมาเยี่ยมของกีส์ ผู้นำสิ่งของต่างๆ มาให้ด้วยจักรยาน เบล พาวลีย์ นักแสดงผู้รับบทเป็นกีส์ ต้องการเข้าใจถึงความคิดของตัวละครที่ตนเองรับบท เธอจึงตามรอยการเดินทางของกีส์ “โธนี่และโจอันเอาแผนที่เจ๋งๆ มากมายเหล่านี้มาให้ฉัน เพื่อที่ฉันจะได้ปั่นจักรยานไปตามเส้นทางที่เมียปใช้ค่ะ” เธอกล่าว
พาวลีย์ซึ่งเป็นชาวยิว รู้สึกถึงความหนักในการเล่าเรื่องราวนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการถ่ายทำใกล้เสร็จสิ้น ถนนที่ถูกปิดล้อมของอัมส์เตอร์ดัม ที่ทำการธุรกิจของอ็อตโต และห้องลับใต้หลังคาอันโด่งดังถูกสร้างจำลองขึ้นในเมืองแห่งนี้และในปราก
ทุกสิ่งที่ปรากฏในหน้าจอถูกสร้างให้แม่นยำสมจริงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เสื้อผ้าในยุคที่เนื้อเรื่องดำเนินไปถูกจงใจทำให้มีสภาพซ่อมซ่อตามแบบที่พวกมันควรจะเป็นในช่วงสงคราม แม้ความมีระดับอาจดูเป็นสิ่งที่ไม่สมจริงเมื่อความตายนั้นมาเยือนได้ทุกเมื่อ แต่หญิงสาวที่กำลังซ่อนตัว “ต้องการทำให้ตนเองดูดี” เดวินา ลามอนต์ ผู้ออกแบบทรงผมและการแต่งหน้า กล่าว การทาลิปสติกคือความพยายามทำให้สิ่งต่างๆ ดูเป็นปกติ แม้มันจะไม่มีสิ่งใดที่ปกติเลยก็ตาม
ในวันที่อากาศหนาวเหน็บวันหนึ่งในปราก ในฉากซึ่งแสดงภาพวันปลดปล่อยในเดือนพฤษภาคม 1945 นักแสดงประกอบฉาก 300 คนส่งเสียงเชียร์ทหารสหรัฐฯ บนรถถังจากสมัยสงครามโลกครั้งที่สองคันหนึ่งซึ่งแล่นไปตามถนนหินกรวด ฝูงชนโบกสะบัดธงสีส้มซึ่งเป็นสีประจำราชวงศ์ แต่วันดังกล่าวมาถึงช้าเกินไปสำหรับครอบครัวแฟรงค์ เนื่องเพราะแอนน์ถูกจับไปเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้าและเสียชีวิตลงด้วยโรคไข้รากสากใหญ่ที่ค่ายกักกัน Bergen-Belsen
แน่นอน เด็กสาวคนหนึ่งซึ่งอยากเป็นนักเขียนผู้โด่งดังก็ได้ทำตามฝัน บันทึกของเธอเผยถึงหัวใจของวัยรุ่นทั่วไปคนหนึ่งและความจริงเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวอย่างมีความเฉพาะตัว เนื่องเพราะบรรดาผู้อ่านที่พบว่าการกำจัดผู้คนกว่าหกล้านชีวิตคือสิ่งไม่สามารถหยั่งถึงได้กลับสามารถเชื่อมโยงตนเองกับเด็กสาวผู้เขียนบันทึกเล่มนี้ได้
อย่างไรเสีย คงไม่มีใครได้อ่านข้อความที่เริ่มต้นบันทึกด้วยคำว่า “คิตตี้ที่รัก” หากกีส์มิได้รวบรวมหน้ากระดาษที่กระจัดกระจายและสมุดบันทึกหน้าปกตารางหมากรุกสีแดงและนำมันไปให้อ็อตโต ผู้เป็นสมาชิกครอบครัวแฟรงค์คนเดีวที่ยังเหลือรอดในภายหลัง เธอทำสิ่งดังกล่าว “เพื่อทำสิ่งที่ใจดีและมีเมตตาครับ” ลีฟ ชไรเบอร์ นักแสดงผู้รับบทอ็อตโต กล่าว
ปู่ของชไรเบอร์ อพยพมาจากยูเครน เห็นสิ่งที่เหมือนกันของแนวคิดต่อต้านชาวยิวเมื่อสงครามโลกครั้งที่สองและในทุกวันนี้ เขาร่วมก่อตั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนซึ่งตรวจสอบคัดกรองการบริจาคสิ่งของต่างๆ ให้กับองค์กรซึ่งไม่ขึ้นตรงกับรัฐบาลในยูเครน และในขณะที่เขาทำงานอาสาสมัครในดินแดนที่ถูกทำลายด้วยสงครามแห่งนี้ เขาก็ได้พบกับเหล่าวีรบุรุษและสตรียุคใหม่ที่เสี่ยงชีวิตของตนเองเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น
จากคำพูดของเขา “ผมคิดว่าการจดจำว่าเหล่าเมียป กีส์ของโลกใบนี้ทำสิ่งใดสำเร็จ — การเป็นแสงเล็กๆ ผู้คนธรรมดาที่ไม่ธรรมดาที่ทำบางสิ่ง ต่อสู้กับทรราชย์ ต่อสู้กับผู้บ้าอำนาจ ต่อสู้กับพวกฟาสซิสต์ — ช่วยให้เราเห็นมุมมองว่าเราสามารถทำสิ่งใดสำเร็จได้ครับ”
แปล ภาวิต วงษ์นิมมาน