เรื่องฆาตกรรม โลกตะลึง! คดีฆาตกรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก อายุ 430,000 ปี

เรื่องฆาตกรรม โลกตะลึง! คดีฆาตกรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก อายุ 430,000 ปี

เรื่องฆาตกรรม แรกที่มนุษยชาติรู้จักนั้นโหดร้ายไม่แพ้คดีไหนๆ คนร้ายฟาดหัวเหยื่อถึงสองครั้ง ทิ้งรอยแผลตรงข้ามคิ้วซ้าย ส่วนศพนั้นถูกโยนลงปล่องลึก 13 เมตรในถ้ำ – ที่ซึ่งถูกทับถมมานานกว่า 430,000 ปี

เรื่องฆาตกรรม สุดเลือดเย็น

นักบรรพชีวินวิทยาได้ประกอบชิ้นส่วนของกะโหลกศีรษะอายุ 430,000 ปีนี้เข้าด้วยกัน และเผยแพร่ผลการวิเคราะห์ทางนิติเวชในวารสาร PLOS ONE พวกเขาสรุปว่า กะโหลกศีรษะนี้เป็นหลักฐานการฆาตกรรมที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยพบเจอ

นี่คือการฆาตกรรมครั้งแรกในประวัติศาสตร์งั้นหรือ? “ไม่ใช่แน่นอนครับ” Nohemi Sala นักวิจัยผู้เขียนบทความนี้กล่าว พวกเขาสามารถระบุได้เพียงว่าเหยื่ออยู่ในวัยหนุ่มสาว แต่ไม่สามารถระบุอายุหรือเพศได้

“ในซากฟอสซิล มีหลายกรณีที่พบร่องรอยการบาดเจ็บ แต่ไม่ค่อยมีหลักฐานของการฆาตกรรม” Sala นักโบราณชีววิทยาจากสถาบัน Instituto de Salud Carlos III ในกรุงมาดริดกล่าว

“นั่นไม่ได้หมายความว่าการฆาตกรรมเป็นเรื่องแปลกก่อนยุคสมัยใหม่ เพราะซากฟอสซิลไม่ว่าชนิดใดก็ตาม ก็นับว่าหายากมากในช่วงเวลานั้น”

กลับกัน ในช่วงหลายหมื่นปีที่ผ่านมานั้นเต็มไปด้วยร่องรอยความโหดร้าย ตัวอย่างเช่น กรณีของ Shanidar-3 มนุษย์นีแอนเดอร์ทัลที่อาศัยอยู่เมื่อ 50,000 ปีก่อน รอยแผลบนซี่โครงซ้ายข้างบ่งบอกว่า Shanidar-3 อาจถูกฆ่าด้วยหอก ทำให้เขาอาจเป็นเหยื่อฆาตกรรมที่เก่าแก่ที่สุดที่รู้จักก่อนการค้นพบใหม่ในครั้งนี้
กะโหลกศีรษะล่าสุดชิ้นนี้มาจาก Sima de los Huesos หรือ “หลุมแห่งกระดูก” ในสเปน ซึ่งนักบรรพชีวินวิทยาพบซากของมนุษย์อย่างน้อย 28 คน คนพวกนี้เป็นใครกัน? พวกเขาไม่ใช่ทั้งมนุษย์ยุคใหม่ และไม่ใช่พวกนีแอนเดอร์ทัลแท้

การระบุสายพันธุ์มนุษย์จาก Sima de los Huesos เป็นเรื่องที่ถกเถียงกันมานาน แต่ Sala และทีมงานระบุว่าพวกเขาเป็นสมาชิกของสายพันธุ์ Homo heidelbergensis ซึ่งเป็นบรรพบุรุษยุคแรกของมนุษย์ที่วิวัฒนาการมาเป็นนีแอนเดอร์ทัล

กะโหลกศีรษะ อายุ 430,000 ปี ชิ้นนี้เป็นหลักฐานการฆาตกรรมที่เก่าแก่ที่สุดที่เคยพบเจอ

สาเหตุการเสียชีวิต

เพื่อพิจารณาว่ารอยแตกบนกะโหลกศีรษะเกิดจากการถูกฟาดหรือการพลัดตกลงปล่องถ้ำ ทีมวิจัยได้เปรียบเทียบรอยแผลกับกรณีความรุนแรงและการพลัดตกในยุคสมัยใหม่ พวกเขาสรุปว่า รูปแบบของแผลเกิดจากการถูกโจมตีด้วยของแข็งระยะประชิด เป็นการปะทะแบบเผชิญหน้า โดยผลการตรวจสอบยังไม่พบร่องรอยการรักษาของกระดูก ดังนั้นเหยื่ออาจเสียชีวิตทันทีหรือไม่นานหลังจากถูกโจมตี

ยิ่งไปกว่านั้น รูสองรูบนกะโหลกศีรษะมีรูปร่างเหมือนกัน และดูเหมือนว่าเกิดจากอาวุธเดียวกัน โดยทีมวิจัยยืนยันว่าแทบเป็นไปไม่ได้ที่การพลัดตกโดยไม่ตั้งใจลงบนก้อนหินจะก่อให้เกิดรอยแตกบนกะโหลกศีรษะที่คล้ายกันสองรู

อาวุธ

Sala กล่าวว่า อาวุธนั้นอาจเป็น “ของแข็งมาก” แต่เราจะไม่มีวันรู้เลยว่ามันทำจากไม้ หิน หรืออย่างอื่น

เธอเล่าว่า ทีมวิจัยสำรวจบริเวณนั้นแล้ว แต่ไม่พบอาวุธฆาตกรรมที่น่าจะเป็นไปได้ มีเพียงเครื่องมือหินที่พบในสถานที่ แต่ก็ไม่ใช่รูปร่างที่เหมาะสมในการฆาตกรรมครั้งนี้

ปริศนาแรงจูงใจ

อีกหนึ่งปริศนาที่ไขไม่ออกคือ อะไรที่ผลักดันให้มนุษย์ยุคโบราณฆ่ากันเอง “ชีวิตในอดีตนั้นยากลำบาก” Sala กล่าว ดังนั้นอาจมีการขัดแย้งเรื่องทรัพยากรหรือสาเหตุอื่น ๆ มากมายสำหรับการต่อสู้

แม้ชีวิตจะยากลำบาก แต่ Sala อธิบายว่า ชาว Sima de los Huesos นั้นดูแลกันเอง “มีบุคคล 28 คนในสถานที่นี้ที่มีอายุต่างกัน” เธอกล่าว “เรารู้ว่าบางคนมีปัญหาสุขภาพ คนหนึ่งมีอาการป่วยทางกระดูกสันหลังรุนแรงและอาจเดินและเคลื่อนไหวลำบาก” ใครบางคนต้องดูแลคนเหล่านี้ก่อนที่พวกเขาจะเสียชีวิต เธอกล่าว

และแม้ว่ามันอาจจะดูไม่ใช่การฝังศพที่ดีเมื่อเทียบกับสมัยนี้ แต่ความจริงที่ว่าผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณนั้นฝังศพโดยโยนลงไปในปล่องเดียวกัน แสดงถึงความรู้สึกบางอย่างของการฝังศพแบบพิธีกรรมหรือพิธีกรรม – คนตายไม่ได้ถูกเพียงแค่ลากออกจากสถานที่อยู่อาศัยไปเพื่อให้เน่าเปื่อยไปเอง

โดยรวมแล้ว สถานที่แห่งนี้นำเสนอภาพของผู้คนในยุคโบราณที่ใช้ชีวิต รักกัน – และบางครั้งก็ต่อสู้ – ร่วมกัน

Sala ให้มุมมองเกี่ยวกับชีวิตกับ Homo heidelbergensis ว่า: “พวกเขาไม่เลวร้าย – อย่างน้อยพวกเขาก็มีจุดดีเหมือนกัน”

เรื่อง ERIKA ENGELHAUPT


อ่านเพิ่มเติม แจ๊ค เดอะ ริปเปอร์ ฆาตกรต่อเนื่องในตำนาน ผู้ฆ่า 5 หญิงสาวโดยไร้โทษทัณฑ์

© COPYRIGHT 2024 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.