ไมเคิลแองเจโล หรือ มีเกลันเจโล ดี โลโดวีโก บูโอนาร์โรตี ซีโมนี (Michelangelo di Lodovico Buonarroti Simoni) คือศิลปินเอกชาวอิตาเลียน ที่เป็นทั้งจิตรกร ปฏิมากร และสถาปนิกแห่งสาธารณรัฐฟลอเรนซ์ โดยเขาถูกยกย่องให้เป็น 1 ใน 4 ศิลปินแห่งยุคเรอเนสซองส์ หรือ ยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (ศตวรรษที่ 14 – ศตวรรษที่ 17) คือ เลโอนาร์โด ดา วินชี , ไมเคิลแองเจโล , ราฟาเอล และ บอตติเชลลี
ไมเคิลแองเจโล เกิดเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ค.ศ. 1475 ที่เมืองกาเปรเซ แคว้นทัสคานี ในครอบครัวชนชั้นกลาง พ่อรับราชการ ส่วนแม่เป็นแม่บ้านที่คลอดลูกออกมาไม่นานก็เสียชีวิต โดย ไมเคิลแองเจโล ได้ภรรยาของช่างแกะสลักที่อยู่แถวบ้านเป็นแม่นม พอถึงวัย 12 ปี ครอบครัวของเขาก็ย้ายมาอยู่ที่เมืองศูนย์กลางทางศิลปวิทยาการนยุคนั้นอย่าง ฟลอเรนซ์
ด้านการศึกษา ไมเคิลแองเจโล ได้รับการศึกษาด้านศิลปะภายใต้สถาบันที่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเมดิชีครอบครัวนายธนาคารผู้ครองเมือง ซึ่ง โลเรนโซ เด เมดีชี รัฐบุรุษคนสำคัญของฟลอเรนซ์ได้ชักชวนเขาเข้าไปเป็นศิลปินฝึกหัดในคฤหาสน์เมดิชี และเขามีผลงานเด่นชิ้นแรก ๆ คือ Battle of the Centaurs งานแกะสลักหินอ่อนที่นำเสนอมัดกล้ามออกมาได้อย่างสวยงาม โดยเขาใช้วิธีการศึกษากายวิภาค สรีระร่างกายของมนุษย์จากซากศพเช่นเดียวกับ ลีโอนาร์โด ดาวินชี
ต่อมาในวัย 21 ปี ไมเคิลแองเจโล ย้ายไปอยู่กรุงโรมเพื่อหนีภัยสงคราม หลังตระกูลเมดิชีเสื่อมความสำคัญลง เขาใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นประมาณ 5 – 6 ปี ก่อนจะกลับมาที่ฟลอเรนซ์ หลังจากนั้นงานรูปปั้นคิวปิดของเขาถูกพระคาร์ดินัลซื้อไป และเรียกตัว ไมเคิลแองเจโล กลับไปที่โรมเพื่อสร้างงานศิลปะ
ไมเคิลแองเจโล ในวัย 23 ปี สร้างผลงานประติมากรรมเอกชิ้นแรกคือ ปีเอตะ (Pietà) หรือ ปีเอตา ที่ปัจจุบันอยู่ที่มหาวิหาร เซนต์ ปีเตอร์ส บาซิลิกา ในนครรัฐวาติกัน สิ่งที่น่าทึ่งคือ เขาใช้เวลาไม่ถึง 2 ปี แกะสลักหินอ่อนทั้งก้อนที่ได้มาจากแคว้นทัสคานีให้กลายมาเป็นรูปสลักหินพระแม่มารีอันสมบูรณ์แบบ เงางาม งดงาม ซึ่งนี่เป็นผลงานชิ้นเดียวที่ ไมเคิลแองเจโล สลักชื่อของตนเองไว้บนงาน
ปี 1501 ไมเคิลแองเจโล ถูกดึงตัวกลับมาทำงานสำคัญ และงานชิ้นนี้ถือว่าสร้างชื่อเสียงให้เขาอย่างมากนั่นคือ รูปสลักเดวิด ในวัย 26 ปี ถือว่าผลงานมาสเตอร์พีชชิ้นนี้ของเขาเป็นงานที่โหดหินพอสมควร กับการสร้างประติมากรรมจากหินอ่อนขนาดมหึมาที่ถูกทิ้งไว้กลางเมืองฟลอเรนซ์เป็นเวลาหลายปี มีประติมากร 2 หลายเคยพยายามแกะสลักแต่ไม่สำเร็จ ทว่า ไมเคิลแองเจโล ทำได้ ในเวลา 3 ปีกว่า ๆ รูปสลักเดวิด หรือ กษัตริย์ดาวิด (King David) ตามตำนานคำภีร์ไบเบิล สัญลักษณ์แห่งความงามของพละกำลัง ความหนุ่มสาวของมนุษย์ ขนาดรวมฐานสูง 5.17 เมตร สุดวิจิตรอลังการก็เสร็จสมบูรณ์ ใน ค.ศ.1501 กลายเป็นอนุเสาวรีย์ประจำเมืองที่ถูกตั้งตระหง่านอยู่ในจตุรัสประจำเมืองฟลอเรนซ์ ก่อนที่จะถูกย้ายไปอยู่ในหอศิลป์อะคาเดเมียเมื่อปี 1873
อีกผลงานชิ้นโบว์แดงของ ไมเคิลแองเจโล ในช่วงท้าย ๆ ไม่ใช่งานประติมากรรม แต่เป็นงานจิตรกรรมในโบสถ์น้อยซิสทีนที่ใช้เลือกพระสันตะปาปามาจนถึงปัจจุบัน โดยในช่วงที่เขารับงานวาดภาพในโถงสภาในฟลอเรนซ์คู่กับ เลโอนาร์โด ดา วินชี สมเด็จพระสันตะปาปายูลิอุสที่ 2 ในตอนนั้นได้เรียกตัวเขามาที่โรมเพื่อสร้างสุสานพระสันตะปาปา แต่เขากดดันจนต้องหนีไปที่อื่น สมเด็จพระสันตะปาปายูลิอุสที่ 2 ก็ตามตัวกลับมาให้ ไมเคิลแองเจโล ไปวาดภาพบนเพดานของโบสถ์น้อยซิสทีนแทน เขาได้วาดภาพชุดปฐมกาลไบเบิลสุดวิจิตร 1 ใน 9 ภาพอันโด่งดังคือ กำเนิดอาดัม หรือ The Creation of Adam ด้วยเทคนิคการวาดแบบจิตรกรรมฝาผนังปูนเปียก (Fresco) ซึ่งมีขนาดใหญ่และทำยากมาก ไมเคิลแองเจโล ต้องใช้เวลานานถึง 4 ปี ทว่าก็คุ้มค่า เพราะงานชิ้นนี้ทำให้เขากลายเป็นตำนานศิลปินแห่งยุคอย่างแท้จริง
ไมเคิลแองเจโล กับ เลโอนาร์โด ดา วินชี เป็นศิลปินที่อยู่ร่วมสมัยกัน และมักถูกนำมาเปรียบเทียบกันเสมอ ทั้งคู่จะมีอายุห่างกันถึง 23 ปี โดย เลโอนาร์โด ดา วินชี อายุมากกว่า ว่ากันว่า ไมเคิลแองเจโล ถึงขั้นเกลียด เลโอนาร์โด ดา วินชี เช่นเดียวกัน ดา วินชี ก็ไม่ชอบ ไมเคิลแองเจโล นัก ทั้งคู่จึงไม่ค่อยได้พบกัน แม้จะเป็นศิลปินเอกแห่งฟลอเรนซ์เหมือนกัน
มีบันทึกว่าเมื่อรูปสลักเดวิดเสร็จ สภาเมืองฟลอเรนซ์มีการถกกันว่าจะนำรูปสลักขนาดใหญ่ชิ้นนี้ไปวางไว้ที่ใด ซึ่ง เลโอนาร์โด ดา วินชี เคยเสนอให้ในไปไว้ในวิหาร หลายคนเดาว่าเพราะความริษยาในฝีมือของ ไมเคิลแองเจโล โดยเมื่อเรื่องนี้เข้าหู ไมเคิลแองเจโล ในวัยหนุ่มเขาก็เริ่มไม่พอใจศิลปินรุ่นพี่ และกลายมาเป็นคู่ขับเคี่ยวแห่งยุคสมัย ในการแย่งตำแหน่งศิลปินเบอร์ 1 ของอิตาลี
ต่อมาทั้งคู่ถูกว่าจ้างให้วาดภาพ Fresco ประชันในโถงสภาเมืองฟลอเรนซ์ The Battle of Anghiari วาดโดย เลโอนาร์โด ดา วินชี และ Battle of Cascina วาดโดย ไมเคิลแองเจโล น่าเสียดายที่ทั้งสองภาพวาดไม่เสร็จ แต่ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นศัตรูคู่แข่งของ ดา วินชี กับ ไมเคิลแองเจโล ซึ่ง ดา วินชี เคยวิจารณ์ผลงานของ ไมเคิลแองเจโล ว่าไม่สมจริง โดยเฉพาะในส่วนมองกล้ามเนื้อที่ปูดโปนเกินไป แต่ ไมเคิลแองเจโล ก็ไม่ได้สนใจ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่คล้ายกันของทั้งสองนอกจากการเป็นศิลปิน คือเรื่องของความสัมพันธ์ ไมเคิลแองเจโล และ เลโอนาร์โด ดา วินชี ครองตนเป็นโสดตลอดชีวิต รวมถึงมีเสียงรํ่าลือว่าทั้งคู่เป็นเกย์ โดยฝั่ง ไมเคิลแองเจโล ค่อนข้างชัดเจนว่าเขามีรสนิยมแบบชายรักชาย ส่วนใหญ่จะเป็นลูกศิษย์ของตัวเอง ซึ่งเคยมีหลักฐานที่ว่า ไมเคิลแองเจโล เคยส่งภาพกับบทกวีให้กับชายหนุ่มที่เขาชอบ
สิ่งหนึ่งที่แตกต่างจาก เลโอนาร์โด ดา วินชี คือ ไมเคิลแองเจโล ค่อนข้างจะอุทิศตัวให้กับงานของศาสนจักร เขาไม่ค่อยรับงานของเศรษฐีหรือสภาเมือง เมื่อเทียบกับ เลโอนาร์โด ดา วินชี โดยตลอดชีวิตของ ไมเคิลแองเจโล รับใช้พระสันตะปาปาถึง 9 พระองค์ มีผลงานสำคัญที่เกี่ยวกับศาสนาคริสต์มากมาย สมกับที่เขาเป็นหนึ่งในคาทอลิกผู้เคร่งศาสนา
สำหรับงานของ ไมเคิลแองเจโล จะเน้นไปที่เรื่องของปรัชญากับจิตวิญญาณ มากกว่าความสมจริง ซึ่งถือว่าเป็นศิลปินที่มีบทบาทในการเชื่อมโยงศิลปะกับศาสนาเข้ามาหลอมรวมกันอย่างกลมกลือนและสวยงาม หลายครั้งเขาแฝงนัยทางศาสนาเข้าไปอยู่ในผลงานของเขา ไม่ว่าจะเป็น ปีเอตะ รูปสลักเดวิด กำเนิดอาดัม และ คำพิพากษาครั้งสุดท้าย นอกจากนี้ ไมเคิลแองเจโล ในวัย 70 ปี ยังมีงานสถาปัตยกรรมชิ้นเอกที่สานต่องานจาก ดนาโต ดันเจโล บรามันเต ทั้งการเขียนแบบ รวมถึงก่อสร้างมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในกรุงโรม มหาวิหารแห่งนี้ใช้เวลาสร้างกว่า 150 ปีจึงเสร็จสิ้นทั้งหมด แม้ว่า ไมเคิลแองเจโล จะตายไปก่อนหลังทำงานชิ้นสุดท้ายนี้นานกว่า 10 ปี แต่ก็ถือว่าเขามีสำคัญในการสร้างฐานของมหาวิหารที่แข็งแรง ศิลปินรุ่นหลังจึงทำงานต่อได้ง่าย
ด้วยความที่ ไมเคิลแองเจโล ทุ่มเทกับการทำงานให้ศาสนามาตลอด ข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงเรื่องการเป็นชายรักชายของเขาจึงถูกมองข้ามทั้งจากศาสนจักรและสภาเมือง โดย ไมเคิลแองเจโล เสียชีวิตลงในวัย 88 ปีที่กรุงโรมเมื่อ ค.ศ. 1564 โดยมีคำกล่าวจากสมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ว่า “ทรงยินดีบั่นทอนชีวิตของท่านลง เพื่อแลกกับชีวิตของมิเกลันเจโลให้ยืนยาวออกไปอีก” ศพของเขาถูกฝังไว้ในโรม ก่อนที่ 20 วันต่อมาจะมีหลานของเขาที่พากลุ่มคนมานำร่างของ ไมเคิลแองเจโล กลับมาฝังที่ฟลอเรนซ์ เมืองแห่งศิลปะที่เขารักที่สุด
สืบค้นและเรียบเรียง สิทธิโชติ สุภาวรรณ์
ภาพจาก ARCHIVIO FOTOGRAFICO MUSEI VATICANI
https://www.nationalgeographic.com/history/history-magazine/article/michelangelo-renaissance-art-sistine-chapel
และ https://en.wikipedia.org/wiki/Michelangelo
ข้อมูลอ้างอิง
https://en.wikipedia.org/wiki/Michelangelo
https://www.gqthailand.com/style/article/the-most-masculine-artist-in-renaissance