ยังมีสิ่งที่เราไม่ทราบแน่ชัดอีกมากเกี่ยวกับงาน ศิลปะโบราณ ของชนพื้นเมืองโบราณ มันถูกทำขึ้นเมื่อไรกันแน่มันมีความหมายอะไรต่อผู้สร้างสรรค์มันขึ้นมา
กระนั้น เรายังสามารถเรียนรู้อะไรมากมายจากงานศิลปะเหล่านี้ซึ่งถูกสลักลงบนหิน วาดบนศิลา ขีดเขียนในโคลน หรือสกัดเข้าไปในพื้นผิวโลก ไม่แน่ว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือ สังคมชนพื้นเมืองอเมริกันที่รุ่มรวยได้อาศัยอยู่บนผืนดินกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้ หรือ “เกาะเต่า” อย่างที่ชนพื้นเมืองหลายเผ่านิยมเรียกอเมริกาเหนือ มาหลายหมื่นปีแล้ว
ภาพสลักหิน ภาพเขียนสี และภาพสลักบนพื้นดิน อันซับซ้อนเหล่านี้ช่วยเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันและอนาคต สำหรับชุมชนที่สืบเชื้อสายจากชนพื้นเมือง ศิลปะเหล่านี้สื่อถึงการกลับบ้าน และการฟื้นฟูวิถีชีวิตดั้งเดิมที่เกือบสูญสิ้นไป
“เราโชคดีมากครับที่ยังมีศาสนา วัฒนธรรม และภาษาของเรา ทุกเผ่าเข้าใจเรื่องการต่อสู้เพื่อปกปักรักษาสิ่งเหล่านั้น” หัวหน้าเผ่าชอว์นี เบน บาร์นส์ กล่าวและเสริมว่า “ชาวอเมริกันมากมายหลงลืมไปแล้วว่า ผืนดินเองนั้นเป็นที่เคารพบูชา และในทวีปอเมริกานี้ พื้นที่ศักด์สิทธิ์ของเราเป็นของชนพื้นเมือง”
ช่างภาพ สตีเวน อัลวาเรซ บันทึกภาพสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติมานานเกือบสามทศวรรษ เขาก่อตั้งองค์กรไม่แสวงกำไรชื่อ แองเชียนอาร์ตอาร์ไคฟว์ (Ancient Art Archive) หรือคลังงานศิลป์โบราณขึ้นเมื่อปี 2016 เพื่อทำหน้าที่เป็นบันทึกที่มีชีวิตของภาพวาดและภาพสลักยุคก่อนประวัติศาสตร์ทั่วโลก “ภูมิทัศน์บอกเล่าเรื่องราวของตัวเองครับ” อัลวาเรซกล่าว “สิ่งที่เกิดขึ้นกับมันเมื่อเวลาผ่านไป ใครอาศัยอยู่ที่นั่น และสิ่งที่พวกเขาทำคุณแยกงานศิลปะจากสถานที่ที่มันดำรงอยู่ไม่ได้หรอกครับ”
สำหรับนักโบราณคดี นักมานุษยวิทยา นักชาติพันธุ์วิทยา ศิลปิน และผู้เก็บรักษาความรู้อื่น ๆ ทั้งที่เป็นชนพื้นเมืองและไม่ใช่ชนพื้นเมือง ผู้ใช้เวลามากมายศึกษาและอนุรักษ์งานศิลปะเหล่านี้ พวกมันเป็นทั้งผลงานชิ้นเอกและสิ่งมหัศจรรย์ที่ยืนหยัดผ่านร้อนผ่านหนาวมานานหลายศตวรรษ เพื่อให้พวกเราได้พิศวงกับมันในปัจจุบัน
“พวกเราไม่มีใครอยากจากโลกนี้ไปโดยไม่ทิ้งอะไรไว้ให้จดจำหรอกครับ” นักโบราณคดี โจ วัตคินส์ (เผ่าชอกทอว์) บอกและเสริมว่า “ศิลปะบนแผ่นหินให้โอกาสเราแบ่งปันความเข้าใจอันลึกซึ้งจากคนที่ไม่ได้มีชีวิตอยู่บนโลกนี้แล้ว”
งานศิลปะนี้เป็นการเรียกร้องให้เห็นคุณค่าและยกย่องมรดกที่ชนพื้นเมืองโบราณทิ้งไว้เบื้องหลัง ทั้งยังกระตุ้นเตือนให้ยอมรับความบอบชํ้าที่ชุมชนพื้นเมืองต่าง ๆ ต้องกลํ้ากลืนทั้งบนเกาะเต่าและที่อื่น ๆ นี่คือสิ่งยํ้าเตือนว่า ชนพื้นเมืองอเมริกันอยู่ที่นี่มาเนิ่นนานแล้ว และเสียง เรื่องราว ตลอดจนงานศิลป์จากอดีตของเรามีคุณค่าความหมายทัดเทียมกับสิ่งที่เราสร้างขึ้นในปัจจุบัน และสิ่งที่เราจะสร้างขึ้นในอนาคต
ภาพสลักหินทรีริเวอร์ส
800 – 1,400 ปีก่อนรัฐนิวเม็กซิโก
ภาพสลักหินซึ่งเชื่อกันว่าเป็นรูปแมวขนาดใหญ่ที่ส่วนหางเป็นงูหางกระดิ่ง สลักขึ้นโดย ชาวฮอร์นาดาโมกอลลอน เป็นหนึ่งในภาพสลักหินจำนวน 21,000 ภาพที่กระจุกตัวอยู่อย่างหนาแน่น บนสันเขาบะซอลต์ยาว 1.5 กิโลเมตร โดยมีฉากหลังเป็นเทือกเขาเซียร์ราบลังกาอันงดงาม
รอยเท้าที่ประทับไว้ตลอดกาลในตะกอนที่อุดมด้วยยิปซัมในอุทยานแห่งชาติไวต์แซนด์ส รัฐนิวเม็กซิโกเหล่านี้ มีอายุเก่าแก่กว่า 20,000 ปี และพลิกสมมุติฐานก่อนหน้านี้เกี่ยวกับระยะเวลาที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ “เป็นเรื่องบังเอิญทางภูมิศาสตร์ ธรณีวิทยา และภูมิอากาศวิทยาที่พวกเขาอยู่ที่นั่นครับ” นักโบราณคดี โจ วัตคินส์ กล่าว “คุณสามารถเห็นเส้นทางที่ผู้คนใช้เดินข้ามผืนแผ่นดินนี้เมื่อ 20,000 ปีก่อน”
ถํ้าไม่มีชื่อหมายเลข 19
1,500 – 2,000 ปีก่อนรัฐแอละบามา
เมื่อถึงตอนที่พวกเขาสังเกตเห็นรอยจางๆ นักสำรวจถํ้า อลัน เครสเลอร์ และนักโบราณคดี ยอน ชีเม็กก็ศึกษาศิลปะถ้ำด้วยกันมาเป็นเวลาหลายปีในพื้นที่ที่แสงธรรมชาติส่องไม่ถึง แต่ต้องรอจนกระทั่ง ช่างภาพ สตีเวน อัลวาเรซ ใช้เทคโนโลยีการทำแผนที่จากภาพถ่ายสร้างแบบจำลองสามมิติขึ้นมา พวกเขาจึงสามารถเห็นเค้าโครงร่างคล้ายมนุษย์สูงสองเมตร สวมเสื้อผ้าอย่างผู้สูงศักดิ์ได้จริงๆ ภาพนี้เป็นหนึ่งในภาพร่างที่ซับซ้อนและเสียหายง่ายมากหลายพันภาพซึ่งเรียกว่า ภาพสลักโคลน ภาพเหล่านี้ประดับบนเพดานคูหาขนาด 460 ตารางเมตร บางจุดสูงแค่ 60 เซนติเมตร
ภาพโบราณโรเชสเตอร์
700 – 4 ,000 ปีก่อนรัฐยูทาห์
บนคาบสมุทรแคบๆ เหนือจุดที่โรเชสเตอร์วอชและมัดดีครีกมาบรรจบกัน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นแหล่งภาพสลักหิน และภาพเขียนสีรูปแบบแบร์ริเออร์แคนยอนและฟรีมอนต์ 13 กลุ่ม กลุ่มหลักเป็นภาพต่างๆ มากกว่าหนึ่งร้อยภาพ รวมถึงสัตว์ร้ายในตำนานและภาพที่มองออกได้มากกว่าว่าเป็นสัตว์และพืช ผู้อาวุโสทางจิตวิญญาณ แลร์รี เซสส์พุช (เผ่ายูต) และนักโบราณคดี เจมี โฮลลิงส์เวิร์ท (เผ่านาวาโฮ) อธิบายว่า สายรุ้งอาจบ่งชี้ถึงความเชื่อมโยงกับโลกวิญญาณ พรหรือพลังที่ช่วยปกป้อง หรืออาจเป็นเพียงคำวิงวอน ขอฝนในภูมิอากาศแห้งแล้ง
ภาพสลักหินโทลาร์
400 – 500 ปีก่อนรัฐไวโอมิง
ผาหินทรายซึ่งได้รับการบรรจุในระเบียนสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์แห่งชาติเมื่อทศวรรษก่อนแห่งนี้ ประกอบด้วยภาพสลักหินมากกว่า 30 ภาพ กระจายอยู่ทั่วระยะ 150 เมตร วัตคินส์อธิบายว่า ผลงานศิลปะของชนพื้นเมืองโบราณมักสะท้อนให้เห็น “ความเชื่อมโยงระหว่างผู้คนกับสถานที่” รวมถึงพืชพรรณ ส่ำสัตว์ และจักรวาลวิทยาของสถานที่นั้นๆ ตัวอย่างเช่น ภาพม้าและผู้ขี่ที่เห็นนี้ซึ่งศิลปินชนพื้นเมืองในที่ราบสลักขึ้น เพื่อเชิดชูความสัมพันธ์ที่มีมาช้านานระหว่างชนเผ่าพื้นเมืองกับม้า หินโขดนี้ยังมีภาพสลักเป็นรูปร่างคล้ายมนุษย์ นักรบ หมี และสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมอื่นๆ
เนินดินรูปงูเซอร์เพนเมานด์
900 ปี ก่อนรัฐโอไฮโอ
เมื่อปี 2021 ชาวเผ่าชอว์นีกลับมายังมาตุภูมิของบรรพบุรุษเพื่อเรียกร้องเนินดินที่ทำเป็นรูปจำลองขนาดใหญ่ที่สุดในโลกคืน ต้นกำเนิดของเนินดินนี้ถูกนำไปใช้ในทฤษฎีวิทยาศาสตร์กำมะลอมาช้านาน “คนของเราสร้างมันขึ้นมา ไม่ใช่ยักษ์ ไม่ใช่มนุษย์ต่างดาวครับ” หัวหน้าเผ่าชอว์นี เบน บาร์นส์ กล่าว “งานวิศวกรรมโยธาอันน่าทึ่งนี้เป็นความพยายามครั้งใหญ่ของชุมชน ผมอยากให้คนของผมได้รับประสบการณ์การหวนคืน สู่มาตุภูมิ การฟื้นฟูวิถีชีวิตดั้งเดิมที่เกือบสูญสิ้นไป และได้เห็นงูศักด์สิทธิ์ซึ่งสร้างขึ้นจากดินที่บรรพบุรุษ ของเรากอบไว้ในมือ”
ภาพ สลักบนพื้นดินบลายท์
450 – 2,000 ปีก่อนรัฐแคลิฟอร์เนีย
ภาพขนาดยักษ์ที่แตกต่างกันรวมหกภาพนี้ โดยขนาดใหญ่ที่สุดวัดได้ยาว 52 เมตร เป็นส่วนหนึ่งของภาพสลักบนพื้นดินหลายร้อยภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในภูมิภาคตะวันตกของอเมริกา ภาพเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยการสกัดผิวหินทะเลทรายสีเข้มออกไปให้เห็นหินสีอ่อนกว่า แม้ยังไม่ทราบว่าใครคือศิลปินเบื้องหลังสิ่งที่เรียกกันว่าลายเส้นนาซกาของอเมริกาเหนือนี้ และเจตนาของพวกเขา ชาวโมฮาวีและเคชานในแถบตอนล่างของแม่นํ้า โคโลราโดเชื่อว่า ภาพมนุษย์คือมาสแตมโฮ ผู้สร้างสรรพชีวิต ส่วนภาพสัตว์ต่างๆ คือตัวแทนของฮาตากุลยา ผู้ช่วยในการสร้างสรรค์
ภาพสลักหินทรีริเวอร์ส
800 – 1,400 ปี ก่อนรัฐนิวเม็กซิโก
แหล่งภาพสลักตามแนวชายขอบลุ่มน้ำทูลาโรซาอันเป็นส่วนหนึ่งของรอยแยกรีโอกรันเดริฟต์แห่งนี้ เป็นแหล่งที่มีภาพสลักหินที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแหล่งหนึ่งในแถบตะวันตกเฉียงใต้ ภาพสลักกว่า 21,000 ภาพมีความหลากหลายในเชิงสัญลักษณ์และเทคนิค บางภาพเป็นรอยขูด บางภาพใช้หินสองก้อนเป็นค้อนและสิ่วสกัด เช่น ภาพแกะเขาใหญ่ถูกแทงด้วยหอกและลูกศร (บนสุด) นักวิจัยศิลปะบนหิน มาร์กาเร็ต แบร์ริเออร์ คิดว่า บริเวณนี้น่าจะเป็นสถานที่ที่ผู้คนมาชุมนุมกันตามฤดูกาลเพื่อค้าขายและประกอบพิธีกรรม เนื่องจาก ไม่พบถิ่นฐานอยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียงเลย
ภาพ เขียนสีฮอกสปริงส์
ไม่ถึง 2,000 ปี ก่อนรัฐยูทาห์
นักโบราณคดี เควิน โจนส์ กล่าวว่า ราชินีโมกิผู้ลึกลับได้ฐานันดรศักดิ์อย่างไม่เป็นทางการจากจุดสีขาวที่เรียงโค้งเหนือศีรษะ ซึ่งผู้พบเห็นหลายคนตีความว่าเป็นมงกุฎ รูปคล้ายสัตว์ข้างตัวเธอมักตีความกันว่าเป็นสุนัข ความที่อยู่ใกล้ทางหลวงสาย 95 และพื้นที่นันทนาการแห่งชาติเกลนแคนยอน (Glen Canyon National Recreation Area) ภาพเขียนสีรูปแบบแบร์ริเออร์แคนยอน (Barrier Canyon-style Painting) ขนาดใหญ่กว่าตัวจริงนี้ดึงดูดความสนใจจากนักผจญภัยมากมาย ภาพเขียนสีและภาพสลักหินอื่นๆ ประดับอยู่บนผนังหุบผาชันใกล้เคียง
ภาพสลักหินเวดดิงร็อกส์
200 – 500 ปี ก่อนรัฐวอชิงตัน
นักปีนเขารู้สึกโชคดีที่บังเอิญพบภาพสลักหินซึ่งไม่มีป้ายบอกบนชายฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกในเขตอุทยานแห่งชาติโอลิมปิก ภาพสลักประมาณ 40 ภาพโดยศิลปินชาวมาคาห์ซึ่งเห็นได้ดีที่สุดในช่วงนํ้าลง เป็นภาพวาฬ พราน เรือ และสัญลักษณ์อื่นๆ ตามที่ชนพื้นเมืองเล่าสืบต่อกันมา หมู่บ้านโอเซ็ตซึ่งเป็นหนึ่งในห้าชุมชนถาวรของ เผ่ามาคาห์ถูกโคลนถล่มจนเสียหายบางส่วน จากนั้นในปี 1970 พายุรุนแรงที่พัดกระหนํ่าชายฝั่งเผยให้เห็น ภาพสลักโบราณที่มีสัญลักษณ์คล้ายกันประมาณ 55,000 ภาพ ปัจจุบัน พิพิธภัณฑ์มาคาห์ที่นีอาห์เบย์ซึ่งอยู่ ใกล้เคียงนำภาพเหล่านี้บางส่วนมาจัดแสดง
เรื่อง เคต เนทสัน
ภาพ สตีเวน อัลวาเรซ
ติดตามสารคดี ตำนานบนหินผา ฉบับสมบูรณ์ได้ที่ นิตยสาร เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย เดือนพฤษภาคม 2567
สั่งซื้อนิตยสารได้ที่ https://www.naiin.com/product/detail/609119