จอร์จ วอชิงตัน ชายผู้ทิ้งโอกาสเป็นกษัตริย์ และสร้างธรรมเนียมการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีไม่เกิน 2 สมัย

จอร์จ วอชิงตัน ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกา บิดาของประเทศ ผู้นำกองกำลังทหารเอาชนะอังกฤษได้อย่างเด็ดขาดในสงครามปฏิวัติ และประกาศอิสรภาพของชาติเมื่อวันที่ 4 ก.ค. 1776

จากเวอร์จิเนียสู่นิวยอร์ก

จอร์จ วอชิงตัน เกิดเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1732 ในครอบครัวชาวไร่ของอาณานิคมเวอร์จิเนีย เขาเป็นลูกชายคนแรกของ ออกัสติน วอชิงตัน และ แมรี่ บอล วอชิงตัน ภรรยาคนที่สอง ณ โคโลเนียลบีช ในเวสต์มอแลนด์เคาท์ตี้ รัฐเวอร์จิเนีย เชื้อสายของเขามาจากเมืองซัลเกรฟ ประเทศอังกฤษ โดยปู่ทวดของเขา จอห์น วอชิงตัน อพยพมาอาศัยที่เวอร์จิเนียในปี ค.ศ. 1657

ต่อมา ครอบครัววอชิงตันได้ย้ายไปอยู่ที่เฟอร์รี่ฟาร์มตอนที่ จอร์จ อายุ 6 ขวบ โดย จอร์จ วอชิงตัน เรียนหนังสืออยู่ที่บ้านโดยมีพ่อและพีชายคนโตเป็นผู้สอนหนังสือให้

ทั้งนี้ปัญหาที่ จอร์จ วอชิงตัน เห็นตั้งแต่วัยเด็กคือการปลูกยาสูบเป็นสินค้าหลักในเวอร์จิเนีย สามารถวัดได้โดยจำนวนทาสที่เอามาใช้แรงงานปลูกยาสูบ เมื่อวอชิงตันเกิดจำนวนประชากรของรัฐอาณานิคมเป็นคนผิวดำ 50% ซึ่งชาวแอฟริกันและอเมริกันแอฟริกันเกือบทั้งหมดถูกบังคับให้เป็นทาส

อย่างไรก็ตามเมื่อโตขึ้น จอร์จ วอชิงตัน ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่สำรวจที่ดิน เขาได้ความรู้เกี่ยวกับภูมิประเทศถื่นฐานบ้านเกิดของเขาอย่างประเมินค่ามิได้ ส่วนพี่ชายคนโตของเขาแต่งงานกับครอบครัวแฟร์แฟ็กซ์ และรับวอชิงตันไปเลี้ยงดู

ช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1749 หลังมีการตั้งเมือง อเล็กซานเดรีย มีการก่อสร้างตามลำน้ำแม่น้ำโปตาแม็กอย่างกะทันหัน ตอนนั้น จอร์จ วอชิงตัน ในวัย 17 ปี ได้รับแต่งตั้งให้ทำงานสาธารณะเป็นครั้งแรกในฐานะผู้สำรวจรังวัดที่ดินที่เขตคัลเปเปอร์เคาท์ตี้ซึ่งเพิ่งตั้งขึ้นใหม่ในชายแดนของรัฐอาณานิคม การแต่งตั้งครั้งนี้ถูกรับรองโดยคำสั่งจาก ลอร์ด แฟร์แฟ็กซ์ และลูกพี่ลูกน้องของเขา วิลเลียม แฟร์แฟ็กซ์ เจ้าของตำแหน่งในสภาผู้ว่าการรัฐ

ค.ศ. 1748 จอร์จ วอชิงตัน ถูกเชิญให้ไปช่วยรังวัดที่ดินของ ลอ์ดแฟร์แฟ็กซ์ อยู่ทางตะวันตกของเทือกเขาบลูริดจ์ และใน ค.ศ. 1749 เขาถูกแต่งตั้งให้อยู่ในสำนักงานของเขาเองแห่งแรก สำรวจ คัลเปเปอร์เคาท์ตี้ ซึ่งเป็นที่ดินแดนแห่งใหม่ และด้วยการสนับสนุนของพี่ชายต่างมารดาชื่อ ลอว์เรนซ์ วอชิงตัน เขามีความสนใจในสมาคมที่สำรวจแผ่นดินทางตะวันตก

ค.ศ. 1751 จอร์จ วอชิงตัน และพี่ชายของเขาเดินทางไปประเทศบาร์เบโดส และได้พักอยู่ที่บ้านบุชฮิลล์ โดยหวังเพื่อรักษาอาการวัณโรคของพี่ชาย และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เดินทางไปนอกเขตที่เป็นประเทศสหรัฐในปัจจุบัน หลังจากที่ลอว์เรนซ์เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1752 จอร์จ ได้รับมรดกบางส่วน และได้รับงานสืบต่อจากพี่ชายในอาณานิคมนั้น

ขณะเดียวกัน จอร์จ วอชิงตัน มีตำแหน่งทางทหารครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1754 ดิน วิดดี้ แต่งตั้งยศพันโทให้เขาและสั่งให้นำคณะเดินทางไปยังป้อม Fort Duquesne เพื่อไปขับไล่ชาวแคนาดาเชื้อสายฝรั่งเศส ในสงคราม กลุ่มชนพื้นเมืองอเมริกันในสหรัฐอเมริกา นำโดย ทานาชาริสัน สงครามเจ็ดปีจบลงโดยที่ จอร์จ วอชิงตัน ได้ติดยศนายพลจัตวาในกองทัพ

ต่อมาก่อนเกิดสงครามเมานต์เวอร์นอน จอร์จ วอชิงตัน ได้รับการแนะนำให้รู้จักกับ มาร์ธา แดนดริดจ์ คัสทิส โดยเธอเป็นแม่หม้ายที่อาศัยอยู่ในไร่ชื่อ White House Plantation บนฝั่งแม่น้ำ Pamunkey ในเขตนิวเคนต์เคาท์ตี้ รัฐเวอร์จิเนีย จากการแนะนำจากเพื่อนของมาร์ธา ในขณะที่จอร์จได้พักรบจากสงครามเจ็ดปี เขาได้ไปเยี่ยมบ้านของมาร์ธาเพียงสองครั้ง ก่อนที่จะขอแต่งงานหลังจากเพิ่งพบกันเพียงแค่ 2 สัปดาห์ จอร์จและมาร์ธาอายุได้ 27 ปีในวันที่เขาแต่งงาน คือวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 1759 ที่บ้านของเธอที่เรียกว่า ไวท์เฮาส์ และชื่อบ้านนี้ได้กลายเป็นชื่อทำเนียบขาวต่อมา

สำหรับเรื่องทายาท จอร์จ วอชิงตัน เคยป่วยด้วยโรคฝีดาษและได้รับเชื้อวัณโรคทำให้เขาเป็นหมัน แต่ต่อมาได้รับเลี้ยงหลานยายของ มาร์ธา ชื่อ Eleanor Parke Custis (“Nelly”) และ George Washington Parke Custis (“Washy”) หลังจากที่พ่อของทั้งสองคนได้เสียชีวิตลง โดยฐานะทางการเงินตอนนี้ถือว่า จอร์จ วอชิงตัน เป็นเศรษฐีที่มีความมั่งคั่งมากที่สุดคนหนึ่งของรัฐจากมรดกและที่ดินที่ได้จากครอบครัวของเขากับภรรยา

เมื่อถึงช่วงเริ่มต้นของการปฏิวัติอเมริกา จอร์จ วอชิงตัน ได้ดำรงตำแหน่งในสภาผู้แทนเวอร์จิเนีย (Virginia House of Burgesses) และได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนของสภาคองเกรสภาคพื้นทวีปในฟิลาเดลเฟีย ก่อนที่จะมีการแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งกองทัพภาคพื้นทวีป

ด้านจุดเริ่มต้นสงครามปฏิวัติอเมริกันนั้น เกิดจากการปะทะกันระหว่างทหารสหรัฐฯกับทหารอังกฤษในเดือนเมษายน ค.ศ. 1775 ซึ่งแท้ที่จริงเป็นปัญหาที่สั่งสมมานาน โดยชาวอาณานิคมอเมริกันไม่พอใจที่ถูกเรียกเก็บภาษี และต้องถูกปกครองโดยรัฐบาลอังกฤษ

จอร์จ วอชิงตัน ปรากฏตัวฃที่การประชุมสภาอาณานิคมที่ 2 ด้วยชุดเครื่องแบบทหาร ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าเขาพร้อมแล้วที่จะรบ จอร์จ วอชิงตัน มีทั้งศักดิ์ศรี ประสบการณ์ด้านการทหาร บุคลิกภาพที่งามสง่า ประวัติในการเป็นผู้รักชาติ จึงได้รับการสนับสนุนจากรัฐภาคใต้ในขณะนั้น โดยเฉพาะจากเวอร์จิเนีย

อย่างไรก็ดี จอร์จ วอชิงตัน แรกทีเดียวไม่ได้ต้องการมีตำแหน่งหน้าที่เป็นผู้นำทัพ แต่ในที่ประชุมก็ไม่มีใครแข่งขันด้วย สภาฯ ได้ก่อตั้งกองทัพบกที่เรียกว่ากองทัพฝ่ายอาณานิคม (Continental Army) ในวันที่ 14 มิถุนายน จากการเสนอชื่อโดย จอห์น แอดัมส์ จากรัฐแมสซาชูเซตส์ วอชิงตัน ติดยศพลตรีและได้รับเลือกจากสภาฯ ให้เป็นผู้บัญชาการกองทัพบกฝ่ายอาณานิคม (Commander-in-chief) ในสงครามครั้งนี้

อนึ่ง หลังสงครามยืดเยื้อมาหลายปี จอร์จ วอชิงตัน ได้ประกาศชัยชนะในสงครามประกาศอิสรภาพ เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม ปี 1776 ซึ่งต่อมากลายมาเป็นวันชาติสหรัฐฯ

ปฏิเสธอำนาจและตำแหน่งกษัตริย์

หลังจากที่ลาออกจากกองทัพ จอร์จ วอชิงตัน ไม่ได้แสวงหาอำนาจ เขาตัดสินใจเกษียณกลับไปอยู่ที่เมานต์เวอร์นอน แม้ว่าในวันที่ประกาศชัยชนะในสงครามประกาศอิสรภาพ ประเทศต่างๆ ในโลกปกครองของด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นส่วนมาก ยังไม่มีประเทศขนาดใหญ่ใดที่จัดตั้งรัฐบาลจากคะแนนเสียงของประชาชน และยังไม่มีประเทศที่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบเลย

หลายฝ่ายเชื่อว่าเวลานั้นหาก จอร์จ วอชิงตัน ตั้งตนเป็นกษัตริย์ ราชา หรือ จักรพรรดิ เหมือนแม่ทัพหลายคนก็สามารถทำได้ จากคะแนนนิยมที่ชาวอเมริกันมอบให้กับจอมทัพผู้พาชาติปลดแอกจากอังกฤษ เพียงแต่เขาเลือกที่จะไม่ทำ โดยเลือกให้สหรัฐฯ กลายเป็นประเทศที่ใช้ระบอบการปกครองแบบรัฐบาลสาธารณรัฐ

มีเรื่องเล่าขานว่า ในเดือนพฤษภาคม 1782 พันเอก นิโคลาส แห่งกองทัพบก นำนายทหารกลุ่มหนึ่งประชุมลับ เตรียมการสนับสนุนให้เขาเป็นกษัตริย์ แต่เขาปฏิเสธโดยให้คำอธิบายพร้อมตำหนิพันเอก นิโคลาส ว่า ตนมีจิตสำนึกอยู่ คงหาคนที่เกลียดแผนการนี่มากไปกว่าเขาไม่ได้อีกแล้ว ขอร้องให้ล้มเลิกความคิดในหัวเสีย อย่าปล่อยให้ตัวเองหรือใครก็ตามเผยแพร่ความคิดเช่นนี้อีก หากยังเห็นความสำคัญของชาติบ้านเมือง เป็นห่วงเป็นใยรุ่นลูกรุ่นหลาน หรือยังเคารพนับถือกันอยู่

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1783 จอร์จอ วอชิงตัน ใช้อิทธิพลและบารมีของเขาในการสลายกลุ่มนายทหารบกที่ขู่ว่าจะเผชิญหน้ากับสภาฯ เพื่อเรียกร้องเงินเดือนที่ยังค้างจ่าย เนื่องจากมีสนธิสัญญาสงบศึกกับอังกฤษที่ยอมรับในความเป็นเอกราชของประเทศสหรัฐอเมริกา วอชิงตันจึงได้สลายทัพบกในความรับผิดชอบของเขา และในวันที่ 2 พฤศจิกายน จอร์จอ วอชิงตัน ได้กล่าวอำลาต่อทหาร

วันที่ 25 พฤศจิกายน อังกฤษถอนกำลังออกจากนิวยอร์ก วอชิงตันและผู้ว่าการรัฐจึงเข้ายึดพื้นที่ที่ Fraunces Tavern วันที่ 4 ธันวาคม เขากล่าวอำลานายทหารของเขา และวันที่ 23 ธันวาคม เขาลาออกจากการเป็นผู้บัญชากองทัพบกฝ่ายอาณานิคม (commander-in-chief) และเป็นต้นแบบของผู้นำประเทศสาธารณรัฐที่ปฏิเสธการใช้อำนาจ ในระหว่างนั้นประเทศสหรัฐมีการปกครองโดยบทบัญญัติว่าด้วยสมาพันธรัฐโดยยังไม่มีประธานาธิบดีและรัฐบาลอย่างที่มีในปัจจุบัน ซึ่งในตอนนั้นเขาถูกยกย่องอย่างมากในฐานะวีรบุรุษสงครามเบอร์ 1 ของประเทศ

กระนั้น จอร์จ วอชิงตัน ก็มีเวลาพักผ่อนเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ในการเดินทางสำรวจดินแดนตะวันตกช่วงปี ค.ศ. 1784 เนื่องจากในปี ค.ศ. 1787 เขาได้รับการเลือกตั้งด้วยเสียงเอกฉันท์ให้เป็นประธานที่ประชุมฟิลาเดเฟียในช่วงฤดูร้อน จอร์จ วอชิงตัน มีส่วนในการอภิปรายไม่มากนัก แม้ว่าจะออกเสียงไม่เห็นด้วยกับกฎหมายหลายมาตรา แต่ด้วยเกียรติคุณและสัมพันธภาพของเขากับบรรดาตัวแทนในสภาฯ ตัวแทนในสภาได้ออกแบบตำแหน่งประธานาธิบดีโดยเลือกเขาไว้ในใจ พร้อมข้อเสนอให้ จอร์จ วอชิงตัน สามารถกำหนดตำแหน่งหน้าที่เองได้เมื่อเข้ารับตำแหน่ง ซึ่งในที่ประชุม จอร์จ วอชิงตัน ได้เสียงสนับสนุนท่วมท้นและทำให้ตัวแทนจากเวอร์จิเนียออกเสียงรับร่างรัฐธรรมนูญที่มีการยอมรับทั้ง 13 รัฐ

จอร์จ วอชิงตัน เป็นผู้ก่อตั้งประเทศและรับประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐอเมริกาอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1789 คณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) มีมติเอกฉันท์เลือกเขาเป็นประธานาธิบดีชื่อเดียว 100% ซึ่งสภาคองเกรสที่ 1 ได้ออกเสียงอนุมัติเงินเดือนของวอชิงตันที่ปีละ 25,000 ดอลลาร์ ซึ่งจัดว่ามีมูลค่ามากในขณะนั้น แต่เนื่องด้วยวอชิงตันได้เป็นผู้มีฐานะอยู่แล้ว จึงปฏิเสธที่จะรับเงินเดือนเพราะเขาเห็นว่าการเข้ารับตำแหน่งเป็นการทำงานรับใช้ประเทศอย่างไม่เห็นแก่ตน

ทว่า ด้วยการหว่านล้อมของสภาฯ จอร์จ วอชิงตัน จึงได้ยอมรับเงินเดือนนั้น ซึ่งเรื่องนี้ได้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ เพราะเขาและบรรดา “บิดาผู้ก่อตั้งประเทศ” (Founding fathers) ต้องการให้ตำแหน่งประธานาธิบดีในอนาคตสามารถมาจากคนที่กว้างขวาง โดยไม่ถูกจำกัดด้วยสถานะทางเศรษฐกิจของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดี

จอร์จ วอชิงตัน ทำพิธีสาบานตนรับตำแหน่งประธานาธิบดีภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 30 เมษายน ค.ศ. 1789 ภายในอาคาร เฟดเดอรัลฮอล นิวยอร์กซิตี้ ถึงแม้ว่าในตอนแรกเขาไม่ต้องการที่จะรับตำแหน่งนี้ โดย จอร์จ ทำหน้าที่อย่างระมัดระวัง เขาต้องการให้มั่นใว่าระบบของสาธารณรัฐจะไม่ทำให้ตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นเหมือนกษัตริย์แห่งราชสำนักในยุโรป จึงชอบที่จะให้คนเรียกเขาว่า “ท่านประธานาธิบดี” (Mr. President) มากกว่าที่จะเรียกเป็นอื่นๆในลักษณะที่เรียกขานกษัตริย์

หลังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี จอร์จ วอชิงตัน ได้พิสูจน์ฝีมือในฐานะนักบริหารที่มีความสามารถ เป็นคนรู้จักกระจายอำนาจและสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด เขาจะประชุมคณะรัฐมนตรีเป็นประจำ ก่อนที่จะมีการตัดสินใจในท้ายสุด จอร์จ วอชิงตัน คือคนทำงานอย่างมีกิจวัตร เป็นระบบ มีระเบียบ มีพลัง และถามหาความคิดเห็นจากคนอื่นๆในการตัดสินใจ ซึ่งมีการมองที่เป้าหมายปลายทาง และคิดถึงการกระทำที่จะต้องตามมา

การสร้างธรรมเนียมดำรงตำแหน่งไม่เกิน 2 สมัย

หลังจากการรับตำแหน่งในวาระแรก จอร์จ วอชิงตัน ลังเลที่จะรับตำแหน่งต่อในวาระที่สอง แม้ว่าจะชนะการเลือกตั้งอีกครั้งในปี ค.ศ. 1792 เขายังคงได้รับคะแนนโหวต 100% จากคณะผู้เลือกตั้ง (องค์คณะผู้เลือกตั้งซึ่งได้รับเลือกมาเพื่อทำหน้าที่เลือกผู้สมัครสำหรับดำรงตำแหน่งสำคัญโดยปกติแล้วมักเป็นผู้แทนองค์การ พรรคการเมือง หรือหน่วยงานต่างๆ ) เหมือนเดิม โดย จอห์น แอดัมส์ ถูกเลือกให้รับตำแหน่งรองประธานาธิบดี ซึ่งสภาฯ ได้ทำการหว่านล้อมจน จอร์จ วอชิงตัน ยอมดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกสมัย

แน่นอนว่าเมื่อเวลาผ่านไป จอร์จ วอชิงตัน ก็ยังคงชนะการเลือกตั้งอีกเป็นครั้งที่ 3 แต่ครั้งนี้ จอร์จ วอชิงตัน ยืนกรานที่จะสละเก้าอี้ประธานาธิบดี เขาปฏิเสธที่จะดำรงตำแหน่งต่อในวาระที่สาม ก่อนจะส่งต่ออำนาจให้ จอห์น แอดัมส์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่ 2 ของสหรัฐฯ ในวันที่ 4 มีนาคม 1797

จึงเป็นประเพณีสืบต่อมาที่จะไม่มีใครรับตำแหน่งประธานาธิบดีเกิน 2 สมัย กระทั่งมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ครั้งที่ 22 ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ได้มีการตราเป็นกฎหมายรัฐธรรมนูญว่า ประธานาธิบดีสหรัฐฯ จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันได้ไม่เกิน 2 สมัย ซึ่งประเทศที่ปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยทั่วโลก ก็มีการตราเป็นกฎหมายให้ นายกรัฐมนตรี หรือ ประธานาธิบดี ดำรงตำแหน่งสูงสุดไม่เกิน 2 สมัย หรือ 8 ปี

หลังจากที่ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีในเดือนมีนาคม ค.ศ. 1797 วอชิงตัน กลับไปยังเมานต์เวอร์นอนด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลาย เขาใช้เวลากับการทำการเกษตร และดูแลโรงกลั่นเหล้า โดยในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1798 วอชิงตันได้รับแต่งตั้งโดยประธานาธิบดีจอห์น แอดัมส์ ในยศ พลโท และเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด เพื่อเตรียมทำสงครามกับฝรั่งเศสในอนาคต ระหว่างวันที่ 13 กรกฎาคม ค.ศ. 1799 – 14 ธันวาคม ค.ศ. 1800 เขาได้มีส่วนร่วมในการวางแผนกองทัพเฉพาะกิจในยามที่มีสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ไม่ได้ลงสนามรบ

เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม ค.ศ. 1799 จอร์จ วอชิงตัน ประสบอุบัติเหตุหลังใช้เวลาหลายชั่วโมงขี่ม้าตรวจงานในฟาร์ม ซึ่งมีหิมะและต่อมามีฝนตกลงมาเป็นลูกเห็บ หลังจากที่เขานั่งรับประทานอาหารโดยไม่ได้เปลี่ยนชุดเสื้อผ้าที่เปียก วันต่อมา จอร์จ วอชิงตัน ตื่นขึ้นพร้อมกับเป็นหวัด มีไข้และหลอดลมอักเสบ ที่ต่อมากลายเป็นปอดบวม และกลายเป็นสาเหตุให้เขาเสียชีวิตช่วงเวลาหัวค่ำของวันที่ 14 ธันวาคม ในวัย 67 ปี

หลังเสียชีวิต กองทัพเรืออังกฤษได้ลดธงครึ่งเสาเพื่อเป็นการไว้อาลัย กองทัพบกอเมริกันใส่ปลอกแขนสีดำเป็นเวลา 6 เดือน จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ได้สั่งแสดงการไว้ทุกข์ 10 วันในฝรั่งเศส ประชาชนหลายพันคนไว้ทุกข์เป็นเวลาหลายเดือนในสหรัฐอเมริกา เพื่อความเป็นส่วนตัว มาร์ธาจึงเผาจดหมายที่เขียนถึงสามีเธอ และของตัวเธอเอง มีเพียงแค่ 3 ฉบับที่ไม่ได้ถูกเผา

นอกจากนี้ ยังมีการสร้าง อนุสาวรีย์วอชิงตัน เพื่อเป็นเกียรติแก่ จอร์จ วอชิงตัน ตั้งอยู่ ณ กรุงวอชิงตันดีซี เมืองหลวงที่ตั้งมาจากชื่อของเขาเช่นกัน โดย อนุสาวรีย์วอชิงตัน ตั้งอยู่ทางตะวันตกของอาคารรัฐสภาสหรัฐอเมริกา และทางใต้ของทำเนียบขาว มีลักษณะเป็นแท่งโอเบลิสก์ ทำด้วยหินอ่อน หินแกรนิต และหินทราย สูง 555 ฟุต 5 ½ นิ้ว (169 เมตร) เป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในเมือง ออกแบบโดย โรเบิร์ต มิลส์ สถาปนิกชื่อดังในยุคนั้น เริ่มสร้างใน ค.ศ. 1848 จนถึง ค.ศ. 1884

อนุสาวรีย์วอชิงตัน ใช้เวลาสร้างนานถึง 36 ปี ทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อ 9 ตุลาคม ค.ศ. 1888 ใช้หินไป 36,491 ก้อน หนัก 90,854 ตัน ใช้เงินไปทั้งสิ้น 1,187,710 ดอลลาร์สหรัฐ ข้างบนเป็นจุดชมวิว มีลิฟต์และบันได 897 ขั้น ซึ่งหินแต่ละก้อนที่นำมาสร้างบันไดในอนุสาวรีย์ได้มาจากที่ต่าง ๆ ทุกรัฐของอเมริกา และจากการบริจาคจากองค์กรเอกชนและรัฐบาลมิตรประเทศต่างๆ ของอเมริกา อาจเรียกว่าเป็น หินนานาชาติ

สืบค้นและเรียบเรียง สิทธิโชติ สุภาวรรณ์

Photo by library of congress on Unsplash

อ่านเพิ่มเติม : อับราฮัม ลินคอล์น ชายบนธนบัตร 5 ดอลลาร์ ผู้ประกาศเลิกทาส และ 1 ใน 4 ประธานาธิบดีสหรัฐฯที่ถูกลอบสังหาร

© COPYRIGHT 2024 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.