นักศึกษาปริญญาเอกพบ วาเลเรียนา (Valeriana) เมืองโบราณของอาณาจักรมายาที่สูญหายไปนานหลายศตวรรษด้วยเทคโนโลยีไลดาร์ หักล้างแนวคิดตะวันตกที่ว่า เขตร้อนชื้นคือที่ที่อารยธรรมดับสูญ
เมื่อช่วงปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา มีข่าวน่าตื่นเต้นในวงการโบราณคดีโลกจากการที่ ลุค ออลด์-โทมัส นักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยทูเลนในสหรัฐฯ พบข้อมูลเกี่ยวกับเมืองที่ซ่อนตัวในเนินเขาที่ป่าแห่งหนึ่งการสำรวจด้วยเทคโนโลยีไลดาร์ (Lidar) ที่เป็นวิธีการสำรวจพื้นที่ด้วยเลเซอร์ซึ่งสามารถตรวจจับสิ่งปลูกสร้างใต้พืชพรรณหนาทึบได้ โดยอาศัยการวัดระยะเวลาที่เลเซอร์ใช้เพื่อสะท้อนกลับมา
ลุค ออลด์-โทมัส เจอ วาเลเรียนา ขณะเข้ากำลังใช้กูเกิลหาหาข้อมูลบางอย่าง และพบข้อมูลเมืองมายาที่สาบสูญโดยบังเอิญ ผ่านไลดาร์ขององค์กรพิทักษ์สิ่งแวดล้อมของเม็กซิโก ซึ่งทีมนักโบราณคดีได้ตั้งชื่อเมืองแห่งนี้ว่า วาเลเรียนา ตามชื่อของบึงน้ำที่อยู่ใกล้เคียง โดยเชื่อว่าเป็นแหล่งอารยธรรมชาวมายาที่มีความหนาแน่นของสิ่งปลูกสร้างมากที่สุดอันดับ 2 ในโลก รองจาก กาลักมุล เมืองมรดกโลกแห่งใหม่ของประเทศเม็กซิโกที่ถูกรับรองจากยูเนสโกเมื่อปี 2002
วาเลเรียนา ตั้งอยู่ในผืนป่าของรัฐกัมปาเชทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเม็กซิโก ซึ่งจากการใช้ไลดาร์สำรวจ สามารถจัดทำแผนที่สิ่งปลูกสร้างที่ถูกฝังอยู่ใต้ผืนป่า ซึ่งพบอาคารขนาดต่างๆ จำนวน 6,764 หลัง รวมทั้ง ปีรามิด, ลานกีฬา, ถนนที่เชื่อมระหว่างเขตต่างๆ, อัฒจันทร์ และอ่างเก็บน้ำ
ทั้งนี้ เมืองโบราณแห่งนี้มีขนาดพื้นที่โดยรวมประมาณ 16.6 ตารางกิโลเมตร ใกล้เคียงกับขนาดของเมืองเอดินบะระ เมืองหลวงของประเทศสกอตแลนด์ สิ่งที่น่าสนใจคือวาเลเรียนาตั้งอยู่ห่างจากถนนใหญ่ใกล้เมืองชปูจิลที่เป็นที่อยู่ปัจจุบันของชาวพื้นเมืองที่สืบเชื้อสายชนเผ่ามายาเพียงแค่ระยะเดินเท้า 15 นาทีเท่านั้น
ลุค ออลด์-โทมัส ประมวลข้อมูลการสำรวจพื้นที่แถบนี้ด้วยวิธีการของนักโบราณคดีพบว่า เมืองโบราณขนาดใหญ่แห่งนี้มีลักษณะของการเป็นเมืองหลวงของชนเผ่ามายา ซึ่งเชื่อว่าก่อตั้งมาก่อน ค.ศ. 150 และอาจเคยเป็นที่อยู่ของชาวมายาประมาณ 30,000 ถึง 50,000 คน ในยุครุ่งเรืองช่วงปี ค.ศ. 750 ถึง 850 โดยจำนวนผู้คนที่เคยอาศัยในเมืองนี้ มากกว่าจำนวนผู้อยู่อาศัยในปัจจุบันเสียอีก
อนึ่ง ปัจจุบันยังไม่มีรูปถ่ายใดๆ ของเมืองวาเลเรียนาที่สาบสูญแห่งนี้ เนื่องจากไม่เคยมีมนุษย์เดินทางไปขุดค้นที่นั่นเลย ซึ่งคนในพื้นที่อาจสงสัยว่ามีซากปรักหักพังอยู่ใต้เนินดิน แต่ไม่มีใครสนใจ โดยการค้นพบเมืองโบราณชนเผ่ามายาในเม็กซิโกครั้งนี้คล้ายกับการค้นพบ เมืองเอลมิราดอร์ อารยธรรมมายาในประเทศกัวเตมาลาที่ใช้เทคโนโลยีไลดาร์นำข้อมูลจากแสงเลเซอร์มาสร้างเป็นแผนที่ 3 มิติ ในจุดที่ยังไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเหมือนกัน
การเสื่อมโทรมลงของอารยธรรมมายาในอเมริกากลางยังคงเป็นที่ถกเถียง โดยมีทฤษฎีหลักคือการพบร่องรอยของภัยแล้ง ไม่สามารถอยู่รอดได้จากปัญหาสภาพอากาศ นำไปสู่การย้ายถิ่นฐานไปอยู่ที่อื่น เพราะทรัพยากรที่เคยอุดมสมบูรณ์เริ่มขาดแคลน ซึ่งงานวิจัยชี้ให้เห็นว่าอารยธรรมมายาเริ่มล่มสลายตั้งแต่ปี ค.ศ. 800 เป็นต้นมา
นอกจากนี้ยังมีทฤษฎีอื่นๆ ที่ทำให้เกิดการอพยพออกจากพื้นที่ เช่น ประชากรที่หนาแน่นมากเกินการควบคุม เกิดสงครามระหว่างชนเผ่า และผู้รุกรานชาวสเปนในศตวรรษที่ 16 ก็อาจมีส่วนสำคัญที่ทำให้นครรัฐต่างๆ ของชาวมายาล่มสลาย ขณะที่การเสื่อมโทรมลงของวาเลเรียนา นักโบราณคดีเชื่อว่า น่าจะมาจากปัญหาความแห้งแล้งอย่างรุนแรงจนอาหารไม่เพียงพอ ที่สุดก็เกิดเกิดการอพยพครั้งใหญ่
แน่นอนว่าข้อสรุปเรื่องการล่มสลายของเมืองวาเลเรียนาไม่อาจพิสูจน์ได้ด้วยการใช้เทคโนโลยีเลเซอร์ ต้องมีนักโบราณคดีลงพื้นที่เพื่อศึกษาอย่างละเอียด ทว่าคุณค่าของ วาเลเรียนา คือพื้นที่แห่งนี้น่าจะยังมีสมบัติชนเผ่ามายาที่ล้ำค่าซึ่งไม่เคยถูกค้นพบอีกมากมาย อาทิ หน้ากากหยก อาวุธ งานจิตรกรรม เครื่องปั้นดินเผา เครื่องประดับที่ทำจากหยก ลูกปัด เปลือกหอย ฯ ของอดีตกษัตริย์และชนชั้นสูงที่ศพถูกฝังไว้ในสุสานประจำเมือง
วาเลเรียนา เปลี่ยนแปลงมุมมองของโลกตะวันตกอย่างไร?
เม็กซิโก กัวเตมาลา เบลิซ ฮอนดูรัส และเอลซัลวาดอร์ อาจเรียกได้ว่าเป็นแหล่งอารยธรรมมายาที่เป็นรากฐานประวัติศาสตร์ของภูมิภาคอเมริกากลางซึ่งเคยมีช่วงเวลารุ่งเรืองที่สุดช่วงคริสต์ศักราชที่ 250 – 900 โดยอัญมณีกลางผืนป่าเหล่านี้ถูกประเมินว่าอาจเมืองน้อยใหญ่มากมายกว่า 40 เมือง และมีประชากรอยู่อาศัยมากกว่า 50,000 คน
ศาสตราจารย์มาร์เชลโล คานูโต ผู้ร่วมวิจัยเกี่ยวกับเมืองวาเลเรียนาเปิดเผยว่า การค้นพบครั้งนี้ได้เปลี่ยนแปลงมุมมองของโลกตะวันตกที่มีต่ออารยธรรมมายาว่า ภูมิภาคป่าเขตร้อนชื้นแห่งนี้เป็นจุดแห่งอารยธรรมที่ดับสูญ จากการที่เกือบทุกเมืองมีจุดอันรุ่งเรืองแต่กลับสิ้นสุดลงในเวลาไม่นาน และถูกทิ้งร้างไว้ทั่วอเมริกากลาง
อย่างไรก็ตาม ศาสตราจารย์มาร์เชลโล ระบุว่า ในทางกลับกันภูมิภาคนี้อาจไม่ใช่แหล่งรวมเมืองร้าง แต่เป็นจุดศูนย์กลางของอารยธรรมและวัฒนธรรมอันมั่งคั่ง หลากหลาย รวมถึงซับซ้อนอย่างยิ่ง
ด้าน ลุค ออลด์-โธมัส และทีมของเขาก็เชื่อว่า ในอนุภูมิภาคของทวีปอเมริกายังมีแหล่งโบราณคดีอีกมากมายที่จะถูกค้นพบด้วยไลดาร์ในอนาคต ทำให้การขุดค้นทั้งหมดอาจเป็นไปไม่ได้ แต่ในส่วนของวาเลเรียนา เขาต้องการที่จะไปสำรวจมันด้วยตัวเองเพื่อค้นหาอีกหลายคำตอบปริศนาเกี่ยวกับเมืองแห่งนี้
สืบค้นและเรียบเรียง สิทธิโชติ สุภาวรรณ์
Photograph by Yannik Photography, Alamy
หมายเหตุ ภาพปกคือ วิหาร Kukulcan หรือ El Castillo ที่ Chichen Itzá ในเม็กซิโก หนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่มรดกโลกแห่งอาณาจักรมายาที่ถูกค้นพบในป่าก่อนหน้า Valeriana magazine/article/michelangelo-renaissance-art-sistine-chapel
อ้างอิง