ชาวโคลวิส (Clovis Culture) เป็นชนพื้นเมืองที่ไม่ค่อยคุ้นหูคนไทยมากนัก แต่นักโบราณคดีเชื่อกันว่าพวกเขาเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในภูมิภาคแห่งนี้เมื่อประมาณ 23,000 ปีก่อน โดยในช่วงเวลาเดียวกันนี้อเมริกาเหนือก็เต็มไปด้วยสัตว์ใหญ่แมมมอธ
อย่างไรก็ตามมีสิ่งหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์เห็นไม่ตรงกันคือ เทคโนโลยีและความรู้ของชนพื้นเมืองกลุ่มนี้ พวกเขาถกเถียงกันว่าชาวโคลวิสสามารถล่าสัตวใหญ่อย่างแมมมอธได้เหรือไม่ ซึ่งแทบยังไม่มีหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำให้ผู้เชี่ยวชาญได้แต่คาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้น
ทว่าตามรายงานใหม่ที่เผยแพร่บนวารสาร Science Advances เผยให้เห็นว่าพวกเขาคือนักล่าตัวฉกาจที่สามารถจัดการสัตว์ใหญ่และแบ่งปันอาหารให้กับทุกคนเผ่าได้อร่อยไปกับแหล่งไขมันที่ยอดเยี่ยมของแมมมอธ แม้แต่เด็กอายุ 18 เดือนก็มีร่องรอยของสารอาหรที่อุดมสมบูรณ์นี้ผ่านน้ำนมแม่
“มันไม่ใช่แค่หลักฐานเล็กน้อย แต่เป็นหลักฐานที่ ‘ตบหน้าเราอย่างจัง’ (slap in the face เขาหมายถึงเป็นหลักฐานที่ชัดเจนมากจนปฏิเสธไม่ได้เลย)” เจมส์ แชตเตอร์ส (James Chatters) นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยแม็กมาสเตอร์ในแฮมิลตัน รัฐออนแทรีโอ กล่าว
ในการศึกษาใหม่นี้ทีมวิจัยได้ทำการวิเคราะห์ทางเคมีของกระดูกเด็กชายวัย 18 เดือนที่มีชื่อว่า Anzick-1 โดยมีชีวิตอยู่เมื่อประมาณ 13,000 ปีก่อนในพื้นที่ที่ปัจจุบันคือรัฐมอนทานา สหรัฐอเมริกา โดยมุ่งเน้นไปที่การศึกษาไอโซโทปของธาตุคาร์บอนและไนโตรเจนบางชนิดที่เกิดจากการกระสมตัวของอาหารในกระดูก
และเนื่องจากเด็กชายยังอยู่ในวัยที่ดื่มนมแม่ ดังนั้นค่าไอโซโทปดังกล่าวจึงสะท้อนถึงวิถีการกินอาหารของแม่ แต่การแยกว่าแม่กินอะไรเข้าไปจริง ๆ บ้างนั้นต้องมีการเปรียบเทียบค่าไอโซโทปเพิ่มเติมกับค่าที่พบในสัตว์ที่อาจเป็นเหยื่อ จากนั้นจึงคำนวณว่าอาหารแต่ละอย่างที่กินเข้าไปนั้นมีสัดส่วนที่คล้ายกันหรือไม่ และสามารถมีผลให้เกิดการสะสมได้หรือไม่
“ไอโซโทปเป็นลายนิ้วมือเคมีในอาหารของผู้บริภาค และสามารถนำไปเปรียบเทียบกับลายนิ้วมือสิ่งที่มีศักยภาพพอจะเป็นอาหารได้ เพื่อประเมินสัดส่วนของรายงานอาหารต่าง ๆ” แมท วูลเลอร์ (Mat Wooller) ผู้เขียนร่วมและผู้อำนวยการศูนย์วิจัยไอโซโทปอลาสกา กล่าว
พวกเขาเปรียบเทียบผลที่ได้กับแหล่งอาหารต่าง ๆ ซึ่งเผยให้เห็นอาหารชนิดหนึ่งที่ชัดเจนมากนั่นคือ ‘แมมมอธขนปุย’ ซึ่งมีสัดส่วนที่อาจมากถึงร้อยละ 40 ซึ่งไม่ใช่สัตว์และพืชขนาดเล็กอย่างที่เชื่อกันก่อนหน้านี้ ชาวโคลวิสกินแมมมอธเป็นอาหารหลักซึ่งคล้ายกับเสือเขี้ยวดาบที่ล่าแมมมอธเช่นเดียวกัน
ในทางกลับกันเนื้อสัตว์อย่างกวางเอลก์ (Cervus canadensis) ไบซัน (Bison bison และ B. antiquus) และสายพันธุ์อูฐที่สูญพันธุ์ไปแล้วอย่าง ‘คาเมลโลป’ (Camelops) กลับมีอยู่ในระดับน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าแมมมอธคืออาหารหลักของมนุษย์โบราณกลุ่มนี้มากกว่าสัตว์อื่น ๆ
“ข้อมูลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่าชาวโคลวิส ให้ความสำคัญกับสัตว์กินพืชขนาดใหญ่ที่มีร่างกายใหญ่โตมากกว่า โดยเฉพาะแมมมอธ และไม่สนใจตัวที่กินพืชทั่วไปที่มีร่างกายขนาดเล็ก” รายงานระบุ
ผลการค้นพบนี้ทำให้บางคนเกิดคำถามว่ามีความเกี่ยวข้องกับการสูญพันธุ์ของแมมมอธหรือไม่?
นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อเช่นนั้น เนื่องจาการศึกษานี้(และการศึกษาอื่น ๆ) ชี้ให้เห้นว่าเมื่อมนุษย์เดินทางมาถึงทวีปอเมริกาเหนือ การสูญพันธุ์ก็เริ่มเกิดขึ้น สัตว์เหล่านี้อาจเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ การสูญเสียที่อย่อาศัย และอาจถูกล่ามากเกินไป
“หากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่ลดถื่นที่อยู่อาศัยที่เหมาะสมสำหรับสัตว์ขนาดใหญ่บางชนิดเลง ก็จะทำให้สัตว์เหล่านั้นเสี่ยงต่อการโดยล่าโดยมนุษย์มากขึ้น” เบ็น พอตเตอร์ (Ben Potter) ศาสตราจารย์ด้านโบราณคดี จากมหาวิทยาลัยอลาสกาแฟร์แบงก์ส กล่าว
การมุ่งเป้าไปที่แมมมอธนี้เป็นการอธิบายได้ว่าทำไมชาวโคลวิสถึงมีการแพร่กระจายไปยังทั่วทั้งทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากแมมมอธเป็นแหล่งไขมันและโปรตีนที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งในการเก็บไว้เป็นอาหารในช่วงอพยพ
“ที่นี่ไม่ใช่เป็นการกินแมมมอธที่เกิดขึ้นเพียงมื้อเดียว” พอตเตอร์ กล่าว “นี่คือประเพณีของผู้คน(ชาวโคลวิส) และพวกเขาก็ชอบกินมัน”
สืบค้นและเรียบเรียง
วิทิต บรมพิชัยชาติกุล
ที่มา
https://interestingengineering.com
https://www.discovermagazine.com