ทะเลเวดเดลล์เก็บงำความลับไว้อย่างมิดชิด จอห์น เชียร์ส และเมนสัน บาวนด์ รู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร อย่างน้อยก็ในหมู่คนที่ยังมีชีวิต ทั้งคู่ออกค้นหาขุมทรัพย์ยิ่งใหญ่ที่สุดใต้ทะเลเวดเดลล์มาหลายปีแล้ว ตอนนี้ พวกเขายืนอยู่บนน้ำแข็งทะเลกลางทะเลที่ขึ้นชื่อว่าโหดร้ายในขั้วโลกใต้ และพร้อมที่จะยอมรับความพ่ายแพ้
ขุมทรัพย์ที่พวกเขาตามล่าคือ เอนดูแรนซ์ เรือใบสามเสากระโดงอันเลื่องชื่อที่นำเออร์เนสต์ แชกเคิลตัน นักสำรวจในตำนาน กับลูกเรือ 27 คนไปยังแอนตาร์กติกาเมื่อปี 1914 ก่อนถูกกลุ่มก้อนน้ำแข็งบดขยี้และจมลงใต้ทะเลเวดเดลล์ การสำรวจที่ล้มเหลวในครั้งนั้น โดยแชกเคิลตันตั้งใจจอดเรือและเดินเท้าข้ามทวีป กลับกลายเป็นมหากาพย์แห่งการเอาชีวิตรอดและหนึ่งในเรื่องราวที่ได้รับการบันทึกไว้อย่างดีที่สุดของยุคแห่งการสำรวจขั้วโลกอันยิ่งใหญ่แชกเคิลตัน ซึ่งเมื่อถึงตอนนี้เรารู้แล้วว่าได้ปลุกขวัญกำลังใจลูกเรือที่ประสบเหตุอับปาง และร่วมแรงร่วมใจกันฝ่าพายุหิมะ โรคความเย็นกัด และเสบียงที่ร่อยหรอ ทั้งหมดรอดชีวิต และเรื่องราวของพวกเขาก็เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดหนังสือและภาพยนตร์มากมาย ทว่าเรืออับโชคของพวกเขาต่างหากที่กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งมหากาพย์การผจญภัยครั้งนั้น
เชียร์ส ผู้มีประสบการณ์ 25 ปีจากหน่วยสำรวจแอนตาร์กติกาของอังกฤษ และบาวนด์ นักโบราณคดีทางทะเลชื่อดังจากออกซฟอร์ด คว้าน้ำเหลวในการค้นหาซากเรือ เอนดูแรนซ์ มาแล้วครั้งหนึ่ง ภารกิจค้นหาเมื่อปี 2019 มอบทั้งบทเรียนอันเจ็บปวดและความรู้ความเข้าใจสำคัญยิ่งที่พวกเขานำมาใช้ในการกลับไปสำรวจน่านน้ำนอกชายฝั่งแอนตาร์กติกาในครั้งนี้
ทั้งคู่แตกต่างจากผู้นำทีมสำรวจบนเรือ เอนดูแรนซ์ ตรงที่มีอุปกรณ์ทันสมัย เช่น ดาวเทียมพยากรณ์น้ำแข็ง เฮลิคอปเตอร์บรรทุกของหนัก และหุ่นยนต์ใต้น้ำรุ่นล่าสุดที่มีระบบโซนาร์สแกนด้านข้าง พวกเขายังมีเรือตัดน้ำแข็ง เอส.เอ. อะกะลัส 2 ความยาว 134 เมตรที่ตัวเรือทำด้วยเหล็กกล้า และลูกเรือที่เปี่ยมทักษะด้วย แต่ถึงกระนั้น เชียร์สกับบาวนด์ก็รู้ว่าเวลาใกล้หมดแล้ว ฤดูหนาวใกล้เข้ามาแล้ว กลุ่มก้อนน้ำแข็งที่เคยปิดล้อมและกักเรือ เอนดูแรนซ์ ไว้อาจจับตัวเป็นน้ำแข็งรอบเรือ เอส.เอ. อะกะลัส 2 อย่างรวดเร็วได้ ทั้งคู่รู้ว่าเรือตัดน้ำแข็งต้องเริ่มเดินทางออกจากที่นี่ภายในสองวันนี้ ไม่เช่นนั้นจะเสี่ยงต่อการติดอยู่ที่นี่
เรือ เอนดูแรนซ์ ซึ่งมีความยาว 44 เมตร คือสิ่งอัศจรรย์ทางการเดินเรือ ว่ากันว่ามันเป็นเรือไม้แข็งแกร่งที่สุด ลำหนึ่งในยุคนั้น คานขนาดใหญ่ทำจากไม้สนสปรูซนอร์เวย์ พื้นเรือปูด้วยไม้กรีนฮาร์ตเนื้อแน่น กระดูกงูหรือโครงเรือเป็นไม้โอ๊กเนื้อแข็งหนาสองเมตร ถึงจะแข็งแรงอย่างยิ่ง เรือลำนี้กลับออกแบบมาสำหรับภารกิจค่อนข้างเบา นั่นคือการบรรทุกนักกีฬากระเป๋าหนักไปยังขอบน้ำแข็งอาร์กติกเพื่อล่าหมีขั้วโลก หลังจากซื้อเรือมา แชกเคิลตันได้ปรับแต่งให้สามารถรองรับเสบียงสำหรับการสำรวจและลูกเรือ โดยเสริมคอกสำหรับสุนัขลากเลื่อนหลายสิบตัวและเปลี่ยนชื่อที่ท้ายเรือใหม่ หลังจากติดอยู่ในกลุ่มก้อนน้ำแข็งนานเก้าเดือน หางเสือและเสากระโดงท้ายเรือของ เอนดูแรนซ์ ก็พังลงจากแรงบดของน้ำแข็ง เปิดช่องให้น้ำไหลเข้าไปได้
วันที่ 21 พฤศจิกายน ปี 1915 เวลา 17.00 น. ลูกเรือที่ตั้งค่ายพักบนแพน้ำแข็งเฝ้ามองด้วยความตื่นตระหนก เมื่อเห็นท้ายเรือชี้ขึ้นฟ้า “เรือจมแล้ว พวกเรา” นั่นคือทั้งหมดที่แชกเคิลตันสามารถพูดออกมาได้ ขณะที่เรือค่อยๆเคลื่อนตัวลงสู่สุสานอันเยียบเย็น
ค่าใช้จ่ายที่สูงลิบลิ่วและความท้าทายทางเทคนิคของการสำรวจใต้ทะเลเวดเดลล์ที่เป็นน้ำแข็ง ทำให้ความพยายามใดๆในการค้นหาเรือใบสามเสาของแชกเคิลตันเป็นความคิดอันเลื่อนลอย จนกระทั่งปี 2018 เมื่อมูลนิธิฟลอติลลา องค์กรพิทักษ์สมุทรในเนเธอร์แลนด์ ประกาศให้ทุนสนับสนุนภารกิจค้นหาซากเรือ เอนดูแรนซ์ เป็นครั้งแรก เชียร์สได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าทีมสำรวจ ส่วนบาวนด์เป็นผู้อำนวยการการสำรวจ โดยกำหนดเริ่มภารกิจ ช่วงต้นปี 2019
ถึงแม้จะมียานสำรวจใต้น้ำรุ่นล่าสุดที่ได้จากโอเชียนอินฟินิตี บริษัทผลิตหุ่นยนต์สำรวจทางทะเล ลูกเรือก็แทบ ไม่มีความคืบหน้าเลยในทะเลเวดเดลล์ สถานที่ที่ได้ชื่อว่าไม่เป็นมิตรที่สุดแห่งหนึ่งในโลก การติดตามรูปแบบของ แพน้ำแข็ง รวมถึงทิศทางและความเร็วของกลุ่มก้อนน้ำแข็งในแต่ละปี ยังคงเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์พอๆ กับ การคาดเดา และการระบุพื้นที่ค้นหาบริเวณก้นสมุทรที่ถูกต้องก็ต้องฝากความหวังไว้กับพิกัดตำแหน่งอายุกว่าร้อยปี การสำรวจครั้งแรกนั้นสอนให้เชียร์สกับบาวนด์ตอบคำถามสำคัญยิ่งสองข้อที่จะช่วยพวกเขาวางแผนและจัดการ การค้นหาครั้งต่อไป
กล่าวคือพวกเขาใช้เครื่องมือที่ถูกต้องหรือไม่ พวกเขาค้นหาในตำแหน่งที่แม่นยำหรือไม่ พวกเขาเสียเวลาเพราะอุปกรณ์ทำงานผิดพลาดตั้งแต่ยังไปไม่ถึงพื้นที่ค้นหาด้วยซ้ำ ระหว่างทดสอบการทำงานใต้น้ำครั้งแรกของยานสำรวจควบคุมระยะไกล หรืออาร์โอวี (remotely operated vehicle: ROV) ซึ่งเป็นยานดำน้ำ แบบยึดโยงติดตั้งกล้องถ่ายภาพสำหรับสำรวจซากเรือ แคปซูลไฟฟ้าเกิดระเบิดจากภายใน ทีมเสียเวลารออะไหล่ ที่ลานบินนานเกือบหนึ่งสัปดาห์ แต่สุดท้ายสภาพอากาศก็ไม่อำนวยให้เครื่องบินนำอะไหล่มาส่งได้ พวกเขามุ่งหน้าไปยังพื้นที่ค้นหาซึ่งมีเวลาดำสำรวจแค่สองไดฟ์ด้วยอุปกรณ์ค้นหาหลัก นั่นคือยานสำรวจใต้น้ำอัตโนมัติ หรือเอยูวี (autonomous underwater vehicle: AUV) ล้ำสมัยสีส้มสดที่มีชื่อว่า ฮิวกิน 6000 ซึ่งออกแบบมาสำหรับการสำรวจ ก้นสมุทรใต้น้ำแข็งและติดตั้งระบบโซนาร์สแกนด้านข้างที่มีประสิทธิภาพ การเริ่มต้นเป็นไปได้สวย หลังจากค้นหาตามแนวเส้นที่ตั้งโปรแกรมไว้ในพื้นที่ค้นหาได้เจ็ดจาก 11 เส้นที่บาวนด์เชื่อว่าน่าจะพบซากเรือ เอนดูแรนซ์ แต่แล้วหุ่นยนต์สำรวจราคาหกล้านดอลลาร์สหรัฐก็พลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมข้อมูลล้ำค่าทั้งหมดและโอกาสประสบความสำเร็จของทีม เชียร์ส, บาวนด์ และลูกเรือได้แต่ก้มหน้ายอมรับความพ่ายแพ้
เดือนสิงหาคม ปี 2020 เชียร์สได้รับโทรศัพท์จากโดนัลด์ ลามอนต์ อดีตผู้ว่าการหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานกองทุนมรดกทางทะเลหมู่เกาะฟอล์กแลนด์ องค์กรในสหราชอาณาจักรที่มีภารกิจอนุรักษ์ประวัติศาสตร์หมู่เกาะฟอล์กแลนด์และท้องทะเลใกล้เคียง เชียร์สประหลาดใจเมื่อฝ่ายหลังบอกว่า หน่วยงานของเขายินดีให้ทุนสนับสนุนการค้นหาอีกครั้ง เชียร์สและบาวนด์รู้ว่าพวกเขาต้องเปลี่ยนแนวทางใหม่ กองทุนมอบหมายให้ โก แว็งซ็อง เป็นรองหัวหน้าทีมสำรวจและผู้จัดการโครงการใต้ทะเล
แว็งซ็องเป็นวิศวกรใต้ทะเลที่มีประสบการณ์สูงที่สุดคนหนึ่งของวงการ ที่ผ่านมา เขาช่วยระบุตำแหน่งซากเครื่องบินและซากเรืออับปางมาแล้วหลายร้อยลำร่วมกับทีมผู้เชี่ยวชาญใต้ทะเล
หลังจากรับคำเชิญเข้าร่วมการสำรวจ แว็งซ็องกับทีมงานก็เริ่มศึกษาข้อมูลจากรายงานการสำรวจฉบับละเอียดเมื่อปี 2019 ที่แคลร์ แซมวล-มาร์ติน เพื่อนร่วมงาน ร่างขึ้นมา ข้อสรุปเร่งด่วนประการหนึ่งคือ ทีมจำเป็นต้องใช้ยานสำรวจใต้น้ำที่แตกต่างจากเดิม
“ฮิวกิน 6000 เป็นยาน [ใต้น้ำ] ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในโลกครับ” แว็งซ็องบอก แต่ไม่เหมาะกับงานในสภาพแวดล้อมหนาวจัดเช่นนี้
สำหรับการสำรวจครั้งต่อไป โอเชียนอินฟินิตีเลือกเซเบอร์ทูทของซาบ ยานสำรวจใต้น้ำขนาดเล็กกว่าสองลำ ซึ่งจะผูกโยงกับเรือบนผิวน้ำด้วยเคเบิลเส้นใยนำแสงหุ้มเคฟลาร์ ทีมใต้น้ำไปเยือนศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ของซาบ ในสวีเดนเพื่อฝึกใช้งานและทดสอบอุปกรณ์ ที่นั่น แว็งซ็องเห็นระบบกว้านล้ำสมัยที่จะใช้กับยานสำรวจและผ่อนสายเคเบิลที่เปราะบาง แต่ขณะเดินไปรอบๆ เขายังสะดุดตากับกว้านปลดระวางจากกองทัพเรือฟินแลนด์ที่มีผ้าใบคลุมไว้ด้วย แม้กว้านตัวนั้นจะอายุ 20 ปีแล้ว แต่มันก็ผ่านการใช้งานจริงมาแล้วอย่างโชกโชน เมื่อเขาขอให้วิศวกร ของซาบช่วยทำความสะอาดและส่งกว้านนั้นมาด้วย พวกเขาก็คัดค้าน แว็งซ็องไม่ยอมแพ้ เรียกร้องให้รวมกว้านเก่า ไว้ในสัญญาซื้อยานสำรวจใต้น้ำ ในฐานะ “อะไหล่ของอะไหล่” อีกที
คำถามอีกข้อหนึ่งเกี่ยวข้องกับจุดที่ทีมจะส่งยานเซเบอร์ทูทลงไปค้นหา เชียร์สขอให้ประเมินพื้นที่เป้าหมาย อีกครั้ง โดยหวังจะกำหนดพื้นที่ที่พวกเขาจะปูพรมสำรวจใต้น้ำอย่างแม่นยำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อทำเช่นนั้น พวกเขาจะต้องย้อนกลับไปศึกษาประวัติศาสตร์และวิเคราะห์ปูมหรือบันทึกต่างๆที่แฟรงก์ เวิร์สลีย์ กัปตันเรือ เอนดูแรนซ์ และเรจินัลด์ เจมส์ นักฟิสิกส์ประจำเรือ บันทึกไว้อีกครั้ง
ถึงแม้กัปตันเรือ เอนดูแรนซ์ จะทิ้งพิกัดสุดท้ายก่อนเรือจมที่เที่ยงตรงเอาไว้ แต่ที่จริงแล้ว นั่นเป็นเพียงการคาดการณ์อย่างดีที่สุดของเขาเท่านั้น แฟรงก์ รี้ด ผู้เชี่ยวชาญด้านการเดินเรือดาราศาสตร์จากพิพิธภัณฑ์ท่าเรือ เดินทะเลมิสติกในคอนเนทิคัต ที่ช่วยตรวจสอบความแม่นยำในการระบุตำแหน่งของเวิร์สลีย์ บอก ผลวิเคราะห์การคำนวณของพวกเขาทำให้รี้ดคาดประมาณตำแหน่งแท้จริงของเรือว่าน่าจะอยู่ห่างจากพิกัดโดยประมาณของเวิร์สลีย์ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราวห้ากิโลเมตร ทีมของแว็งซ็องใช้ผลการตรวจสอบของรี้ดกำหนดกรอบพื้นที่สุดท้ายของ การค้นหาไว้ที่ 28 คูณ 15 กิโลเมตร ซึ่งค่อนข้างเล็กเมื่อเทียบกับการค้นหาที่แว็งซ็องเคยทำก่อนหน้านี้
แต่เมื่อทะเลเวดเดลล์เริ่มส่งน้ำแข็งเป็นก้อนๆมาทางพวกเขา กระทั่งพื้นที่เพียงเท่านั้นก็เริ่มดูเหมือนที่ว่างอันไพศาลน่าเกรงขาม
ขณะที่ยานเซเบอร์ทูททิ้งตัวลงสู่น่านน้ำเปิดอันเย็นเยียบเพื่อเริ่มต้นการค้นหา สัญญาณเตือนว่ายานเกิดปัญหาร้ายแรงก็ดังขึ้นเกือบจะทันที อุปกรณ์ขับดันหนึ่งในหกตัวไม่ทำงาน ทำให้การบังคับควบคุมยานผิดปกติ ทีมนำยานกลับขึ้นมา เปลี่ยนอุปกรณ์ขับดันและชาร์จแบตเตอรี่ วันต่อมา เซเบอร์ทูทกลับลงน้ำอีกครั้ง แบตเตอรี่ที่ควรอยู่ได้เก้าชั่วโมงกลับหมดในห้าชั่วโมง กว้านตัวใหม่ออกแรงต้านเชือกโยงของยานสำรวจมากเกินไป จากนั้นกว้านก็พังสนิท ลูกเรือนำกว้านสำรองออกมา แต่ปัญหาเดิมก็ไม่วายตามมาอยู่ดี
ท้ายที่สุด เจซี ไกย็อง อดีตนาวาโทกองทัพเรือฝรั่งเศสและผู้จัดการนอกชายฝั่งในทีมแว็งซ็อง ก็เสนอให้นำกว้านเก่าของฟินแลนด์ออกมาใช้ มันทำงานได้ผลดีเหมือนร่ายมนตร์
แม้สัญชาตญาณของแว็งซ็องจะส่งผลดี แต่ชัยชนะก็อยู่ได้เพียงสั้นๆ ระยะเวลา 17 วันที่ตามมาให้ผลเป็นการสำรวจก้นสมุทรที่คว้าน้ำเหลวติดต่อกันหลายครั้ง เดือนกุมภาพันธ์เคลื่อนเข้าสู่เดือนมีนาคม อากาศเลวร้ายลงอย่างรวดเร็ว ลมหนาวที่ดาดฟ้าท้ายเรือ อะกะลัส 2 ลดวูบลงต่ำกว่าศูนย์มาก เพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดโรคความเย็นกัดและภาวะตัวเย็นเกิน และตอนนี้แพน้ำแข็งมหึมาที่ประกอบด้วยน้ำแข็งสะสมหลายปีและภูเขาน้ำแข็งได้เคลื่อนเข้ามาในพื้นที่แล้ว ปกคลุมหนึ่งในสามของขอบเขตการค้นหา
พอถึงวันที่ 5 มีนาคม ความสิ้นหวังก็เริ่มตั้งเค้า ทีมค้นหาพื้นที่เป้าหมายไปแล้วร้อยละ 81 และพบเพียงกองถ่านหินเป็นหย่อมๆ กับเสากระโดงที่จมอยู่ใต้โคลนไม่กี่ชิ้น แว็งซ็องอยู่ในห้องพัก กำลังเขียนรายงานสถานะ อธิบายว่ายังไม่พบซากเรืออับปาง บนน้ำแข็งทะเล ห่างไกลจากลูกเรือที่เหลือบนเรือ เชียร์สกับบาวนด์ไม่รู้ว่าจะบอกข่าวนี้กับผู้ให้ทุนและนักเรียนหลายพันคนที่ติดตามภารกิจออนไลน์ผ่านโครงการการศึกษารีชเดอะเวิลด์ (Reach the World) อย่างไร แต่ขณะที่เชียร์สเดินอยู่นั้น ความรู้สึกประหลาดก็ผุดขึ้นในใจผู้นำทีมสำรวจที่ปลงตก เขาหันไปหาบาวนด์ “รู้อะไรไหม เมนสัน วันนี้จะต้องเป็นวันที่ดีแน่ๆ ผมคิดว่าเรือลำนั้นอยู่ใต้เท้าเรานี่แหละ”
หลังสี่โมงเย็น ไกย็องวิทยุเรียกแว็งซ็อง เขาส่งต่อข้อความจากผู้บังคับการเซเบอร์ทูท ร็อบบี แมกกันนิเกิล ซึ่งทำงานอยู่ในห้องปฏิบัติการเคลื่อนที่สามที่นั่งขนาด 2.7 คูณ 2.1 เมตร ที่เต็มไปด้วยจอคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ควบคุมยานสำรวจใต้น้ำอัตโนมัติ ไกย็องบอกแว็งซ็องว่าพวกเขาได้รับสัญญาณโซนาร์ครั้งหนึ่ง ดังมากๆ แว็งซ็องเดินจ้ำไปยังดาดฟ้าท้ายเรือและบอกให้แมกกันนิเกิลบังคับยานสำรวจกลับไปอีกครั้ง ภาพที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอนั้นชวนตะลึง เสากระโดงเรือและดาดฟ้าชั้นบนปรากฏให้เห็นชัดเจน
“นิโก เราต้องกลับขึ้นไปบนผิวน้ำแล้ว” แมกกันนิเกิลบอก “เราเหลือพลังงานน้อยมาก”
“ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่!” แว็งซ็องปฏิเสธ “ผมต้องเห็นไม้ตัวเรือชัดๆ ถ้าไม่เห็น เราจะมีแค่เงื่อนงำ แต่ไม่มีข้อพิสูจน์”
แมกกันนิเกิลบังคับเซเบอร์ทูทให้วนรอบอีกครั้งอย่างไม่เต็มใจ เปิดไฟและกล้องวีดิทัศน์ หลายปีที่เชียร์ส, บาวนด์ และแว็งซ็อง วางแผนและเตรียมการ กับภารกิจสำรวจแอนตาร์กติกาของเอกชนครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีสองครั้ง ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับสิ่งที่พวกเขาจะได้เห็นต่อจากนี้
ท่ามกลางความมืดมิดของก้นสมุทร ความอัศจรรย์ ประวัติศาสตร์ และตำนานเก่าแก่กว่าศตวรรษปรากฏให้เห็นเต็มจอ กราบซ้ายของเรือ เอนดูแรนซ์ ซึ่งยังเห็นชัดเจนว่าทาสีขาวดำราวกับเพิ่งจมลงเมื่อวานนี้ ผุดขึ้นมาจากความมืดสลัว แว็งซ็องดื่มด่ำกับช่วงเวลาประวัติศาสตร์ ก่อนที่ทุกอย่างจะดับวูบไป
เวลายังคงเดินหน้าต่อไป พวกเขามีเวลา 48 ชั่วโมงในการเปลี่ยนชุดอุปกรณ์โซนาร์ของเซเบอร์ทูทเป็นกล้องความละเอียดสูงพิเศษ และเครื่องสแกนเลเซอร์ที่จะใช้สร้างภาพเหมือนต้นแบบสามมิติของซากเรือด้วยความละเอียดหนึ่งมิลลิเมตรในภายหลัง ตลอดจนทำการสำรวจทางโบราณคดีใต้ทะเลที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ช่วงหลังๆ แว็งซ็องเดินไปยังสะพานเดินเรือพร้อมภาพถ่ายโซนาร์ความละเอียดสูงในโทรศัพท์
เชียร์สกับบาวนด์ซึ่งเดินอยู่บนน้ำแข็งกำลังมุ่งหน้ากลับเรือ ทันทีที่เท้าแตะดาดฟ้าเรือ ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงประกาศออกลำโพง “เชียร์สกับบาวนด์โปรดมาที่สะพานเดินเรือ”
พวกเขารีบรุดไปที่นั่นและพบแว็งซ็องที่ทำท่าผิดหวังอย่างที่สุด
“มีอะไร เกิดอะไรขึ้น” เชียร์สถาม
แว็งซ็องลุกขึ้นยืนและยิ้ม ชูโทรศัพท์ที่มีภาพถ่ายโซนาร์ “ท่านสุภาพบุรุษทั้งหลาย ผมขอแนะนำให้รู้จัก เอนดูแรนซ์ ครับ!”
เชียร์สตกตะลึง เขาทิ้งมาดสงวนท่าทีแบบชาวอังกฤษและกอดแว็งซ็องแน่น พวกเขากลับไปที่ห้องปฏิบัติการเพื่อชมฟุตเทจวิดีโอที่บันทึกได้ จากนั้นก็เดินไปยังดาดฟ้าท้ายเรือเพื่อดูการนำเซเบอร์ทูทกลับขึ้นเรือ เมื่อใช้กว้านดึงยานสำรวจใต้น้ำขึ้นเรือเรียบร้อยแล้ว เสียงไชโยก็ดังกึกก้องไปทั่วผืนน้ำแข็ง
เรื่อง โจเอล เค. บอร์น จูเนียร์
ภาพถ่าย เอสเตอร์ ฮอร์แวท
แปล ศรรวริศา เมฆไพบูลย์