ลึกเข้าไปในถ้ำงูเห่าบนเทือกเขาอันห่างไกลทางตะวันออกเฉียงเหนือของลาว แสงจากไฟฉายคาดศีรษะของเอริก ซุซโซนี สะท้อนผนังหินเกลี้ยงๆ จนกระทั่งมันส่องกระทบอะไรบางอย่างที่ดูไม่ธรรมดา นั่นคือกระดูกและฟันหลายสิบชิ้นที่โผล่พ้นชั้นตะกอนและหินขึ้นมา
ซุซโซนี ผู้เชี่ยวชาญด้านการสำรวจถ้ำร่างสูงวัย 50 ตะโกนบอกคู่หู เซบัสเตียง ฟร็องเฌิล นี่คือการชิมลางครั้งแรกในถ้ำงูเห่าของสองนักสำรวจชาวฝรั่งเศส ทั้งคู่เพิ่งปีนหน้าผาหินปูนสูง 20 เมตรจากพื้นป่าขึ้นมาถึงปากถ้ำ ไม่นานหลังปีนเข้าไปในถ้ำ นักสำรวจทั้งสองก็บังเอิญพบเข้ากับสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นขุมฟอสซิลยุคบรรพกาล
ซุซโซนีกับฟร็องเฌิลกำลังสำรวจถ้ำนี้ให้ทีมนักมานุษยวิทยาบรรพกาลนานาชาติทีมหนึ่ง ซึ่งกำลังขุดค้นแหล่งโบราณคดีที่อยู่ใกล้ๆ เป็นเวลากว่า 15 ปีแล้วที่นักวิทยาศาสตร์เข้ามาขุดค้นเทือกเขาแห่งนี้เพื่อหาเงื่อนงำของปริศนาลี้ลับที่สุดบางส่วนในวิวัฒนาการของมนุษย์ นั่นคือการตอบคำถามว่า โฮโม เซเปียนส์ มาถึงที่นี่เมื่อไรและมีมนุษย์อื่นใดอีกบ้างที่พวกเขาพานพบ
ตอนแรกซุซโซนีไม่กล้าแตะต้องฟอสซิลเหล่านั้น แต่เมื่อกลับไปสำรวจถ้ำแห่งนั้นอีกครั้งในวันรุ่งขึ้นกับนักธรณีวิทยาคนหนึ่งในทีมวิจัย ซุซโซนีได้รับมอบหมายให้เก็บตัวอย่างตะกอนจากผนังถ้ำกลับไป ขณะที่เขาใช้ สิ่วเคาะ ฟันสีน้ำตาลขนาดใหญ่ซี่หนึ่งก็หลุดออกมา เป็นฟันกรามที่ดูคล้ายฟันมนุษย์อย่างประหลาด ซุซโซนีไม่ได้ตั้งใจที่จะค้นพบสิ่งนี้ ทั้งโดยอาชีพและโดยมารยาท เพราะนั่นเป็นหน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์ แต่เขาชื่มชมตัวอย่างนั้นครู่หนึ่งก่อนเก็บใส่กระเป๋าเสื้อเชิ้ต เขาบอกว่า มันเป็น “ของขวัญชิ้นงาม”
เมื่อกลับถึงเบสแคมป์ ซุซโซนีไปพบหัวหน้าทีมวิจัย ฟาบรีซ เดเมเทอร์ นักมานุษยวิทยาบรรพกาล จากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน และเกลม็อง ซาน็อลลี ผู้เชี่ยวชาญด้านฟันโบราณจากมหาวิทยาลัยบอร์โด เขาให้ทั้งคู่ดูฟันสัตว์สองสามชิ้นที่เก็บจากตะกอน ก่อนเอื้อมมือล้วงกระเป๋าเสื้อ “อ้อ ผมมีของมาฝากพวกคุณด้วย” ซุซโซนี เอ่ยพร้อมรอยยิ้มกว้าง ซาน็อลลีเอนตัวไปดูใกล้ๆ “ฟันมีสภาพดีมาก ไม่มีรอยสึกเลย” เขาเล่า “ผมรู้ทันทีว่าเป็นฟันมนุษย์” แต่มนุษย์อะไรล่ะ เขาคิดว่ามันใหญ่และมีสันหยักเกินกว่าจะเป็นของ โฮโม เซเปียนส์ สมัยใหม่ และถึงจะดูเผินๆ คล้ายฟันของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัล เราก็ไม่เคยพบหลักฐานฟอสซิลที่ระบุได้อย่างแน่ชัดว่าเป็นของมนุษย์ดังกล่าวในเอเชียตะวันออกมาก่อน นักวิทยาศาสตร์สบตากันอย่างงุนงง ใครคือเจ้าของฟันปริศนาซี่นี้กันแน่
จากฟันกรามในลาว กระดูกขากรรไกรบนที่ราบสูงทิเบต ชิ้นส่วนนิ้วก้อยในไซบีเรีย ประวัติวิวัฒนาการของเรากำลังเปลี่ยนไปจากการค้นพบเล็กๆน้อยๆอันเป็นผลจากวิทยาศาสตร์ที่รุดหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งความก้าวล้ำด้านพันธุศาสตร์บรรพกาล โปรตีนวิทยา และการหาอายุจากธาตุกัมมันตรังสี ความเข้าใจใหม่ๆที่โถมทะลักเข้ามาไม่เพียงทำให้ความเข้าใจเรื่องกำเนิดมนุษย์ของเราเปลี่ยนไปอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือเท่านั้น แต่ยังท้าทายแนวคิดว่าด้วยความหมายของการเป็นมนุษย์อีกด้วย
พวกเราทั้งแปดพันล้านคนบนโลกล้วนมาจากชนิดพันธุ์เดียวกัน โฮโม เซเปียนส์ คือโฮมินินชนิดสุดท้ายบนโลก ไม่นานก่อนหน้านี้มีความเชื่ออย่างกว้างขวางว่า มนุษย์สมัยใหม่เดินตามเส้นทางความก้าวหน้าทางวิวัฒนาการที่ค่อนข้างเป็นเส้นตรง ขณะกระจายตัวออกจากแอฟริกา โดยเป็นหนึ่งในชนิดพันธุ์ที่แยกออกจากและรู้กันโดยนัยว่าเหนือกว่ามนุษย์ชนิดพันธุ์อื่นๆ
ความสับสนอลหม่านในแนวคิดของวิวัฒนาการในปัจจุบันส่งผลให้ทรรศนะว่าด้วยกำเนิดมนุษย์ซึ่งเคยเป็นเส้นตรงและมีระเบียบแบบแผน แตกเป็นเสี่ยงๆ และเริ่มถูกแทนที่ด้วยภาพที่ยุ่งเหยิงกว่ามาก สิ่งที่นักวิจัยในปัจจุบันรู้ก็คือ ระหว่าง 70,000 ถึง 40,000 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญในพัฒนาการทางวิวัฒนาการของมนุษย์ โลกเต็มไปด้วยมนุษย์หลากหลายชนิดพันธุ์ และขณะที่ โฮโม เซเปียนส์ กระจายตัวออกไปทั่วยุโรปและเอเชีย พวกเขาก็เผชิญหน้าและกระทั่งผสมกลืนกลายกับมนุษย์ชนิดพันธุ์อื่นๆด้วย หลักฐานของการผสมกลืนกลายนี้ปรากฏขึ้นในปี 2010 เมื่อสวันเต เพโบ นักพันธุศาสตร์บรรพกาลชาวสวีเดน ทำแผนที่จีโนมมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลเป็นครั้งแรก งานของเขาพิสูจน์ว่ามนุษย์นีแอนเดอร์ทัลและ โฮโม เซเปียนส์ ผสมกลืนกลายกัน และการแลกเปลี่ยนพันธุกรรมนั้นก็ส่งผลตามมาที่ล้ำลึกและถาวร ทุกวันนี้ หรือผ่านมากว่า 40,000 ปีหลังมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลสูญพันธุ์ มนุษย์ส่วนใหญ่ที่มีชีวิตอยู่ยังคงมีเศษเสี้ยวดีเอ็นเอของพวกเขาอยู่ แต่มีใครอีกบ้างอยู่บนโลกกับเรา และปฏิสัมพันธ์ที่เรามีกับมนุษย์อื่นๆเหล่านี้ส่งผลอย่างไรต่อการก่อร่างสร้างเส้นทางวิวัฒนาการของเรา รวมถึงการสูญพันธุ์ของพวกเขา
หนึ่งในเงื่อนงำน่าทึ่งที่สุดมาจากถ้ำแห่งหนึ่งในไซบีเรีย ซึ่งนักวิจัยพบชิ้นส่วนนิ้วก้อยที่มีขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าเมล็ดถั่ว อุณหภูมิเย็นเยียบภายในถ้ำเดนิโซวาช่วยรักษาดีเอ็นเอบรรพกาลในฟอสซิลมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลซึ่งขุดพบที่นั่น แต่กระดูกอายุกว่า 60,000 ปีชิ้นนี้ต่างออกไป เมื่อเพโบกับลูกทีมวิเคราะห์ดีเอ็นเอจากชิ้นส่วนนิ้วดังกล่าว พวกเขาถึงกับอึ้งเมื่อพบว่า ฟอสซิลนี้เป็นของมนุษย์ชนิดพันธุ์หนึ่งที่สูญพันธุ์ไปแล้ว และเราไม่รู้จักโดยสิ้นเชิง
มนุษย์เดนิโซวานตามที่ทีมงานของเพโบเรียก กลายเป็นมนุษย์กลุ่มแรกที่นักวิจัยระบุชนิดโดยอาศัยดีเอ็นเอเพียงอย่างเดียว นี่คือชนิดพันธุ์ลับแล (ghost species) ซึ่งเป็นคำที่ผู้เชี่ยวชาญเรียกชนิดพันธุ์ที่ไม่อาจจำแนกทางกายภาพได้ ถ้ำเดนิโซวายังมีฟอสซิลที่มีดีเอ็นเออื่นๆอีก รวมถึงกระดูกจากเด็กหญิงที่เกิดจากบิดาเดนิโซวานและมารดานีแอนเดอร์ทัล หรือก็คือโฮมินินลูกผสมรุ่นแรกที่เคยค้นพบ
จากชิ้นส่วนนิ้วก้อยนั้น นักพันธุศาสตร์สามารถสืบสาวพบดีเอ็นเอของมนุษย์เดนิโซวานในประชากรยุคใหม่ทั่วโลก ตั้งแต่ไอซ์แลนด์ถึงเปรู โดยพบความหนาแน่นสูงเป็นพิเศษในปาปัวนิวกินี ซึ่งอยู่ห่างจากถ้ำเดนิโซวา 8,900 กิโลเมตร เป็นเรื่องเกือบแน่นอนแล้วว่า โฮโม เซเปียนส์ ผสมกลืนกลายกับมนุษย์เดนิโซวาน เช่นเดียวกับมนุษย์นีแอนเดอร์ทัล และนำดีเอ็นเอของพวกเขาท่องไปทั่วโลกด้วย นักมานุษยวิทยาบรรพกาลในปัจจุบันเชื่อว่า “ปรากฏการณ์ไหลเวียนของยีน” เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ แต่เป็นลักษณะหลักของวิวัฒนาการ ช่วยให้ โฮโม เซเปียนส์ ปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ และทำให้คนส่วนใหญ่มีความเกี่ยวข้องทางชีววิทยาโดยตรงกับมนุษย์โบราณ กลุ่มต่างๆ ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว
บนที่ราบสูงทิเบตในมณฑลกานซู่ของจีน ในถ้ำบนหน้าผาสูงจากระดับทะเล 3,280 เมตร พุทธสถานแห่งหนึ่งกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ เนิ่นนานก่อนกระดูกซึ่งพบที่นั่นจะมีค่าสำหรับนักวิจัยยุคใหม่ มันถูกบดเป็นผงเพื่อทำยาและน้ำอมฤต ดังนั้นการที่กระดูกขากรรไกรบรรพกาลชิ้นหนึ่งที่พบในถ้ำคาสต์ ไป๋ฉือหยาเมื่อปี 1980 ซึ่งปัจจุบันรู้จักในชื่อขากรรไกรล่างเซี่ยเหอ ยังอยู่รอดมาได้ อาจเป็นปาฏิหาริย์ก็ว่าได้ ภิกษุ ผู้พบกระดูกชิ้นนั้นนำไปมอบให้ผู้นำคณะสงฆ์หรือลามะกุงทังรินโปเชองค์ที่หก ซึ่งส่งมอบต่อให้นักวิทยาศาสตร์ชาวจีน มันวางอยู่บนชั้นหลายปีโดยไม่ได้รับการจำแนกและเกือบถูกลืม แต่หลายปีก่อน จางตงจวี๋ นักโบราณคดี จากมหาวิทยาลัยหลานโจวผู้ได้แรงบันดาลใจจากการค้นพบในไซบีเรีย ร่วมมือกับเพื่อนร่วมงานกลุ่มหนึ่งเพื่อพยายามไขปริศนาอัตลักษณ์ของกระดูกดังกล่าว
จางซึ่งตอนนั้นอายุกลาง 30 เริ่มขุดค้นในถ้ำคาสต์ไป๋ฉือหยาอย่างระมัดระวังโดยมีเหล่าภิกษุปฏิบัติศาสนกิจอยู่ใกล้ๆ ทว่าประวัติที่เล่าต่อกันมาของกระดูกขากรรไกรดังกล่าวไม่ได้ระบุชัดเจนว่าพบที่ส่วนใดของถ้ำ และสิ่งที่ชวนให้สับสนยิ่งกว่าก็คือ กระดูกขากรรไกรนี้ไม่มีร่องรอยดีเอ็นเอเลย ข้อมูลเดียวมาจากเปลือกคาร์บอเนตที่ยังเกาะอยู่เท่านั้น ซึ่งการหาอายุด้วยวิธียูเรเนียม-ทอเรียมคาดประมาณว่ามีอายุอย่างน้อย 160,000 ปี จนถึงขณะนี้ กระดูกขากรรไกรชิ้นนี้คือหลักฐานแรกสุดที่บ่งชี้ถึงการดำรงอยู่ของมนุษย์บนที่ราบสูงทิเบต แม้จะน่าทึ่ง แต่ไม่ช่วยให้จาง เข้าใกล้การระบุหรือบรรยายรายละเอียดของฟอสซิลนี้แต่อย่างใด
ระหว่างเดินทางไปทำงานในยุโรปช่วงกลางปี 2016 จางได้พบกับฟรีโด เวลเกอร์ นักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษา ซึ่งกำลังทดลองวิธีวิเคราะห์ที่น่าจะไปได้ไกลกว่าดีเอ็นเอ แม้จะเพิ่งอายุ 25 แต่เวลเกอร์ก็สร้างสรรค์วิธีใหม่ให้ศาสตร์ที่กำลังพัฒนาอย่างโปรตีโอมิกส์บรรพกาล (Paleoproteomics) ซึ่งทำหน้าที่เหมือนยานย้อนเวลาลึกล้ำ หนุ่มชาวดัตช์ผมยุ่งอธิบายให้จางฟังว่า เขาวิเคราะห์โปรตีนบรรพกาลที่คงอยู่ในฟอสซิลได้นานกว่าดีเอ็นเอมาก โดยบางครั้งอยู่นานกว่าถึงสองล้านปี โปรตีนเหล่านี้มีรูปแบบตามที่ดีเอ็นเอกำหนด จึงทำหน้าที่เสมือนดีเอ็นเอเงา สะท้อนข้อมูลต่อไปอีกยาวนานหลังดีเอ็นเอไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ถึงอย่างนั้นเวลเกอร์ก็เตือนจางว่า การสกัดโปรตีนเหล่านี้ออกมามักเป็นการรุกล้ำ เพราะต้องเจาะรูฟอสซิลและไม่มีหลักประกันว่าจะสำเร็จ “ฉันรู้สึกถึงความรับผิดชอบอย่างมหาศาลต่อ วัตถุโบราณอันล้ำค่านี้ค่ะ” จางเล่าและเสริมว่า “แต่เราจำเป็นต้องหาว่ามันคืออะไร และฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่น”
การสกัดวัสดุโปรตีนเกิดขึ้นในจีน จากนั้น เวลเกอร์ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่มหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกน ทำการวิเคราะห์โดยใช้สเปกโทรมิเตอร์ขนาดใหญ่ของห้องปฏิบัติการในเยอรมนี รูปแบบของโปรตีนคอลลาเจนที่พบในกระดูกขากรรไกรยืนยันว่า ฟอสซิลดังกล่าวแท้จริงแล้วเป็นของมนุษย์เดนิโซวาน
นั่นคือครั้งแรกที่เราระบุชนิดมนุษย์โบราณได้โดยอาศัยโปรตีนเพียงอย่างเดียว ยิ่งไปกว่านั้น กระดูกขากรรไกรดังกล่าวยังเป็นหลักฐานแรกสุดของการพบมนุษย์เดนิโซวานนอกถ้ำเดนิโซวา ทำให้ภาพของชนิดพันธุ์ที่เราแทบไม่รู้จักเลยสมบูรณ์ขึ้น ความก้าวหน้าดำเนินต่อไป และเรื่องราวของมนุษย์เดนิโซวานในถ้ำบนที่ราบสูงทิเบตก็มีรายละเอียดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หนึ่งปีหลังการค้นพบ จางกับทีมงานพบร่องรอยดีเอ็นเอของมนุษย์เดนิโซวานในถ้ำคาสต์ไป๋ฉือหยา ซึ่งช่วยตอกย้ำว่าพวกเขาอยู่ที่นั่น เมื่อฤดูร้อนปีที่แล้ว เวลเกอร์กับเพื่อนร่วมงานชาวจีนใช้โปรตีโอมิกส์กับกระดูกซี่โครงมนุษย์เดนิโซวานอีกครั้งเพื่อระบุว่า มนุษย์เดนิโซวานอาศัยอยู่ในถ้ำเป็นช่วงๆตลอดระยะเวลากว่า 100,000 ปี โดยล่าสัตว์และกินสัตว์ป่าหลากหลายชนิด “การเพิ่มจิกซอว์ให้ภาพปริศนาคือประสบการณ์พิเศษเฉพาะครับ” เวลเกอร์บอกและเสริมว่า “เพราะจิกซอว์ใหม่แต่ละชิ้นเปลี่ยนการจัดวางของจิกซอว์ที่เหลือทั้งหมด”
ประเด็นของเวลเกอร์ที่ว่า การค้นพบเรื่องหนึ่งอาจเปลี่ยนความหมายของเรื่องอื่นๆ เห็นได้ชัดจากกระดูกขากรรไกรที่เขากับจางวิเคราะห์ได้ การรู้ที่มาของขากรรไกรล่างส่งผลให้ตอนนี้มนุษย์เดนิโซวานมี “หลักยึด” หรือกระดูกที่ทำหน้าที่เป็นหลักในการเปรียบเทียบกับฟอสซิลอื่นๆ ไม่ว่าจะพบในห้องเก็บของฝุ่นเขรอะของจีน หรือในถ้ำที่ลาวเป็นต้น นี่คือสิ่งที่ฟาบรีซ เดเมเทอร์ ต้องการพอดี เขาพกฟันกรามปริศนาที่ได้จากถ้ำงูเห่าติดตัวไปทั่ว พยายามหาวิธีสกัดข้อมูลออกมา แต่ไม่พบดีเอ็นเอในฟันซี่นั้น กระทั่งโปรตีโอมิกส์บรรพกาลก็ไม่ช่วย เนื่องจากโปรตีนในฟันมีความหลากหลายไม่มากพอที่จะทำการวิเคราะห์ สิ่งเดียวที่เดเมเทอร์ยืนยันได้ก็คือ ฟันนั้นเป็นของมนุษย์และเป็นของเด็กหญิงคนหนึ่งเมื่อ 160,000 ปีก่อน
แต่เมื่อเขาทราบว่าจางและเวลเกอร์เตรียมจะตีพิมพ์บทความในวารสารเกี่ยวกับกระดูกขากรรไกรของมนุษย์เดนิโซวาน เดเมเทอร์รู้ว่าเขาและซาน็อลลี ผู้เชี่ยวชาญด้านฟัน สามารถเปรียบเทียบฟันกรามที่พวกเขาได้มา กับฟันสองซี่บนกระดูกขากรรไกรได้ พวกเขาค้นพบว่าหนึ่งในฟันนั้นเกือบจะเหมือนกับฟันกรามจากถ้ำงูเห่าในลาว
ถ้ำงูเห่าคือจุดที่สามในโลกที่พบฟอสซิลมนุษย์เดนิโซวาน ทั้งยังเป็นจุดแรกที่พบในสภาพแวดล้อมกึ่งเขตร้อน ห่างจากถ้ำคาสต์ไป๋ฉือหยาที่อยู่สูงบนที่ราบสูงทิเบตไปทางใต้ราว 1,600 กิโลเมตร และห่างจากถ้ำเดนิโซวาอันเย็น ยะเยียบไปทางตะวันออกเฉียงใต้ 3,200 กิโลเมตร บ่งชี้ว่ามนุษย์เดนิโซวานกระจายออกไปอย่างกว้างขวาง และปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างมากมาย เมื่อเรายืนยันสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ของมนุษย์เดนิโซวานได้มากขึ้น โดยที่ตำแหน่งและเส้นเวลาของพวกเขาทับซ้อนกับโฮมินินอื่นๆ โดยเฉพาะมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลและ โฮโม เซเปียนส์ ต่อไปเรื่อยๆ ชิ้นส่วนจิกซอว์พันธุกรรมก็จะเข้าที่เข้าทางมากขึ้น
ศิลปะบรรพกาลเติมชีวิตให้การค้นพบทางวิทยาศาสตร์ ทำให้เราเห็นชั่วแวบอันหาได้ยากของช่วงเวลาก่อนประวัติศาสตร์ ตั้งแต่แขนสั้นๆ เหมือนตัวการ์ตูนของ ไทรันโนซอรัส เร็กซ์ ไปถึงคิ้วดกหนาของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัล การสร้างภาพโดยอิงวิทยาศาสตร์ของสิ่งมีชีวิตที่สูญพันธุ์ไปแล้วยังคงยึดครองจินตนาการของเราต่อไป ศิลปินบรรพกาลชื่อดัง จอห์น เกิร์ช เป็นหนึ่งในศิลปินไม่กี่คนที่สนใจเครือญาติที่สาบสูญไปนานแล้วของมนุษย์เป็นพิเศษ
งานประติมากรรมของเขาจัดแสดงในโถงกำเนิดมนุษย์ของพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาแห่งชาติ สถาบันสมิทโซเนียน ขณะที่นักวิทยาศาสตร์พบมนุษย์ชนิดพันธุ์อื่นๆ มากขึ้นเรื่อยๆ การค้นพบเหล่านี้ก็ทำให้ภาพ โฮโม เซเปียนส์ ของเราซับซ้อนยิ่งขึ้น แบบจำลองซึ่งอิงตามกระดูกฟอสซิลของเกิร์ชทำให้มนุษย์โบราณได้รับความสนใจ แบบจำลองที่เห็น อยู่นี้เป็นตัวแทนการคาดประมาณอย่างดีที่สุดของเขาว่า โฮมินินชนิดใหม่ที่ได้ชื่อว่า โฮโม ลองกี น่าจะมีหน้าตาอย่างไร
เกิร์ชมีเป้าหมายชัดเจนมาตลอด นั่นคือ “สร้างชนิดพันธุ์ที่สาบสูญไปแล้วเหล่านี้ให้ใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะทำได้” เขาเริ่มสนใจมนุษย์เดนิโซวานเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่นักวิทยาศาสตร์ตีพิมพ์งานวิจัยโดยสันนิษฐานสัณฐานของกะโหลกศีรษะจากข้อมูลพันธุกรรมล่าสุดที่ได้จากเศษฟอสซิล จากนั้น ในปี 2021 นักวิจัยจากจีนเปิดเผยการค้นพบกะโหลกฮาร์บิน ซึ่งบางคนมองว่าเป็นฟอสซิลมนุษย์เดนิโซวานที่สมบูรณ์ที่สุดที่พบจนถึงขณะนี้ เกิร์ชรีบเบน ความสนใจทั้งทางศิลปะและวิทยาศาสตร์ของเขาไปยังฟอสซิลอันน่าทึ่งที่มีสมองขนาดใกล้เคียงสมองมนุษย์สมัยใหม่ แต่มีปากกว้างกว่าและคิ้วที่เข้มชัดยิ่งกว่า
แบบจำลองที่อิงข้อมูลจากกะโหลกฮาร์บินทำให้เราเห็นภาพชนิดพันธุ์หนึ่ง เมื่อพบฟอสซิลมากขึ้นและข้อค้นพบใหม่เหล่านี้ได้รับการตรวจสอบทางพันธุศาสตร์ ภาพจำลองนี้ก็มีแนวโน้มพัฒนาต่อไป
เรื่อง บรูก ลาเมอร์
ภาพถ่าย จัสติน จิน และมาร์ก ทีสเซน