เผยความลับของ โครงการไอซ์เวิร์ม

ในช่วงที่สงครามเย็นตึงเครียดที่สุด โครงการลับเฉพาะทางการทหาร สร้างฐานทัพนิวเคลียร์ใต้ผืนน้ำแข็งในอาร์กติก ตอนนี้ นักวิทยาศาสตร์ กำลังสำรวจอีกครั้งว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่นั่น และรวบรวมข้อมูลเชิงลึกใหม่ๆ  ที่สำคัญยิ่งเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

วันหนาวเหน็บวันหนึ่งของเดือนตุลาคม ปี 1960 ทหารช่างทีมหนึ่งของกองทัพบกสหรัฐฯ ยืนอยู่ลึกลงไปใต้ธารน้ำแข็ง  กำลังเตรียมความพร้อมขั้นสุดท้าย  ก่อนเดินเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เป็นครั้งแรก

เครื่องปฏิกรณ์นี้เป็นรุ่นทดลอง ขนาดค่อนข้างเล็กและไม่เสถียร ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติในช่วงแรกๆ ของ ยุคพลังงานนิวเคลียร์ ทหารเหล่านี้รู้ดีว่าแค่กัมมันตรังสีรั่วไหลเพียงครั้งเดียวก็อาจฆ่าพวกเขาได้แล้ว พวกเขาถูกล้อมด้วยกำแพงหิมะแวววาวที่ดูดกลืนเสียงพูด สะท้อนลำแสงจากไฟของพวกเขา และซับเสียงคลิกของเข็มในเครื่องนับไกเกอร์ สูงขึ้นไปเหนือศีรษะพวกเขาเป็นเพดานโค้งทำด้วยแผ่นเหล็กลูกฟูก ใต้ฝ่าเท้าเป็นน้ำแข็งหนาหนึ่งกิโลเมตรที่เก่าแก่มากจนย้อนไปถึงสมัยไพลสโตซีน เมื่อปฏิกิริยาลูกโซ่เริ่มต้นขึ้นในท้ายที่สุด ความโล่งใจก็ฉายแววออกมาแต่ภายในไม่กี่นาที ทีมงานกลับต้องลนลานช่วยกันปิดเครื่องปฏิกรณ์ดังกล่าว ที่จุดใดจุดหนึ่งลึกลงไปใต้น้ำแข็งมีการรั่วไหล รังสีนิวตรอนกำลังแผ่ซึมสู่ความมืดของน้ำแข็งเบื้องล่าง

ลองนึกภาพทีมงานตรงนั้นที่อยู่ท่ามกลางธารน้ำแข็งแห่งหนึ่งในกรีนแลนด์ กำลังพยายามเดินเครื่องปฏิกรณ์โดยอาจเป็นมนุษย์เพียงกลุ่มเดียวที่แขวนอยู่อย่างเหมาะเจาะระหว่างรอยต่อของยุคน้ำแข็งและยุคปรมาณู ไม่เคยมีใครทำสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่นี้มาก่อน และจะไม่มีใครทำอีกเลย  สาธารณชนรับรู้กันโดยทั่วไปว่า แผนอุบายอันซับซ้อนนี้มีเป้าหมายเพื่อสำแดงศักยภาพทางการคิดค้นของอเมริกา นั่นคือการก่อสร้างฐานทัพขนาดใหญ่ใต้ผืนน้ำแข็งที่ได้รับการขนามนามว่า ค่ายเซนจูรี (Camp Century) ซึ่งจะแสดงให้โลกเห็นว่า แม้แต่สภาพแวดล้อมกันดารหนาวเย็นที่สุด สหรัฐอเมริกาก็สามารถแปรสภาพให้เป็นสถานที่อยู่อาศัยได้ สถานีทหารที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์แห่งแรกของโลกที่ก่อสร้างโดยการสกัดลงไปในธารน้ำแข็งแห่งนี้ คือสุดยอดผลงานทางวิศวกรรม เป็นชัยชนะเหนือลมฟ้าอากาศ พร้อมพรั่งด้วยเหล่าทหารหาญผู้นำความเจริญและความเข็งแกร่งทางวิทยาศาสตร์ไปยังพื้นที่รกร้างว่างห่างไกลในเขตขั้วโลก

หน้าด่านสงครามเย็นอันหนาวเหน็บที่สุด ค่ายเซนจูรีที่สกัดลงไปใต้พืดน้ำแข็งกรีนแลนด์ ตั้งอยู่ห่างจากฐานทัพอากาศทูลีกว่า 200 กิโลเมตร ได้รับการ ป่าวประกาศว่าเป็นสถานีวิจัยทางวิทยาศาสตร์ แต่เป็นฉากหน้าของแผนการลับ นั่นคือใช้เป็นคลังสะสมขีปนาวุธนิวเคลียร์ราว 600 ลูก ตามสนามเพลาะใต้หิมะและน้ำแข็ง โดยพุ่งเป้าไปยังเมืองต่างๆ ที่มีความสำคัญที่สุดทางยุทธศาสตร์ของจักรวรรดิโซเวียต

หลังค่ายเซนจูรีก่อสร้างเสร็จและเปิดใช้งานแล้ว หนังสือพิมพ์และนิตยสารต่าง ๆ รวมถึง เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก ส่งผู้สื่อข่าวไปเยือนฐานทัพห่างไกลในอาร์กติกดังกล่าว พวกเขาเดินชมอุโมงค์เขาวงกตที่สว่างไสวด้วยพลังงานจากเครื่องปฏิกรณ์ที่ว่า (ถึงตอนนั้น การรั่วไหลได้รับการแก้ไขแล้วด้วยบล็อกตะกั่วและวิศวกรรมล้ำหน้า) สิ่งที่นักข่าวผู้มาเยือนไม่ได้รับการบอกกล่าวให้รู้ เช่นเดียวกับทหารจำนวนมากที่ใช้ชีวิตอยู่ที่สถานีนั้น ซึ่งจุผู้อาศัยได้มากถึง 200 คน ก็คือ ค่ายเซนจูรีเป็นฉากบังหน้าสำหรับโครงการลับทางการทหารในช่วงสงครามเย็น แผนซึ่งแม้แต่รัฐบาลเดนมาร์กที่ปกครองกรีนแลนด์อยู่ก็ไม่ล่วงรู้นี้ ถูกเก็บเป็นโครงการลับเฉพาะอยู่หลายทศวรรษ ความทะเยอทะยานของอเมริกาในดินแดนน้ำแข็งเหนือสุดของโลกนี้ ไม่ใช่เป็นเรื่องของการพัฒนาเครื่องกำเนิดไฟฟ้าพลังงานปรมาณูขนาดพกพาหรือเคลื่อนย้ายได้สะดวกมากสักเท่าไร หากเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนพืดน้ำแข็งกว้างใหญ่ให้กลายเป็นฐานยิงขีปนาวุธมากกว่า จากข้อมูลในเอกสารซึ่งปัจจุบันถอดชั้นความลับแล้ว  กองทัพสหรัฐฯ อ้างถึง “ศักยภาพในการปรับแปลงอันโดดเด่น” ของพื้นที่ให้เป็นจุดวางกำลังรบด้วยอาวุธนิวเคลียร์ กล่าวคือเป็นสถานที่ห่างไกล ใกล้กับรัสเซีย และตกเป็นเป้าโจมตีได้ยาก แผนการที่ว่านี้ซึ่งมีชื่อว่า โครงการไอซ์เวิร์ม (Project Iceworm) วาดภาพถึงการเชื่อมต่อเครือข่ายอุโมงค์ของค่ายเซนจูรีและไกลออกไปด้วยทางรถไฟต่างๆ ซึ่งสามารถซุกซ่อนและขนส่งขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ได้ถึง 600 ลูก โดยสามารถยิงข้ามขั้วโลกไปยังสหภาพโซเวียตได้

ในการสร้างอุโมงค์โดยใช้เทคนิคขุดแล้วกลบ แผ่นโลหะทรงโค้งจะถูกนำมาติดตั้งเหนือร่องหรือคู แล้วกลบทับด้านบนด้วยหิมะที่ขุดขึ้นมา (ภาพถ่าย: U.S. ARMY CORPS OF ENGINEERS)

ทุกวันนี้ แผนการทหารอันฮึกเหิมที่ว่านั้นไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไป ค่ายเซนจูรีถูกกองทัพทิ้งร้างไปนาน อุโมงค์ใต้หิมะถูกน้ำแข็งที่ไม่เคยหยุดนิ่งถล่มทับและกลืนหายไปแล้ว แต่มีมรดกน่าประหลาดใจกว่านั้นอยู่อย่างหนึ่งที่รอดอยู่ยงมาได้ ซึ่งต้องยกความดีให้ขวดโหลถูกมองข้ามหลายขวดที่ซุกทิ้งไว้ในตู้แช่อุณหภูมิเยือกแข็งตลอดหลายทศวรรษ หลักฐานไม่คาดคิดในขวดโหลเหล่านี้ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของซากที่หลงเหลืออยู่จากโครงการวิทยาศาสตร์ไร้การแซ่ซ้องกำลังเปิดโอกาสให้นักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่มองเห็นภาพอันครั่นคร้ามของยุคที่จะชุ่มน้ำ ปั่นป่วน และโกลาหลกว่าเดิม ที่อาจรอเราอยู่ข้างหน้า

ตลอดเจ็ดปีที่ฐานทัพแห่งนี้เปิดใช้งาน บุคลากรในค่ายเซนจูรีตรากตรำทำงานและใช้ชีวิตในความโดดเดี่ยวตัดขาดอย่างสุดขั้ว ฐานทัพนี้ตั้งอยู่ห่างจากชุมชนมนุษย์ที่อยู่ใกล้ที่สุด 204 กิโลเมตร  นั่นคือฐานทัพอากาศชื่อทูลี การขนส่งอาหาร เชื้อเพลิง และอุปกรณ์ต่างๆ ทำโดยใช้เลื่อนลากไปยังค่ายเซนจูรีเป็นขบวนยาวเหยียดที่เรียกกันว่า ขบวนชิงช้า ผู้คนเองก็ต้องใช้วิธีนี้เดินทางไปยังค่ายดังกล่าว

ออสติน โคแวกส์ วิศวกรวิจัยและพัฒนาสังกัดกองทัพบก ซึ่งปัจจุบันอยู่ในวัย 80 เศษ และเคยใช้ชีวิตอยู่ในค่ายนี้หลายฤดูกาล จำได้ว่าการเดินทางโดยขบวนชิงช้าใช้เวลาหลายชั่วโมง แม้แต่ในสภาพอากาศดีที่สุด และในสภาพอากาศเลวร้าย เช่น มีพายุหิมะ เกิดภาวะขาวโพลนจนมองไม่เห็นอะไร หรือหนาวเย็นรุนแรงเฉียบพลัน การเดินทางอาจกินเวลาหลายวัน บางครั้งขบวนชิงช้าอาจถึงกับหลงทิศหลงทางอยู่ในความเวิ้งว้างไร้ที่สิ้นสุดของอาร์กติก กระนั้น ความเสี่ยงที่แท้จริงนั้น โคแวกส์บอกว่า คือความเบื่อหน่ายในค่าย “ผู้คนคิดกันว่ามันอันตราย แต่มันไม่อันตรายเลยสะดวกสบายดีอยู่ด้วยซ้ำ แต่บางครั้งก็ซ้ำซากจำเจสุดๆ ครับ”

ในการสร้างอุโมงค์โดยใช้เทคนิคขุดแล้วกลบ แผ่นโลหะทรงโค้งจะถูกนำมาติดตั้งเหนือร่องหรือคู แล้วกลบทับด้านบนด้วยหิมะที่ขุดขึ้นมา (ภาพถ่าย: U.S. ARMY CORPS OF ENGINEERS)
ผู้เชี่ยวชาญเฝ้าแผงควบคุมเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ของค่าย ซึ่งสามารถผลิตความร้อนและแสงสว่างได้เพียงพอสำหรับครัวเรือนอเมริกันโดยเฉลี่ยมากกว่า 500 ครัวเรือนในเวลานั้น และประหยัดได้มหาศาลเมื่อเทียบกับการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงไปยังสถานีห่างไกลในขั้วโลกแห่งนี้ (ภาพถ่าย: ดับเบิลยู. โรเบิร์ต มัวร์, NATIONAL GEOGRAPHIC IMAGE COLLECTION)
โรงทหารสำเร็จรูป 22 หลังติดตั้งบนฐานไม้ยกพื้นเพื่อป้องกันน้ำแข็งละลาย เรือนนอนซึ่งอบอุ่นและสว่างไสวแต่ละยูนิตจะมีพื้นที่นันทนารวมอยู่ด้วย และมีแมสคอตไม่เป็นทางการของค่าย ซึ่งก็คือสุนัขลากเลื่อนชื่อ มัคลุค แวะมาเยี่ยมเยียน (ภาพถ่าย: ดับเบิลยู. โรเบิร์ต มัวร์, NATIONAL GEOGRAPHIC IMAGE COLLECTION)

เจ้าหน้าที่ประจำการอาศัยอยู่ในบ้านพักทหารสำเร็จรูปที่สร้างอยู่ในน้ำแข็ง โคแวกส์ทำงานในส่วนที่เรียกว่า สนามเพลาะหมายเลข 33 ซึ่งเขาวิจัยและศึกษาฐานรากสำหรับรองรับอาคารขนาดใหญ่บนพืดน้ำแข็งขั้วโลก ที่นั่นไม่มีแสงอาทิตย์ ไม่มีเสียงนกร้อง ไม่มีลมโชย มีการฉายภาพยนตร์ในโรงหนังของฐานทัพอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ห้องสมุดมีหนังสืออยู่พอประมาณ เหล่าเจ้าหน้าที่อาบน้ำและโกนหนวดในโรงอาบน้ำรวม กินข้าวในโรงอาหารสว่างไสว ของเสียทุกชนิดตั้งแต่ขยะ น้ำเสีย สารเคมีอุตสาหกรรม และกระทั่งน้ำปนเปื้อนกัมมันตรังสีที่ใช้หล่อเย็นเครื่องปฏิกรณ์จะถูกทิ้งกลับลงไปในธารน้ำแข็งและยังแข็งตัวอยู่ตรงนั้น อย่างน้อยก็จนถึงตอนนี้

ขณะที่โคแวกส์จดจ่ออยู่กับงานวิจัยของเขา เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ปฏิบัติหน้าที่บำรุงรักษาเครื่องปฏิกรณ์ หรือไม่ก็ศึกษาการเคลื่อนที่ของหิมะ ที่ด้านล่างของฐานทัพ เจ้าหน้าที่ทีมหนึ่งสาละวนกับการขุดเจาะรูลึกลงไปน้ำแข็ง เมื่อปี 1966 หลังทุ่มเททำงานต่อเนื่องอยู่หลายปี เจ้าหน้าที่ทีมนั้นก็เจาะทะลุก้นธารน้ำแข็งลงไปเจอพื้นผิวของกรีนแลนด์เอง พวกเขาน่าเจาะลงไปลึกกว่า 1,200 เมตร โดยระหว่างนั้นได้เก็บตัวอย่างแกนน้ำแข็งชิ้นแรกเท่าที่เคยเจาะได้จากพืดน้ำแข็งใดๆ และแทบไม่ต้องคิดอะไรมาก พวกเขาเจาะลึกลงไปอีกแล้วเก็บตัวอย่างชั้นดินเยือกแข็งโบราณ                ขนาด 3.5 เมตรขึ้นมา

ตัวอย่างดินดังกล่าวจะกลายเป็นหนึ่งในมรดกที่อยู่ยงคงกระพันที่สุดของค่ายเซนจูรี แม้ว่าในเวลานั้นไม่มีใครใส่ใจอะไรกับมันมากนัก เป็นเวลาหลายปีหลังฐานทัพถูกทิ้งร้าง ตัวอย่างดินดังกล่าวถูกเก็บไว้ในขวดโหลในตู้แช่แข็งแห่งหนึ่งที่เมืองบัฟฟาโล รัฐนิวยอร์ก ก่อนถูกเคลื่อนย้ายไปเก็บในตู้แช่แข็งที่ประเทศเดนมาร์ก แทบไม่มีอะไรชี้ชวนให้คิดว่ามีสิ่งที่จะนำไปสู่ความหยั่งรู้อันใดภายในขวดโหลเหล่านั้น และเครื่องมือที่จะช่วยปลดล็อกหรือไขความสำคัญของมันถ้าพอจะมีอยู่บ้างก็ถือว่าน้อยมาก เวลาล่วงเลยมาถึงปี 2019 เมื่อพอล เบียร์มัน นักธรณีศาสตร์และศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยเวอร์มอนต์ กับเพื่อนร่วมงานจำนวนหนึ่ง เริ่มศึกษาตัวอย่างในขวดโหลเหล่านั้น

สิ่งที่พวกเขาค้นพบปฏิวัติความเข้าใจของเราเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศสมัยโบราณของกรีนแลนด์ และเอื้อให้เห็นภาพอนาคตที่เป็นไปได้ของเราเอง ทีมของเบียร์มันค้นพบว่า สิ่งที่ถูกกักเก็บอยู่ในตัวอย่างดินมีทั้งเศษใบไม้ กิ่งไม้ มอสส์ และกระทั่งแมลง ซากเหล่านี้จะต้องมาจากช่วงเวลาที่ภูมิภาคนี้ปลอดจากน้ำแข็งเท่านั้น หรือยุคที่ไม่ได้ถูกถมทับด้วยธารน้ำแข็งหนาหนึ่งกิโลเมตร การค้นพบนี้วาดภาพอดีตกาลของกรีนแลนด์ขึ้นใหม่ “มีหลายสิ่งที่ช่วยให้เราเรียนรู้เกี่ยวกับพืดน้ำแข็งในแบบที่เราไม่มีทางเรียนรู้ได้โดยตรงจากตัวน้ำแข็งเองครับ” เบียร์มันกล่าว “เพราะมันมาจากสิ่งที่ลึกลงไปใต้น้ำแข็ง”

ขณะที่กองทัพบกสหรัฐฯ ดำเนินภารกิจนิวเคลียร์ของค่ายอย่างลับๆ เหล่านักวิทยาศาสตร์ทำงานที่ตื่นเต้นเร้าใจ น้อยกว่า เช่น การสกัดตัวอย่างน้ำแข็งและดินใต้ฐานทัพ งานวิจัยของพวกเขาที่ได้รับการปัดฝุ่นอีกครั้งกำลังให้ความกระจ่างใหม่ๆ เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ภาพถ่าย: U.S. ARMY CORPS OF ENGINEERS)

ตัวอย่างดินดังกล่าวทำให้นักวิทยาศาสตร์เบนเข็มไปอย่างสุดขั้วจากแนวคิดคลุมเครือก่อนหน้านั้นที่เชื่อว่าพืดน้ำแข็งกรีนแลนด์มีอายุสองสามล้าน เบียร์มันผู้ทำงานร่วมกับนักวิชาการอื่นๆ อีกหลายสิบคน แสดงให้เห็นว่าพืดน้ำแข็งนี้อายุน้อยกว่าที่ใครเคยนึกคิดไว้ ดินดังกล่าวเป็นหลักฐานบ่งชี้ว่า ผืนดินใต้ค่ายเซนจูรีไม่มีน้ำแข็งปกคลุมเมื่อราว 400,000 ปีก่อน  ในช่วงเวลาที่มวลแผ่นดินตรงนั้นมีสภาพอบอุ่นกว่าในปัจจุบันเล็กน้อย และระดับทะเลก็สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ  เขาอธิบายว่า สิ่งที่ปรากฏจากข้อมูลเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงภาพในอดีตกาล แต่อาจรวมถึงภาพอนาคตที่กระจ่างชัดขึ้น เมื่อน้ำจืดปริมาณมหาศาลที่ถูกกักอยู่ในพืดน้ำแข็งกรีนแลนด์ละลายลงสู่ทะเล หากสิ่งนี้เกิดขึ้น ทุกหนแห่งจะรับรู้ได้ถึงผลกระทบ เมื่อเรือกสวนไร่นาและเมืองน้อยใหญ่ตามแนวชายฝั่งถูกน้ำหลากท่วม ซึ่งอาจทำให้มนุษย์หลายพันล้านคนกลายเป็นผู้ลี้ภัยเนื่องจากสภาพภูมิอากาศ

“เป็นเรื่องง่ายที่จะมองอะไรแบบแยกส่วนหรือมองข้ามความสำคัญของกรีนแลนด์ หรือบอกว่า ‘อ๋อ นั่นมันอาร์กติกไม่ใช่หรือ มันไม่สลักสำคัญอะไรกับเราเลย’” เบียร์มันกล่าว แต่ตัวอย่างดินที่ถูกลืมเลือนมายาวนานจากค่ายเซนจูรีเชื่อมโยงโดยตรงกับประเด็นปัญหาวิกฤติในยุคสมัยของเรา “มันพาคุณจากปี 1966 ตรงมาที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั่วโลกในตอนนี้ และต่อไปถึงผลกระทบต่างๆ ที่เกิดจากการละลายของกรีนแลนด์ มันสัมพันธ์เกี่ยวข้องกันอย่างล้ำลึกเลยละครับ”

เรื่อง นีล เช  

ภาพประกอบ แมตต์ กริฟฟิน


อ่านเพิ่มเติม : ภารกิจค้นหา ‘เอนดูแรนซ์’ เรืออัปปางในตำนาน

© COPYRIGHT 2025 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.