คนไทยกลุ่มแรกเตรียมสำรวจอาร์กติก เก็บข้อมูลภาวะโลกร้อน-ขยะพลาสติก

คนไทยกลุ่มแรกเตรียมสำรวจอาร์กติก เก็บข้อมูลภาวะโลกร้อน-ขยะพลาสติก

ครั้งแรก! ของทีมนักวิจัยไทยซึ่งขณะนี้กำลังเตรียมมุ่งหน้าสู่ขั้วโลกเหนือ เพื่อดำน้ำสำรวจใต้ทะเลขั้วโลกเหนือ หลังจากที่ก่อนนี้เคยดำน้ำขั้วโลกใต้มาแล้ว ตั้งเป้าศึกษาผลกระทบภาวะโลกร้อน และขยะพลาสติกขนาดเล็กที่มีต่อสัตว์ทะเลหน้าดิน โดยวางแผนสำรวจวันที่ 24 ก.ค.-12 ส.ค.นี้

เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม – มูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี สถานเอกอัครราชทูตนอร์เวย์ประจำประเทศไทย องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงข่าว”การสำรวจวิจัยขั้วโลกเหนือครั้งแรกของประเทศไทย” โดยมี ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ กรมการและเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี พร้อมด้วย นายเวการ์ด โหล์เมลีด รักษาการแทนเอกอัครราชทูตนอร์เวย์ประจำประเทศไทย นางกรรณิการ์ เฉิน ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์ อพวช. และผศ.ดร.ปมทอง มาลากุล ณ อยุธยา รองอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมในการแถลงข่าว

(โลกร้อน: ชั้นดินเยือกแข็งอาร์กติกที่กำลังละลายอาจปล่อยปรอทปริมาณมหาศาลออกมา!)

ศ.ดร.ไพรัช ธัชยพงษ์ กรมการและเลขาธิการมูลนิธิเทคโนโลยีสารสนเทศตามพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี กล่าวว่า สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เคยเสด็จเยือนเขตแอนตาร์กติก หรือ ขั้วโลกใต้ ในเดือนมี.ค.2556 และยังเคยเสด็จไปยังเขตอาร์กติก หรือขั้วโลกเหนือ ซึ่งพระองค์ทรงพระราชดำริให้นักวิทยาศาสตร์ไทยขยายความร่วมมือในการศึกษาวิจัยขั้วโลกจากขั้วโลกใต้สู่ขั้วโลกเหนือ เพื่อยกระดับความก้าวหน้าของการศึกษาวิจัยวิทยาศาสตร์ขั้วโลกให้สูงขึ้นและทัดเทียมนานาประเทศ

“ที่ผ่านมาไทยมีการศึกษาวิจัยขั้วโลกใต้ในครั้งนี้จะเป็นการขยายผลดำเนินการโครงการสำรวจขั้วโลกเหนือของประเทศไทย ภายใต้โครงการวิจัยขั้วโลกตามพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ถือว่ามีความสำคัญ เพราะทั้งขั้วโลกเหนือและขั้นโลกใต้เปรียบเหมือนตัวชี้วัดชั้นบรรยากาศ ซึ่งผลจากการศึกษาวิจัยโดยคณะสำรวจครั้งนี้ก็จะนำไปเป็นข้อมูลในการทำงานต่อไป” ศ.ดร.ไพรัช กล่าว

(โลกร้อน : น้ำแข็งผืนสุดท้ายในอาร์กติก)

ผศ.ดร.ปมทอง มาลากุล ณ อยุธยา รองอธิการบดี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในฐานะที่จุฬาลงกรณ์มหาวิยาลัย มีบทบาทเป็นมหาวิทยาลัยแกนนำด้วยมีบุคลากรที่มีประสบการณ์ผ่านการดำน้ำสำรวจเพื่อศึกษาวิจัยในเขตขั้วโลกใต้มากที่สุด และยังมีเครือข่ายต่างประเทศที่ร่วมศึกษาวิจัยขั้วโลก ได้แก่ สาธารณรัฐเกาหลี สาธารณรัฐประชาชนจีน และญี่ปุ่น จึงเห็นความสำคัญในการขยายผลโครงการสู่การวิจัยขั้วโลกเหนือ จึงได้มีโอกาสเข้าร่วมภารกิจนี้ เป็นโอกาสสำคัญของยกระดับการวิจัย การสร้างความเข้มแข็งในวิชาและหลักสูตรนานาชาติที่เกี่ยวกับการศึกษาขั้วโลกและสิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัยของประเทศให้ทัดเทียมนานชาติ ยังหวังให้เกิดผลในการตระหนัก และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมทางทะเลของประเทศและของโลก

ผศ.ดร.ปมทอง กล่าวต่อว่า ทั้งนี้ คณะสำรวจมีจำนวน 13 คน เป็นนักวิจัยที่มีประสบการณ์ดำน้ำขั้วโลกใต้ 2 คน ได้แก่ รศ.ดร.วรณพ วิยกาญจน์ หัวหน้าภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, รศ.ดร.สุชนา ชวนิชย์ อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนิสิตปริญญาเอก เป็นคณะผู้วิจัยหลัก

ยังมีฝ่ายสนับสนุน เป็นทีมปฏิบัติการดำน้ำและถ่ายทำสารคดีทางบกและทางน้ำ เนื่องจากคณะสำรวจจะต้องดำน้ำเพื่องานวิจัยในทะเลขั้วโลกเหนือของประเทศนอร์เวย์ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของประเทศไทยและครั้งแรกในการดำน้ำขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ของทวีปเอเชีย

(การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศส่งผลให้หมีขาวหาอาหารได้ยากลำบากขึ้น)

รศ.ดร.วรณพ วิยกาญจน์ หัวหน้าภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะทีมวิจัย กล่าวว่า คณะสำรวจจะเริ่มปฏิบัติการสำรวจตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค.-12 ส.ค.2561 โดยวัตถุประสงค์สำคัญของการสำรวจครั้งนี้ คือ การศึกษาผลของภาวะโลกร้อนและขยะพลาสติกขนาดเล็กที่มีต่อสัตว์ทะเลหน้าดินที่ทะเลอาร์กติก

โดยจะมีการปฏิบัติการดำน้ำเพื่อสำรวจวิจัยใต้ทะเลครั้งแรกของเอเชีย ซึ่งการดำน้ำขั้วโลกเหนือจะแตกต่างจากขั้วโลกใต้ มีการปฏิบัติงานบนเรือทะเลชายฝั่งหมู่เกาะสวาลบาร์ด มหาสมุทรอาร์กติก โดยคณะสำรวจจะเก็บข้อมูลสภาพน้ำ สัตว์ ตะกอนน้ำ เพื่อมาทำการศึกษาวิเคราะห์ เป็นข้อมูลเปรียบเทียบสภาพของขั้วโลกใต้และขั้วโลกเหนือ มีความเปลี่ยนแปลงเช่นไร และมีการบันทึกภาพถ่ายทำสารคดีสั้นเกี่ยวกับการสำรวจและวิจัย และนำกลับมาจัดทำหนังสือและสมุดภาพเกี่ยวกับขั้วโลกเหนือเผยแพร่ด้วย

(ชมความน่ารักของจิ้งจอกอาร์กติก)

รศ.ดร.สุชนา ชวนิชย์ อาจารย์ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เนื่องจากภารกิจครั้งนี้จะต้องดำน้ำสำรวจในขั้วโลกเหนือซึ่งเป็นพื้นที่น้ำแข็ง น้ำอุณหภูมิ 0 ถึง -1 องศา มีความเย็นมากก็ต้อง ก็ต้องเตรียมพร้อมทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ รวมถึงอุปกรณ์ ชุดดำน้ำ ถึงมือที่ทำให้ร่างกายไม่เปียกน้ำและสามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้รับการร่วมมือสนับสนุนเป็นอย่างดี และผู้สนับสนุนร่วมมือในการสำรวจ

ทั้งนี้ พื้นที่อาร์กติกถือเป็นพื้นที่อ่อนไหวและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมโลก เหมาะในการสำรวจตรวจสอบปรากฎการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นบนโลกในปัจจุบัน เช่น ปรากฎการณ์เรือนกระจกจากชั้นบรรยากาศ ขยะทางทะเล จุดนี้จึงเหมือนเป็นภาชนะรับของเสีย แต่ก็เป็นปราการด่านแรกที่จะช่วยเตือนภัยล่วงหน้าให้แก่โลกของเราได้ การสำรวจขั้วโลกเหนือครั้งนี้จะเกิดประโยชน์ทั้งในแง่การศึกษาปัญหาโลกร้อน ปัญหาขยะพลาสติกที่ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตในขั้วโลกเหนือ ซึ่งผลการศึกษานี้อาจจะไม่ตอบโจทย์ปัญหาทั้งหมดแต่ก็นำไปประกอบการศึกษาและเป็นข้อมูลในการวางแผน เมื่อต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงในอนาคต

 

 

อ่านเพิ่มเติม

โลกร้อนจะเปลี่ยนโฉมหน้าโลกเราไปอย่างไร?

© COPYRIGHT 2024 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.