มูนใช้เวลาเกือบทั้งวันเพื่อเดิ
ในหนึ่งช่วงอายุของต้นสนซีคัวยา (Sequoia) มนุษย์หลายชั่วคนจะเกิดและดับสูญไป ต้นไม้ ขนาดมโหฬารที่มีถิ่นในแคลิฟอร์เนียนี้อาจมีอายุได้หลายพันปี แต่แม้ช่วงเวลาดังกล่าวจะดูยาวนาน ช่างภาพ เบท มูน (Beth Moon) ได้เขียนลงในหนังสือ Ancient Skies, Ancient Trees ของเธอว่า “ช่วงเวลานี้เป็นเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น เมื่อเทียบกับอายุของดวงดาราบนฟากฟ้า”
มูน ผู้มีพื้นหลังด้านวิจิตรศิลป์และฝึกถ่ายภาพด้วยตนเอง ถ่ายภาพ ต้นไม้ มาร่วม 20 ปีด้วยกล้องฟิล์ม และล้างภาพด้วยวิธี Platinum Palladium Printing ซึ่งเป็นวิธีอัดภาพแบบขาวดำในสมัยศตวรรษที่ 19 โดยเธอใช้เวลากว่าสิบปีตระเวนไปทั่วโลกเพื่อถ่ายภาพต้นไม้ตั้งแต่ช่วงพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก
แต่หลังจากนั้น เธอพบงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการเติบโตของต้นไม้และรังสีคอสมิกในกาแลกซี “ตอนที่ฉันคิดถึงมัน” เธอกล่าว “มันดูมีเหตุผลมาก คุณรู้อยู่แล้วว่าดวงอาทิตย์คือดาวดวงหนึ่ง เพราะฉะนั้น ทำไมมันถึงไม่มีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นระหว่างแสงดาวในตอนกลางคืน กับแสงอาทิตย์ในตอนกลางวันล่ะ”
สิ่งนี้เป็นจุดกำเนิดของโปรเจกต์ Diamond Nights ของเธอ ตลอดสามปีถัดมา มูนเดินทางไปทั่วสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศ และถ่ายภาพต้นเบาบับ สนจูนิเปอร์ (Juniper) สนซีคัวยา และต้นไม้อายุเก่าแก่อื่นๆ ภายใต้ท้องฟ้าที่สุกสกาวไปด้วยดวงดาว โดยมีจุดมุ่งหมายง่ายๆ อย่างการเดินทางไปยังสถานที่ที่ทั้งมืดที่สุดและมีต้นไม้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เพื่อถ่ายภาพอันสวยงาม
แต่แน่นอนว่าการลงมือทำย่อมไม่ง่ายเท่าการวางแผน
เธอกล่าวว่า อย่างแรกสุด สถานที่หลายแห่งมักมีเพียงสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ระหว่างต้นไม้และท้องฟ้าที่มืดมิด และการเดินทางไปยังสถานที่ซึ่งมีครบทั้งสองสิ่งมักเป็นสิ่งที่ท้าทาย นั่นทำให้มูนต้องจ้างให้ผู้นำทางท้องถิ่นช่วยเธอตามหาต้นไม้ที่เธอต้องการถ่าย ซึ่งบางครั้งพวกมันก็อยู่ในสถานที่ซึ่งห่างไกลเป็นอย่างมาก “เราเดินทางตลอดทั้งวันโดยไม่เจอผู้คน ป้ายบอกทาง หรือแม้แต่ถนนสักเส้น” เธอกล่าว ในช่วงเวลาเหล่านี้ เธอจะปักหลักอยู่ใต้ต้นไม้ กินปลากระป๋องเพื่อคลายความหิว และอดทนรอคอยให้เมฆลอยเข้าและออกจากเฟรมกล้อง
สำหรับโปรเจกต์ Diamond Nights มูนเปลี่ยนจากถ่ายภาพด้วยฟิล์มมาเป็นดิจิทัล ซึ่งเธอกล่าวว่าเป็นเทคนิคที่มีความไวแสง (Light Sensitive) มากกว่า และทำให้ภาพคมชัดอย่างไม่น่าเชื่อ เธอวางแผนถ่ายภาพทั้งหมดในคืนที่ไม่มีแสงจันทร์ เพื่อให้ต้นไม้แต่ละต้นได้รับแสงจากดวงดาวเป็นหลัก และอาจใช้แสงเพิ่มจากแหล่งอื่น เช่นแสงไฟฉาย หากจำเป็น
มูนใช้ความเร็วชัตเตอร์ต่ำเนื่องจากเธอถ่ายภาพในที่มืด ซึ่งหมายความว่าเธอต้องเตรียมพร้อมสำหรับลม และหยุดถ่ายภาพเมื่อมีลมกรรโชก “การเปิดรูรับแสงนาน 30 วินาทีทำให้คุณไม่ต้องการให้กิ่งไม้ขยับ” เธอกล่าว “มันทำให้ฉันมีเวลาว่างมากโข”
แม้มูนไม่ไช่นักวิทยาศาสตร์ แต่เธอเริ่มสนใจในวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับต้นไม้และมลพิษทางแสง เธอกล่าวว่าที่จริงแล้ว สถานที่ที่ “เถื่อน” ที่สุดบางแห่งที่เธอเคยค้นหากลับปนเปื้อนเนื่องจากแสงเทียมของตึกรามบ้านช่องและเมืองที่อยู้ใกล้ๆ “มีคำกล่าวว่าดวงดาวกำหนดชะตากรรมของมนุษย์” เธอเขียน “ชะตากรรมของเราจะมืดมนมาก” หากเรามองไม่เห็นพวกมันอีกต่อไป