เรื่องราวที่มีพลัง…ดังกว่าภาพสวยๆหลายเท่า บทบันทึกจาก Nat Geo Storytellers Collective Workshop 2025

บทบันทึกจาก Nat Geo Storytellers Collective Workshop 2025 ที่เพิ่งจุดขึ้นไปเมื่อวันที่ 3-4 ตุลาคม 2568

เรื่องราวที่มีพลังดังกว่าภาพสวยๆหลายเท่า

“Create a powerful story, not a catalogue of beautiful photos”

ข้างต้นเป็นประโยคที่ผมชอบมากที่สุดจาก Nat Geo Storytellers Collective Workshop 2025 และผมคงต้องขอขอบคุณ National Geographic Thailand ที่ให้โอกาสมาเข้าร่วมเมื่อวันที่ 3-4 ตุลาคม 68 ที่ผ่านมาที่ งาน SUSTAINABILITY EXPO 2025 ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

เวิร์คชอปครั้งนี้ ทีมผู้จัดได้แบ่งเนื้อหาออกเป็น 2 เรื่อง ที่อยากมาแชร์ให้ทุกคนฟังคือ Masterclass ในเรื่อง Community Storytelling และ Mapping for impact 

เริ่มที่เรื่องแรก Community Storytelling คลาสแรกสอนโดย Claudi Carreras ที่มีบทบาทเป็นทั้ง Producer, Photographer, Researcher, Curator ครบจบในคนเดียว ผลงานของ Claudi จะเน้นสะท้อนสังคม ที่นำไปสู่การแลกเปลี่ยนความคิดหรือแสดงความเห็นต่อประเด็นสังคม มีหนึ่งคำถามที่ผมชอบในคลาสมากเลย นั่นคือ

How can we talk the problem creatively?
(เราจะพูดถึงปัญหาอย่างสร้างสรรค์ได้อย่างไร)

นั่นเพราะพอพูดถึงปัญหา คนส่วนใหญ่ก็มักจะนำเสนอออกมาในแง่ลบ แต่วิธีคิดในการเล่าเรื่องของ Claudi นั้นไม่ใช่การเล่าปัญหาตรงๆ หรือยกภาพน่ากลัวๆมาขู่คนดู แต่เค้าเลือกใช้สื่อในการเล่าเรื่องแบบสร้างสรรค์กว่านั้น โดยมีตัวอย่างที่ผมชอบคือ งาน Portrait of Latin America เค้าเลือกถ่ายภาพบุคคลทั้งคนรวยและคนจนในประเทศ ให้นำเสนอออกมาอย่างเท่าเทียมกัน ไม่เลือกปฏิบัติว่าจะต้องมีใครเหนือกว่าหรือใครจะมีสิทธิ์ดูดีกว่า โดยใช้พื้นที่สาธารณระในการวางภาพอย่างเท่ากัน เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงความเท่าเทียมในสังคม

Claudi Carreras ที่มีบทบาทเป็นทั้ง Producer, Photographer, Researcher, Curator

เคล็ดลับการจะเล่าเรื่องได้อย่างน่าสนใจ Claudi ได้หยิบยกว่าเราต้องถอยกลับมาดูก่อนว่าเราจะใช้ Method (วิธีการ) และ Media (สื่อ) อะไรในการเล่าเรื่อง เพราะโลกของการเล่าเรื่องมันไม่ได้จำกัดแค่ภาพถ่าย แต่ยังมีวิธีอีกเยอะมากๆ (กลิ่น เสียง รูปวาด) ในการสร้างการรับรู้ให้ผู้ชมนอกจากทางตา คือทางจมูก หู ที่นำมาสู้อีกคำถามที่เค้าถามอย่างสร้างสรรค์อีกแล้ว เช่น คำถามที่ว่า

Do you know how is the smell of Amazon?
(รู้มั้ยว่าป่าอเมซอนกลิ่นเป็นยังไง)

ทั้งนี้นอกจากวิธีการคิดประเด็นแล้ว Claudi ก็ยังได้สอนการ edit ภาพถ่ายให้ออกมามีพลัง โดยใช้หลักการ 9 ช่อง เค้าแนะนำให้เริ่มจากรูปตรงกลางที่เป็นหัวใจของงานก่อนจากนั้นให้

ต่อส่วนบน ล่าง ซ้าย ขวา เพื่อประกอบสร้างเรื่องราวให้มีหลากหลายมิติ จากนั้นให้เสริมด้วยด้าน ซ้ายบน ขวาบน ซ้ายล่าง ขวาล่าง ให้เรื่องสมบูรณ์แบบถ้าลากเส้นแบบเล่น X O ไม่ว่าจากทิศทางไหนรูปก็ควรจะเล่าเรื่องได้อย่างน่าสนใจ

วิธีการคิดของเค้ามันช่วยเปิดโลกของการเล่าเรื่องมากๆว่าภาพถ่ายเป็นเพียงส่วนหนึ่งของเรื่องที่เราต้องการพูด แต่สิ่งที่สำคัญที่นักเล่าเรื่องจะต้องไม่ลืมเลยคือจุดประสงค์ของงานที่เราทำอยากให้นำไปสู่อะไร แล้ววิธีการเล่าเรื่องแบบไหนจะทำให้ผู้ชมได้รับความรู้สึกนั้นได้บ้าง นั่นควรเป็นสิ่งที่นักเล่าเรื่องต้องคำนึงถึงเสมอเพราะการเล่าเรื่องไม่มีสูตรสำเร็จ แต่จะต้องไม่หยุดทดลองวิธีใหม่ๆเพื่อเรียนรู้ในการหาวิธีการเล่าที่ดีที่สุดสำหรับเราและผู้ชม

พอถึงเรื่องที่สอง กับหัวข้อ Mapping for impact คลาสนี้สอนโดย Alex Tait และ Martin Gamache ที่มีบทบาทเป็น Cartographer (นักเขียนแผนที่) ให้กับ National Geographic Society มาแล้วกว่า 20 ปี ทั้งคู่บอกตรงกันว่า Maps are the language of geography ซึ่งนั่นหมายความแบบตรงตัวว่า แผนที่ คือภาษาที่ใช้เล่าเรื่องภูมิศาสตร์

ซึ่ง Martin ที่เป็นหัวหน้านักเขียนแผนย้ำว่า Nat Geo มีเป้าหมายในการใช้แผนที่ช่วยผลักดันให้ทุกคน take action กับปัญหาสังคม เพราะแผนที่ไม่ได้มีรูปแบบเดียวแต่ยังมีรูปแบบอื่นๆ อีกเยอะมากที่สามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นได้ ขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ของแต่ละชิ้นงาน พร้อมยกตัวอย่างแผนที่ประชากรเสือที่กำลังหดตัวลงทั่วโลกอย่างน่าใจหายขึ้นมาให้ผู้เข้าร่วมดู และถามว่าดูแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง

คลาส Mapping for impact คลาสนี้สอนโดย Alex Tait และ Martin Gamache ที่มีบทบาทเป็น Cartographer (นักเขียนแผนที่) ให้กับ National Geographic Society มาแล้วกว่า 20 ปี


ในคลาสนี้ทั้งคู่จึงมาพร้อมคำถามยาว 2 หน้ากระดาษ A4 เพื่อให้ผู้เข้าร่วมได้ตอบตัวเองให้ได้ก่อนที่จะเริ่มออกแบบแผนที่ เป็นการวางแผนก่อนที่จะเริ่มทำงาน โดยมีคำถามหลักๆจะประกอบไปด้วย

What is your topic or theme?
(แผนที่ของเรากำลังเล่าเรื่องอะไร?)


What is the extent of the main area you are mapping?
(ขอบเขตที่เราจะสำรวจ กว้างแค่ไหน?)


Who is your audience?
(เรากำลังพูดกับใคร — ใครคือผู้ชมของเรา?)

จากคำถามชุดนี้ ผมเลยได้ทดลองทำแผนที่จากประเด็นที่ตัวเองสนใจคือเรื่องการอพยพของคนจีนตลอด 200 ปีที่ผ่านมาในทวีป East Asia ที่ต้องการสื่อสารไปยังกลุ่มคนเชื้อสายจีนในทุกๆเจเนอเรชั่นและทุกๆประเทศมัดรวมอยู่ในแผ่นเดียว โชว์ให้เห็นถึงเส้นทางการอพยพทั้งทางน้ำ ทางบก และ ทางอากาศ รวมถึงโชว์จำนวนประชากรคนเชื้อสายจีนและชุมชนจีนในแต่ละประเทศให้เห็นด้วย

ผู้เขียนขอถ่ายรูปกับนักทำแผนที่ระดับโลก


แต่พอได้วาดออกมาจริงๆมันติดอยู่ที่ว่าข้อมูลที่อยากจะใส่ลงไปในแผนที่นั้นเยอะเกิน Alex เลยแนะนำว่าทำไมไม่ลองทำเป็นรูปแบบ animation แล้วแบ่งการอพยพเป็นระลอกให้เห็นถึงเส้นทางที่ต่างออกไปหล่ะ เพื่อที่จะให้เห็นเส้นทางที่ชัดขึ้น จากนั้นค่อยสรุปจำนวนคนและชุมชนชื้อสายจีนหลังจากครบ 200 ปีในแต่ละประเทศออกมาให้เห้นถึงผลลัพธ์หของการอพยพ

จากการทดลองวาดแผนที่และตอบคำถามออกมาใน Workshop นี้ เลยทำให้ผมเริ่มคิดไอเดียการสร้างกลุ่มนักเล่าเรื่องเกี่ยวกับ ความเป็นไทยจีน และขยายต่อออกไปอีกยังประเทศในเอเชีย เพื่อบันทึกเรื่องราวตั้งแต่ในอดีตและต่อไปยังในอนาคตว่าทำไมต้องอพยพ แล้วการอพยพทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง มีเรื่องราวไหนที่เราน่าจะหยิบมาเล่าให้ฟังกัน

สำหรับผมเวิร์คชอปของ National Geographic เรียกได้ว่าทั้งสนุก และได้เปิดมุมมองการเล่าเรื่องของผมให้ลึกซึ้งมากขึ้นเลย และถ้าใครอ่านมีถึงตรงนี้แล้ว พอรู้จักหรืออยากแนะนำนักเล่าเรื่องเชื้อสายจีนสามารถแนะนำเข้ามาได้เลยนะครับ ไม่จำเป็นจะต้องเป็นช่างภาพ ขอแค่มีเรื่องที่อยากเล่าแล้วเกี่ยวกับความเป็นจีนในเอเชีย มาร่วมกันสร้างเรื่องราวที่มีพลังกันครับ

เรื่อง : ปิติวัฒน์ อังวัฒนพานิช ช่างภาพสารคดี

โครงการ 10 ภาพเล่าเรื่อง season 9

ภาพ : กองบรรณาธิการ National Geographic ฉบับภาษาไทย


อ่านเพิ่มเติม : การเดินทางของสายน้ำและดวงดาว บทสรุปเวทีเล่าเรื่องแบบ National Geographic ใน Sustainability Expo 2025

© COPYRIGHT 2025 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.