ไฟป่าสร้างบาดแผลและเผาผลาญพื้นที่แถบตะวันตกของสหรัฐอเมริกามาเนิ่นนาน แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์ผู้ศึกษาเหตุการณ์สภาพภูมิอากาศสุดขั้วอย่างแดเนียล สเวน จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตลอสแอนเจลิส หรือยูซีแอลเอ ไฟป่าในปัจจุบันแตกต่างไปจากเดิมมาก มันเคลื่อนที่และขยายตัวด้วยอานุภาพทำลายล้างรุนแรงกว่าที่เคยเป็นมา
ดูตัวอย่างอภิมหาไฟป่าที่เรียกว่า “กิกะไฟร์” (gigafire) ทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนียเมื่อปี 2020 ซึ่งเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การบันทึกไฟป่าสมัยใหม่ของรัฐที่ไฟเผาผลาญพื้นที่มากกว่า 4,000 ตารางกิโลเมตร หรือราว 2.5 ล้านไร่ แม้ไฟป่าขนาดนี้จะเคยเกิดขึ้นมาแล้ว แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่การทำลายล้างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเท่านี้มาก่อน “ย้อนหลังไปสองร้อยปีก่อน เราอาจเห็นไฟป่าขนาดนี้เป็นครั้งคราวในแคลิฟอร์เนีย” สเวนกล่าวและเสริมว่า “แต่ไฟไม่ได้เผาผลาญพื้นที่ 4,000 ตารางกิโลเมตรภายในไม่กี่วัน แต่น่าจะต้องใช้เวลาหลายเดือนครับ”
เมื่อไม่นานมานี้ สเวนติดตามไฟป่าบริดจ์ (Bridge Fire) ซึ่งเผาผลาญพื้นที่ตอนเหนือของลอสแอนเจลิสเมื่อปี 2024 โดยใช้ภาพถ่ายความร้อนจากดาวเทียม บนหน้าจอ เขาเห็นจุดสีดำบนแผนที่ซึ่งแสดงพื้นที่ที่ไฟไหม้ด้วยอุณหภูมิสูงกว่าหลายร้อยองศาเซลเซียส อุณหภูมิระดับนี้ร้อนจน “คุณพบได้ในภูเขาไฟระเบิดหรือไฟป่าครับ”
ภายในเวลาเพียงวันที่สอง ไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว ครอบคลุมพื้นที่ราว 180 ตารางกิโลเมตร อัตราการไหม้เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก มันเกิดขึ้นกับไฟไหม้หญ้าที่ลามไปทั่วท้องทุ่งบนที่ราบ แต่นี่เป็นไฟป่าที่ไหม้บนเทือกเขาสูงชันที่สุดเทือกหนึ่งในทวีปอเมริกาเหนือ
นักวิจัยติดตามไฟป่าด้วยความแม่นยำโดยใช้ดาวเทียมมานานกว่า 40 ปี ซึ่งเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ในทางธรณีวิทยา แต่แนวโน้มที่พวกเขาเห็นนั้นชัดเจน กล่าวคือไฟป่ามีความร้อนสูงกว่า เผาไหม้เร็วกว่า และทำลายทรัพย์สินมากกว่า “ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เกือบทุกปีในแคลิฟอร์เนียมีเมืองอย่างน้อยหนึ่งเมือง หรือพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมือง ถูกไฟป่าทำลายล้างจนหมดสิ้น ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนครับ” สเวนกล่าว
เมื่อแมตต์ แบล็ก นักสำรวจเนชั่นแนล จีโอกราฟิก และช่างภาพ เห็นการเปลี่ยนแปลงที่ผิดธรรมดาเหล่านี้เกิดขึ้นใกล้บ้านของเขาในเทือกเขาเซียร์ราเนวาดา รัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นเทือกเขาที่มีความยาวกว่า 640 กิโลเมตร ทอดตัวไปตามแนวยาวของรัฐ เขาจึงตอบรับความท้าทายในการถ่ายภาพผลพวงของไฟป่า แต่ในฐานะคนที่ถ่ายภาพขาวดำ เขากังวลเกี่ยวกับการเปรียบเทียบที่เห็นชัดเจน
ตลอดศตวรรษที่ผ่านมา ไม่มีใครถ่ายภาพขาวดำภูมิทัศน์ของเซียร์ราเนวาดาได้โดดเด่นเท่าแอนเซล แอดัมส์ อีกแล้ว ผลงานของเขาเป็นส่วนสำคัญในขบวนการอนุรักษ์สมัยใหม่ โดยสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้คนหลายรุ่นร่วมแรงร่วมใจกันปกป้องพื้นที่ธรรมชาติอันล้ำค่า แต่การถ่ายภาพภูมิทัศน์ด้วยวิธีที่ชวนให้นึกถึงแอดัมส์ “ไม่ได้ให้ความรู้สึกว่าตรงกับช่วง เวลานั้น” แบล็กกล่าว ภาพถ่ายของแอดัมส์ถ่ายทอดความงามไร้ที่ติของสถานที่ซึ่งจะงดงามตลอดไป สถานที่เหล่านั้น จะยังคงบริสุทธิ์อยู่ได้หากเราปกป้องมันไว้ แต่หายนะจากสภาพภูมิอากาศได้ทำลายภาพในอุดมคตินั้นลงแล้ว
ดังนั้น แบล็กจึงหันมาใช้เครื่องมือที่เหวกแนว นั่นคือกล้องถ่ายภาพความร้อนสำหรับอุตสาหกรรม ซึ่งโดยทั่วไปแล้วใช้ตรวจสอบเครื่องหลอมโลหะ ในขณะที่กล้องถ่ายภาพทั่วไปใช้แสงสร้างภาพ กล้องถ่ายภาพความร้อนใช้ความร้อน วัตถุที่ร้อนที่สุดในภาพถ่ายความร้อนมักปรากฏเป็นสีขาวสว่าง วัตถุที่เย็นที่สุดจะปรากฏเป็นสีดำสนิท
นอกเหนือจากเลนส์และเซ็นเซอร์เฉพาะแล้ว กล้องที่ถือด้วยมือของแบล็กยังค่อนข้างเหมือนกล้องทั่วไป แต่เมื่อใช้ถ่ายโลกธรรมชาติ ภาพความร้อนที่ได้กลับสวยเกินคาด แต่ก็แฝงความรู้สึกน่าพรั่นพรึงคล้ายลางร้ายด้วยเช่นกัน กล่าวคือเป็นเครื่องเตือนใจอยู่เสมอถึงสิ่งที่ทำให้เกิดภาพเช่นนั้น ชั้นบรรยากาศของเราเก็บกักความร้อนไว้มากกว่าในอดีต และความร้อนบางส่วนอาจแผ่ออกมาในแต่ละภาพ “ภาพถูกสร้างขึ้นจากความร้อนที่มาจากที่อื่นครับ มาจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในท้องฟ้าด้านบน มาจากท่อไอเสียในเมืองข้างล่าง” แบล็กกล่าว
การพกกล้องถ่ายภาพความร้อนเดินไปในป่าที่ถูกไฟเผาผลาญให้ความรู้สึกเหมือนได้ค้นพบความจริง “สิ่งที่ผมรู้สึกทึ่งคือภาพที่ได้จากต้นไม้ที่ตายแล้ว” เขากล่าว ลำต้นไหม้เกรียมสีดำกักเก็บความร้อนไว้ ดังนั้น “เมื่อคุณมองผ่านกล้องถ่ายภาพความร้อน พวกมันจะกลายเป็นจุดที่สว่างที่สุดในภูมิทัศน์” ต้นไม้กลับมาดูเหมือนมีชีวิตอีกครั้ง แต่เป็นชีวิตที่เหมือนวิญญาณ เป็นร่างเรืองๆ ท่ามกลางเศษซากความเสียหาย
เรื่อง ไบรอัน เรสนิก
ภาพถ่าย แมตต์ แบล็ก
แปล ปณต ไกรโรจนานันท์