ย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน มนุษย์เราวิวัฒนาการให้สามารถย่อยนมวัวได้ เมื่อ 150 ปีที่แล้ว ค่าเฉลี่ยความสูงของมนุษย์สูงขึ้นราว 10 เซนติเมตร และแค่ 65 ปีที่ผ่านมา ค่าเฉลี่ยอายุขัยของมนุษย์เราเพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 20 ปี เพราะมนุษย์ไม่ต่างจากสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่กระบวนการวิวัฒนาการยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดนิ่ง ทว่าในอีก 1,000 ปีข้างหน้าล่ะ มนุษย์จะมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไร?
นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ถึงอนาคตของมนุษยชาติไว้ว่า ในช่วงเวลานั้นเทคโนโลยีจะพัฒนาให้สมองของคอมพิวเตอร์สามารถคำนวณและทำงานได้รวดเร็วเทียบเท่ากับความสามารถของสมองมนุษย์ นั่นจะทำให้มนุษย์ในอนาคตนำเอานาโนโรบอท หรือหุ่นยนต์ขนาดจิ๋วเข้ามาช่วยในการทำงานของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการต่อต้านเซลล์มะเร็ง ช่วยพัฒนาระบบภูมิคุ้มกัน หรือซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ นอกจากนี้ในโลกอนาคต นาโนโรบอทขนาดเล็กจิ๋วยังสามารถรวมตัวกันเป็นสิ่งปลูกสร้างอย่างบ้านทั้งหลังได้อีกด้วย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าของการก่อสร้างไปเลยทีเดียว
ในอีกพันปีข้างหน้า ภาษาที่มีมากมายหลากหลายบนโลกจะเหลือเพียงไม่กี่ภาษา และด้วยอุณหภูมิของโลกและปริมาณรังสียูวีที่สูงขึ้น มนุษย์เราจะวิวัฒนาการสีผิวให้เข้มขึ้นเพื่อปกป้องเราจากรังสียูวี ทั้งร่างกายของเราเองก็จะสูงและผอมมากขึ้นด้วย เพื่อช่วยในการระบายความร้อนได้ง่ายกว่า นอกจากนี้การกลายพันธุ์ของยีนแบบใหม่ๆ จะปรากฏขึ้น ในที่นี้อาจหมายถึงอีกพันปีข้างหน้าเราอาจจะมีมนุษย์ที่มีสีของม่านตาแบบใหม่ หรือสีผมใหม่ๆ หรือความสามารถเฉพาะตัว เช่นในปัจจุบันที่มีรายงานพบชายคนหนึ่งซึ่งกระเพาะของเขาสามารถย่อยสสารได้ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นไม้ แก้ว หรือเหล็ก แต่อย่าเพิ่งคิดไปไกลถึงการกลายพันธุ์แบบที่เราเห็นในหนังเช่น ดวงตาเลเซอร์อะไรแบบนั้น เพราะมันคงยังไม่เกิดขึ้น
อีกหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจคือเทคโนโลยีทางพันธุกรรมที่เจริญก้าวหน้ามากขึ้น สิ่งนี้จะช่วยให้นักวิทยาศาสตร์สามารถคัดเลือกยีนที่ดีที่สุดออกมาได้ ซึ่งจะทำให้พ่อแม่ในอนาคตให้กำเนิดลูกน้อยที่แข็งแรง ฉลาด และไม่มีแนวโน้มที่จะเจ็บป่วย รวมไปถึงหน้าตาที่หล่อสวยด้วยเช่นกัน
มนุษย์ในอีกล้านปีข้างหน้า
แม้ในอีกล้านปีข้างหน้า ทวีปที่เราคุ้นชินจะยังคงมีหน้าตาเช่นเดิม ดวงอาทิตย์ยังคงส่องแสง แต่รายงานจาก Brian Greene ศาสตราจารย์ด้านทฤษฎีฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในนครนิวยอร์กชี้ว่า มนุษย์เราจะต่างไปจากเดิมจนมนุษย์ในปัจจุบันจำมนุษย์ในอนาคตไม่ได้เลยทีเดียว โดยหนทางที่เป็นไปได้ที่สุดก็คือการผนวกชีวิตเข้ากับเครื่องจักรกล “เราอาจเห็นสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่ ที่เป็นลูกผสมระหว่างสิ่งมีชีวิตกับเครื่องจักร” เขากล่าว
และในมุมมองของเขา เมื่อถึงเวลานั้นมนุษย์น่าจะสามารถไขปริศนาเกี่ยวกับกฎฟิสิกส์ได้แล้ว และนั่นจะทำให้เกิดคำถามใหม่ๆ ตามมา “ผมว่าในอนาคตเราคงเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงสสารและพลังงาน รวมไปถึงแรงโน้มถ่วงและเอกภพ” Greene ยกตัวอย่างในสมัยของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ที่คลื่นความโน้มถ่วงยังคงเป็นที่ถกเถียง แต่ในปัจจุบันเราค้นพบกระทั่งทฤษฎีการกำเนิดจักรวาลแล้ว หรือในอนาคตนักวิทยาศาสตร์อาจพบคำตอบใหม่ๆ แทนที่องค์ความรู้แบบเดิมๆ เช่นที่ Johannes Kepler นักดาราศาสตร์ชาวเยอรมันที่เกิดในปี 1571 และเสียชีวิตในปี 1630 ตัวเขาใช้เวลาหลายสิบปีในการหาคำตอบว่าทำไมโลกจึงอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์ราว 150 ล้านกิโลเมตร ซึ่งในปัจจุบันเราพบคำตอบแล้วว่ามันเป็นเพียง “ความบังเอิญ”
“อีกหนึ่งล้านปีข้างหน้ามนุษย์จะเป็นยังไง นี่มันนามธรรมมากเลยครับ” Charles Soule นักเขียนการ์ตูนมาร์เวลและการ์ตูนวิทยาศาสตร์เรื่อง “Letter 44” กล่าว ผลงานของเขาเกี่ยวข้องกับภารกิจการตามหาสิ่งมีชีวิตต่างดาวในอนาคต ซึ่งกระบวนการเขียนการ์ตูนเองนั้นก็ไม่ต่างจากการคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ในอนาคต “ไอเดียที่เกิดขึ้นก็มาจากสิ่งที่เกิดในโลกครับ” Soule หมายความถึง ฮัลค์ ซุปเปอร์ฮีโร่ตัวเขียวใหญ่ยักษ์ที่ได้รับผลกระทบจากกัมมันตรังสี หรืออย่างเอ็กซ์เมน กลุ่มมนุษย์กลายพันธุ์
“โลกในอีกหนึ่งล้านปีข้างหน้ามันน่าสนใจมากครับ” Greene กล่าวเสริม “สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือไม่มีใครมีโอกาสได้อยู่เห็น”
ไอเดียอื่นๆ เกี่ยวกับอนาคต
หากในอนาคตมนุษย์สามารถย้ายไปตั้งถิ่นฐานบนดาวอังคารได้จริง พวกเขาจะตัวสูงขึ้นกว่ามนุษย์บนโลกมาก เนื่องจากบนดาวเคราะห์สีแดงนั้นมีแรงโน้มถ่วงเพียง 38% เท่านั้นเมื่อเทียบกับบนโลก ทว่ายังมีไอเดียอื่นๆ อีกที่ทำนายถึงอนาคตของมนุษยชาติ
หัวใหญ่ตาโต – ดอกเตอร์ Alan Kwan ผู้ศึกษาเกี่ยวกับการคำนวณจีโนมิกส์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับลำดับดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิต จากมหาวิทยาลัยวอชิงตันเชื่อว่า มนุษย์ในอนาคตจะมีสมองที่มีขนาดใหญ่กว่ามนุษย์ในปัจจุบัน รวมไปถึงดวงตาที่มีขนาดใหญ่ขึ้นด้วยเช่นกัน อันเนื่องมาจากการเดินทางท่องอวกาศ ส่งผลให้เราต้องวิวัฒนาการดวงตาให้รับแสงได้มากขึ้น เมื่อต้องใช้ชีวิตในทีที่มีแสงน้อย
จะงอยปาก – ดอกเตอร์ Gareth Fraser จากมหาวิทยาลัย Sheffield เชื่อว่าในอนาคตมนุษย์จะมีจะงอยปากแทนฟัน เนื่องจากจะงอยปากมีประสิทธิภาพและมีประโยชน์ต่อการใช้ชีวิตมากกว่าฟัน ทั้งยังยากต่อการแตกหัก หรือหลุดร่วงยามแก่ชราอีกด้วย รวมไปถึงอาหารสมัยใหม่ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาแรงกัดหรือบดเคี้ยว Fraser เชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้จะเริ่มส่งผลให้ฟันค่อยๆ หมดความสำคัญไป
สัตว์ประหลาด – การคาดการณ์ที่น่าตกใจที่สุดมาจาก Douglas Dixon นักสัตววิทยา โดยระบุว่ากระบวนการทางพันธุวิศวกรรม และการเดินทางในอวกาศจะเปลี่ยนวิวัฒนาการของมนุษย์ไป โดยตั้งข้อสันนิษฐานว่าในอนาคตหากอารยธรรมล่มสลายลง และมนุษย์ที่เหลือต้องหนีไปอาศัยอยู่ในอวกาศ หากพวกเขากลับมายังโลกในอีก 5 ล้านปีต่อมา พวกเขาจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร? ซึ่งภาพจินตนาการของเขาถูกถ่ายทอดลงในหนังสือ Man after Man – An Anthropology of the Future by Douglas Dixon และไม่ต่างจากสัตว์ประหลาดในหนังสยองขวัญ
อ่านเพิ่มเติม
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://www.sciencealert.com/watch-this-is-what-humans-will-look-like-in-1-000-years
https://www.livescience.com/59115-year-million-series-explores-future-of-humanity.html
http://www.messagetoeagle.com/will-humans-look-like-future-possible-scenarios/