ฉากหนึ่งในภาพยนตร์ตลกชิ้นเอกของผู้กำกับ สแตนลีย์ คูบริก เรื่อง ดร. สเตรนจ์เลิฟ (Dr.Strangelove) เป็นตอนที่แจ็ก ดี. ริปเปอร์ นายพลแตกแถวแห่งกองทัพสหรัฐฯ ผู้สั่งถล่มสหภาพโซเวียตด้วยระเบิดนิวเคลียร์เปิดเผย มุมมองวิตกจริตของเขาเกี่ยวกับแผนสมรู้ร่วมคิดระดับโลก และอธิบายว่าทำไมเขาจึง “ดื่มแต่น้ำกลั่นหรือน้ำฝนและเหล้ากลั่นจากธัญพืชเท่านั้น” ให้แก่ไลโอเนล แมนเดรก นาวาอากาศเอกจากกองทัพอากาศอังกฤษ ผู้กำลังกระวนกระวายสุดขีด
ริปเปอร์: นายรู้ไหมว่า การเติมฟลูออไรด์ในนํ้าคือแผนการร้ายที่สุดและอันตรายที่สุดของพวกคอมมิวนิสต์ที่เราต้องเผชิญ ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายเมื่อปี 1964 ซึ่งในตอนนั้นผลดีของการเติมฟลูออไรด์ในนํ้าประปาเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปแล้ว และทฤษฎีสมรู้ร่วมคิดว่าด้วยการเติมฟลูออไรด์ก็เหมาะจะเป็นเรื่องตลก
ทว่า 50 ปีต่อมา การเติมฟลูออไรด์ก็ยังก่อให้เกิดความกลัวและหวาดระแวงได้ เมื่อปี 2013 ชาวเมืองพอร์ตแลนด์ รัฐออริกอน ซึ่งเป็นเมืองใหญ่หนึ่งในไม่กี่เมืองของสหรัฐฯ ที่ยังไม่เติมฟลูออไรด์ลงในนํ้าประปา พากันขัดขวางแผนเติมฟลูออไรด์ของเทศบาลเมืองโดยอ้างว่า ฟลูออไรด์อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ความจริงฟลูออไรด์เป็นแร่ธาตุธรรมชาติ หากผสมอย่างเจือจางในนํ้าประปาจะช่วยทำให้เคลือบฟันแข็งแรงและป้องกันฟันผุ นับเป็นวิธีเสริมสร้างสุขภาพฟันที่ประหยัดและปลอดภัยสำหรับทุกคน เรื่องนี้เป็นสิ่งที่วงการวิทยาศาสตร์และวงการแพทย์เห็นพ้องต้องกัน
ชาวพอร์ตแลนด์บางคนตอบโต้แนวคิดนี้ด้วยคำพูดทำนองเดียวกับนักต่อต้านการเติมฟลูออไรด์ทั่วโลกว่า เราไม่เชื่อคุณ
เราอยู่ในยุคที่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่เรื่องความปลอดภัยของการเติมฟลูออไรด์ การฉีดวัคซีนและความจริงของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเผชิญการต่อต้านอย่างเป็นระบบและมักดุเดือดเผ็ดร้อน ผู้คลางแคลงสงสัยใช้แหล่งข้อมูลของตนเองและตีความงานวิจัยต่างๆ ด้วยมติหรือมุมมองของตน พวกเขาประกาศสงครามกับสิ่งที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญเห็นพ้องต้องกัน และปัจจุบัน กระแสความแคลงสงสัยนี้ก็เป็นเรื่องฮ็อตฮิตทั้งในหนังสือ บทความ และการประชุมวิชาการต่างๆ ถึงขนาดที่ว่าความกังขาต่อวิทยาศาสตร์กลายเป็นเรื่องอินเทรนด์ร่วมสมัยในภาพยนตร์เรื่อง อินเตอร์สเตลลาร์ (Interstellar: ทะยานดาวกู้โลก) ที่เข้าฉายช่วงปลายปี 2014 สหรัฐฯ ในโลก อนาคตเสื่อมถอยจนนาซาต้องกลายเป็นองค์กรหลบๆ ซ่อนๆ และตำราเรียนบอกว่า การลงจอดบนดวงจันทร์ของยานอะพอลโลเป็นเรื่องที่กุขึ้นมาทั้งหมด
หากจะว่าไปแล้ว ความกังขาเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแทรกซึมอยู่ในชีวิตของเรามากกว่ายุคไหนๆ สำหรับพวกเราหลายคน โลกสมัยใหม่นี้ช่างน่าอัศจรรย์ สะดวกสบาย และให้อะไรมากมายเหลือเกิน แต่ขณะเดียวกันก็ซับซ้อนขึ้นและบางทียังน่ากลัวอยู่ลึกๆ ทุกวันนี้ เราเผชิญความเสี่ยงหลายอย่างที่ไม่สามารถวิเคราะห์เองได้ง่ายๆ
ตัวอย่างเช่น เราได้รับคำขอให้ยอมรับว่า อาหารที่ทำจากหรือมีส่วนผสมของพืชและสัตว์ดัดแปรพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) สามารถกินได้อย่างปลอดภัย เพราะไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้ว่าไม่ปลอดภัย และไม่มีเหตุผลที่ควรเชื่อว่า การแปลงยีนอย่างเฉพาะเจาะจงในห้องปฏิบัติการจะอันตรายกว่าการแปลงยีนยกชุดในการปรับปรุงพันธุ์แบบดั้งเดิม แต่สำหรับบางคน แนวคิดว่าด้วยการถ่ายโอนยีนข้ามชนิดพันธุ์มาพร้อมกับภาพเหล่านักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องที่ไม่รู้จักขอบเขต หรือปราศจากความยับยั้งชั่งใจ
โลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยอันตรายทั้งจริงและในจินตนาการ และการแยกแยะของจริงจากเรื่องเพ้อฝันก็ไม่ง่าย เราควรกลัวว่า เชื้อไวรัสอีโบลาซึ่งติดต่อผ่านการสัมผัสโดยตรงกับสารคัดหลั่งเท่านั้น จะกลายพันธุ์ไปเป็นโรคระบาดที่ติดต่อทางอากาศหรือทางเดินหายใจหรือไม่ ในเรื่องนี้นักวิทยาศาสตร์เห็นตรงกันว่า เป็นไปได้ยากยิ่ง เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยพบไวรัสที่เปลี่ยนวิธีแพร่เชื้อในมนุษย์ได้มาก่อนและไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้เลยว่า ไวรัสอีโบลาสายพันธุ์ล่าสุดจะแตกต่างไปจากนี้ แต่ลองค้นหาคำว่า “อีโบลาที่ติดต่อทางอากาศ” (airborne Ebola) ในอินเทอร์เน็ตดู แล้วคุณจะเข้าสู่แดนสนธยาที่ไวรัสชนิดนี้แทบจะมีพลังหรืออำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น สามารถฆ่าคนได้ทั้งโลก
ในโลกที่ชวนสับสนงุนงงนี้ เราต้องตัดสินใจว่าจะเชื่ออะไรและปฏิบัติตัวอย่างไรในเรื่องนั้น วิทยาศาสตร์มีไว้เพื่อการนี้ “วิทยาศาสตร์ไม่ใช่กลุ่มหรือชุดข้อเท็จจริงต่างๆ” มาร์เซีย แมกนัตต์ นักธรณีฟิสิกส์ และบรรณาธิการวารสาร ไซแอนซ์ บอก “วิทยาศาสตร์เป็นระเบียบวิธีสำหรับแยกแยะว่า สิ่งที่เราเลือกจะเชื่อตั้งอยู่บนพื้นฐานของกฎธรรมชาติหรือไม่” แต่ระเบียบวิธีที่ว่าก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเรารู้ได้เองตามธรรมชาติ เราจึงเจอปัญหาซํ้าแล้วซํ้าเล่า
แน่นอนว่า เราเผชิญปัญหามาตั้งแต่ไหนแต่ไร ระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์นำเราไปสู่ความจริงที่เข้าใจได้ยาก มหัศจรรย์พันลึก และบางทีก็ยากที่จะยอมรับ ย้อนหลังไปในช่วงต้นศตวรรษที่สิบเจ็ด เมื่อกาลิเลโอยืนยันว่า โลกหมุนรอบแกนตัวเองและโคจรรอบดวงอาทิตย์ เขาขอให้คนทั่วไปเชื่อในสิ่งที่ขัดต่อสามัญสำนึก เพราะดูอย่างไร ดวงอาทิตย์ก็วนอยู่รอบโลกวันยังคํ่า และคุณไม่รู้สึกเลยว่าโลกกำลังหมุน
สองร้อยปีให้หลัง แนวคิดของชาร์ลส์ ดาร์วิน ที่ว่า สรรพชีวิตล้วนวิวัฒน์มาจากบรรพบุรุษยุคดึกดำบรรพ์ และมนุษย์เป็นญาติห่างๆ ของ เอป วาฬ และแม้แต่หอยทะเลลึก ยังคงเป็นสิ่งที่คนในยุคนี้จำนวนมากไม่อาจทำใจยอมรับหรือเชื่อได้ เช่นเดียวกับแนวคิดจากศตวรรษที่สิบเก้าอีกเรื่องหนึ่งที่ว่า ก๊าซไร้สีไร้กลิ่นที่เราหายใจออกมาตลอดเวลา และคิดเป็นสัดส่วน น้อยกว่าร้อยละ 0.001 ของบรรยากาศอย่างคาร์บอนไดออกไซด์ อาจส่งผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศของโลก
แม้กระทั่งเมื่อเรายอมรับหลักความจริงของวิทยาศาสตร์ด้วยเหตุด้วยผล แต่บ่อยครั้งเราก็ยังยึดติดอยู่กับความเชื่อ เดิมๆ ที่มาจากจิตใต้สำนึก หรือที่นักวิจัยเรียกว่า ความเชื่อแบบไร้เดียงสา งานวิจัยของแอนดรูว์ ชตูลแมน จากออกซิเดนทัลคอลเลจ เมื่อไม่นานมานี้แสดงให้เห็นว่า แม้แต่นักศึกษาที่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ชั้นสูงยังลังเล เมื่อถูกขอให้ยืนยันหรือปฏิเสธว่า มนุษย์สืบเชื้อสายมาจากสัตว์ทะเล หรือว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ ความจริงทั้งสองข้อนี้ขัดแย้งกับความเชื่อหรือความรู้เก่าแก่ของมนุษย์ แม้แต่นักศึกษาที่ตอบคำถามเหล่านี้ว่า “จริง” ก็ยังใช้เวลาตัดสินใจตอบนานกว่าคำถามที่ว่า มนุษย์สืบเชื้อสายมาจากสัตว์ที่อาศัยอยู่บนต้นไม้หรือไม่ (ซึ่งจริง แต่เข้าใจได้ง่าย) หรือดวงจันทร์โคจรรอบโลกหรือไม่ (ซึ่งจริง แต่สอดคล้องกับความรู้ดั้งเดิม) งานวิจัยของชตูลแมนบ่งชี้ว่า ขณะที่เรารู้จักวิทยาศาสตร์มากขึ้น เราก็สะกดความเชื่อไร้เดียงสาของเราไว้ แต่ไม่เคยลบล้างออกไปจนหมดสิ้น
พวกเราส่วนใหญ่หวนไปหาความเชื่อเดิมๆ ที่เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์ส่วนบุคคลและคำบอกเล่า และอิงกับเรื่องราวมากกว่าสถิติ เราอาจขอทดสอบแอนติเจนจำเพาะของต่อมลูกหมากหรือพีเอสเอ (prostate-specific antigen: PSA) ทั้งๆที่ไม่ค่อยมีใครแนะนำให้ทำแล้ว เพราะวิธีนี้นำไปสู่การตรวจพบมะเร็งในคนใกล้ชิด จากนั้นคุณเองก็เริ่มกังวลและขอตรวจบ้างทั้งๆ ที่ไม่จำเป็น หรือเราอาจได้ยินเรื่องคนเป็นมะเร็งกันมากในเมืองสักเมืองที่มีหลุมกลบฝังขยะปนเปื้อน และสรุปเอาเองว่ามลพิษเป็นสาเหตุของมะเร็ง แต่เพียงเพราะสองสิ่งบังเอิญเกิดขึ้นพร้อมกันไม่ได้หมายความว่า สิ่งหนึ่งเป็นสาเหตุของอีกสิ่งหนึ่ง และเพียงแค่มีเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งหรือกรณีใดกรณีหนึ่งเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ก็ไม่ได้แปลว่า นี่ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบสุ่ม
พวกเรามีปัญหาในการเข้าใจความสุ่ม (randomness) เพราะสมองของเราโหยหารูปแบบและความหมาย แต่วิทยาศาสตร์เตือนว่า เราอาจหลอกตัวเองได้ เพื่อให้มั่นใจว่ามีความพันธ์เชิงตรรกะระหว่างหลุมขยะกับการเกิดมะเร็ง คุณจำเป็นต้องมีการวิเคราะห์เชิงสถิติที่แสดงให้เห็นว่า พบผู้ป่วยมะเร็งมากกว่าการเกิดขึ้นโดยสุ่มอย่างชัดเจน ต้องมีหลักฐานว่าผู้ป่วยได้รับสารเคมีจากหลุมขยะ และหลักฐานว่าสารเคมีเหล่านั้นเป็นสารก่อมะเร็งจริงๆ
ระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องยากแม้กับนักวิทยาศาสตร์เอง ซึ่งมีจุดอ่อนไม่ต่างจากคนทั่วไปในสิ่งที่ พวกเขาเรียกว่า ความลำเอียงในการยืนยัน (confirmation bias) หรือแนวโน้มที่จะมองหาและเห็นเฉพาะหลักฐานที่ ยืนยันสิ่งที่พวกเขาเชื่ออยู่แล้ว ทว่าสิ่งที่ต่างจากคนทั่วไป คือ นักวิทยาศาสตร์ส่งผลงานหรือข้อสรุปของพวกเขา เข้าสู่กระบวนการพิจารณาโดยเพื่อนร่วมอาชีพก่อนการตี พิมพ์ หากผลงานที่ได้รับตีพิมพ์แล้วมีความสำคัญเพียงพอ นักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆจะพยายามทำให้เกิดผลอย่างเดียว กันซํ้าอีก ความที่เป็นคนไม่เชื่ออะไรง่ายๆ และชอบการ แข่งขันเป็นทุนเดิม ทำให้พวกเขายินดีอย่างยิ่งที่จะประกาศ ว่า ผลงานหรือทฤษฎีนั้นๆใช้ไม่ได้ ธรรมชาติของผลงาน ทางวิทยาศาสตร์จึงไม่ใช่สิ่งตายตัว อย่างน้อยก็จนกว่าจะ ถูกหักล้างด้วยการทดลองหรือการสังเกตการณ์ในอนาคต น้อยครั้งนักที่นักวิทยาศาสตร์จะประกาศความจริงเชิง สัมบูรณ์(absolute truth) ความไม่แน่นอนจึงเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง ณ พรมแดนแห่งความรู้
บางครั้งนักวิทยาศาสตร์ก็บกพร่องต่อเป้าหมายของระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะในงานวิจัยชีวเวช (biomedical) มีแนวโน้มน่าเป็นห่วงเกี่ยวกับผลการวิจัยที่ไม่อาจทำซํ้าที่อื่นนอกจากห้องปฏิบัติการเดิมได้ [กระบวนการ หรือเทคโนโลยีอาจเป็นความลับที่ไม่เปิดเผย] แนวโน้มนี้นำไปสู่การเรียกร้องให้เพิ่มความโปร่งใสในกระบวนการทดลอง ฟรานซิส คอลลินส์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ ออกมาแสดงความกังวลในสิ่งที่เขาเรียกว่า “ส่วนผสมลับ” ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการเฉพาะซอฟต์แวร์ที่เขียนขึ้นเป็นพิเศษ หรือส่วนผสมไม่เหมือนใคร กระนั้น เขาก็ยังเชื่อมั่นในหลักการและประชาคมิทยาศาสตร์ในภาพรวม “วิทยาศาสตร์จะค้นพบความจริง” คอลลินส์บอกและเสริมว่า “ผลครั้งแรกอาจจะผิด ครั้งที่สองก็อาจจะผิดอีก แต่ในที่สุดเราจะพบความจริงครับ”
ถ้าคุณเป็นนักเหตุผลนิยม คงมีบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้ที่ทำให้คุณท้อใจอยู่บ้าง จากคำอธิบายของเคแฮน เกี่ยวกับการตัดสินใจของเราว่า ควรจะเชื่อหรือไม่เชื่ออะไร บางครั้งสิ่งที่เราตัดสินใจกลับดูแทบจะเป็นเรื่องปลีกย่อย เขาบอกผมว่า นักสื่อสารวิทยาศาสตร์อาชีพอย่างพวกเรา “สังกัดเผ่า” เหมือนคนอื่นๆ เราเชื่อความคิดทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช่เพราะประเมินหลักฐานครบถ้วนแล้วอย่างแท้จริง แต่เป็นเพราะเราสนิทชิดเชื้อกับชุมชนวิทยาศาสตร์ เมื่อผมปรารภกับเคแฮนว่า ผมยอมรับทฤษฎีวิวัฒนาการอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู เขาบอกว่า ”การที่คุณเชื่อในเรื่องวิวัฒนาการเป็นแค่คำบรรยายตัวคุณ ไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกถึงกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างเป็นเหตุเป็นผลของคุณ”
เขาอาจพูดถูกก็ได้ เพียงแต่ว่าวิวัฒนาการเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เราจะเข้าใจชีววิทยาไม่ได้เลยถ้าขาดวิวัฒนาการ ประเด็นเหล่านี้ไม่ควรจะเป็นเรื่องของการมองต่างมุมหรือแบ่งขั้วไปเสียทั้งหมด การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังเกิดขึ้น วัคซีนช่วยชีวิตผู้คนได้จริง การเชื่อหรือทำ ในสิ่งที่ “ถูก” จึงมีความหมาย และสหายเผ่าวิทยาศาสตร์ก็ได้ชื่อว่าเพียรพยายามจนพบคำตอบที่ถูกต้องในที่สุด
ความกังขาในวิทยาศาสตร์มีผลกระทบตามมา คนที่เชื่อว่าการได้รับวัคซีนทำให้เกิดโรคออทิซึม ซึ่งมักเป็นคน มีการศึกษาและฐานะดี กำลังบั่นทอน “ภูมิคุ้มกันหมู่” สำหรับโรคเช่นไอกรนและหัด ขบวนการต่อต้านการให้และรับวัคชีนเข้มแข็งขึ้นขึ้นตั้งแต่ แลนเซต วารสารการแพทย์อันทรงเกียรติของอังกฤษ ตีพิมพ์ผลการศึกษาที่โยงวัคซีนซึ่งใช้กันทั่วไปชนิดหนึ่งกับโรคออทิซึมเมื่อปี 1998 ต่อมา วารสาร แลนเซต ยอมถอนผลการศึกษานั้น หลังได้รับการพิสูจน์ว่าไม่น่าเชื่อถือโดยสิ้นเชิง
แต่เมื่อถึงตอนนั้น ความคิดเรื่องความเกี่ยวโยงระหว่างวัคซีนกับโรคออทิซึมก็มีบุคคลผู้มีชื่อเสียงประทับตรารับรองไปแล้ว และยิ่งไปกันใหญ่ด้วยตัวกรองหรือเครื่องมือค้นหาสารพัดในอินเทอร์เน็ตตามเคย ในการอภิปรายเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผลกระทบจากความคลางแคลงสงสัยมีแนวโน้มจะส่งแรง กระเพื่อมไปทั้งโลกและเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกนาน ในสหรัฐฯ คนเหล่านี้บรรลุเป้าหมายพื้นฐานของพวกเขาแล้ว นั่นคือการหยุดยั้งการออกกฎหมายเพื่อรับมือสภาวะโลกร้อน
นักรณรงค์เคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมบางคนเรียกร้องให้นักวิทยาศาสตร์ลงจากหอคอยงาช้างมาร่วมต่อสู้เชิงนโยบายบ้าง แต่ลิซ นีลีย์ เตือนว่า นักวิทยาศาสตร์ที่จะทำอย่างนั้นต้องระวัง “เส้นแบ่งระหว่างการสื่อสารทางวิทยาศาสตร์กับการเป็นปากเป็นเสียงนี่ ถ้าข้ามไปแล้วจะหันหลังกลับยากนะคะ” ลิซว่าอย่างนั้น ในการอภิปรายเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ข้อกล่าวหาหลักๆ ของพวกคลางแคลงสงสัยมีอยู่ว่า คำกล่าวอ้างของนักวิทยาศาสตร์ที่ว่า นี่เป็นเรื่องจริงและเป็นภัยคุกคามร้ายแรงนั้นมีการเมืองอยู่เบื้องหลัง และผลักดันด้วยขบวนการกิจกรรมสิ่งแวดล้อมมากกว่าข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ซึ่งนั่นไม่เป็นความจริง และทำให้นักวิทยาศาสตร์มือสะอาดหลายคนต้องแปดเปื้อน ทว่าข้อกล่าวหานี้จะดูมีนํ้าหนักขึ้นมาทันที หากนักวิทยาศาสตร์ก้าวล่วงความชำนาญในอาชีพของตนออกมาเป็นปากเสียงให้นโยบายเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ความเป็นเอกเทศหรือคุณจะเรียกว่า “การลอยตัวอยู่เหนือปัญหา” หรือความเลือดเย็นของวิทยาศาสตร์ก็ตามทีนี่เองที่ทำให้วิทยาศาสตร์มีพลานุภาพน่ายำเกรง ความน่าเชื่อถือของวิทยาศาสตร์อยู่ที่วิธีการที่มันบอกความจริงแก่เราอย่างตรงไปตรงมา แทนที่จะเป็นความจริงอย่างที่เราอยากได้ยินหรือรับฟัง นักวิทยาศาสตร์อาจเป็นพวกยึดติดหรือเชื่อในความคิดของตนเองเหมือนคนอื่นๆ แต่ในวงการวิทยาศาสตร์ การเปลี่ยนใจเพราะจำนนด้วยหลักฐานไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือผิดบาป
แมกนัตต์บอกว่า การคิดแบบวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องได้รับการสอน แต่บางทีการถ่ายทอดก็ทำได้ไม่ดี นักเรียนจบออกมาโดยมองว่า วิทยาศาสตร์คือข้อเท็จจริงชุดหนึ่ง ไม่ใช่ระเบียบวิธี ระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช่สิ่งที่รู้ได้เองตามธรรมชาติ แต่ถ้าคุณไตร่ตรองให้ดี ประชาธิปไตยเองก็ไม่ใช่เหมือนกัน แนวคิดทั้งสองไม่เคยมีอยู่ในประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ของมนุษยชาติ
ปัจจุบัน เราเผชิญความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วบางครั้งก็น่ากลัว ความเปลี่ยนแปลงบางอย่างไม่ใช่ความก้าวหน้า แน่นอนว่าเราทำถูกแล้วที่ตั้งคำถามเกี่ยวกับ บางสิ่งที่วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเปิดโอกาสให้เราทำได้ แมกนัตต์บอกว่า ”ทุกคนควรตั้งคำถาม นั่นคือคุณสมบัติสำคัญที่สุดข้อหนึ่งของการเป็นนักวิทยาศาสตร์ แต่พวกเขาควรใช้ระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์ หรืออย่างน้อยก็ไว้ใจคนที่ใช้ระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์เวลาต้องตัดสินใจ เลือกข้างในการถกเถียงอภิปรายเกี่ยวกับคำถามเหล่านั้น” เราจำเป็นต้องค้นหาคำตอบให้เก่งขึ้น เพราะนับวันคำถามต่าง ๆ จะไม่มีวันง่ายขึ้นอย่างแน่นอน
เรื่อง โจล แอเคนบาค
ภาพถ่าย ริชาร์ด บาร์นส์
เผยแพร่ครั้งแรกในนิตยสาร เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย เดือนมีนาคม 2558