ชะลอวัย – นักวิทยาศาสตร์ทำให้หนูอายุยืนขึ้นอย่างยอดเยี่ยม ยาราพาไมซิน (Rapamycin) ที่แพทย์สั่งอย่างแพร่หลายเพื่อป้องกันการปฏิเสธอวัยวะหลังปลูกถ่าย เพิ่มอายุคาดเฉลี่ยให้หนูวัยกลางคนได้สูงถึงร้อยละ 60 ยาเซโนลิทิก (senolytic) ช่วยให้หนูสูงวัยแข็งแรงมีชีวิตชีวาไปอีกนาน หลังเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันตายจากไปแล้ว การใช้ยาเมตฟอร์มิน (metformin) และเอคาร์โบส (acarbose) ที่รักษาโรคเบาหวาน การจำกัดแคลอรีอย่างสุดขั้ว และการแทรกแซงอื่นๆ ทำให้หนูวิ่งไปทั่วกรงในห้องปฏิบัติการได้อีกนานหลังครบอายุขัยตามปกติ วิธีใหม่ล่าสุดคือ การเจาะเข้าสู่กระบวนการสูงวัยเพื่อโปรแกรมเซลล์แก่ๆให้ย้อนกลับสู่ภาวะอ่อนเยาว์กว่าเดิม
“ถ้าเราเป็นหนูก็โชคดีเลยค่ะ เพราะมีวิธียืดอายุขัยสารพัด” ซินเทีย เคเนียน นักชีววิทยาระดับโมเลกุล บอก ผลงานที่เป็นความก้าวหน้าสำคัญเมื่อหลายสิบปีก่อนของเธอเป็นตัวเร่งกระแสคลั่งไคล้การทำวิจัยด้านนี้ในปัจจุบัน “และหนูอายุยืนก็ดูมีความสุขมากๆค่ะ”
แล้วมนุษย์ล่ะ นักวิทยาศาสตร์ยืดอายุขัยของเราได้มากแค่ไหน และพวกเขาควรทำมากเพียงใด ในช่วงปี 1900 ถึง 2020 อายุคาดเฉลี่ยของมนุษย์สูงขึ้นกว่าสองเท่า เป็น 73.4 ปี แต่การได้มาอันน่าทึ่งนี้ต้องแลกด้วยการเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจของโรคเรื้อรังและโรคจากความเสื่อมต่างๆ ความชรายังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญที่สุดของโรคมะเร็ง โรคหัวใจ อัลไซเมอร์ เบาหวานชนิดที่สอง ข้ออักเสบ โรคปอด และโรคสำคัญอื่นๆเกือบทั้งหมด
แต่หากการทดลองในหนูเหล่านั้นนำไปสู่ยาที่สามารถชำระล้างความเสียหายทางโมเลกุลและชีวเคมีได้ลึกถึงรากเหง้าของปัญหาสุขภาพสารพัดในวัยชรา หรือการบำบัดรักษาที่ช่วยชะลอ หรือดียิ่งกว่านั้นก็คือป้องกัน ความเสียหายของเซลล์และผลข้างเคียงแย่ๆ จนทำให้คนจำนวนมากขึ้นอยู่ถึงวัยกลาง 80 หรือ 90 โดยไม่เจ็บปวดหรือมีโรครุมเร้า และใช้ชีวิตบั้นปลายที่มีทั้งสุขและทุกข์ระคนกันไป คนจำนวนมากขึ้นอาจอยู่ได้ถึงจุดที่เชื่อว่าเป็นอายุขัยสูงสุดตามธรรมชาติของมนุษย์ นั่นคือ 120 ถึง 125 ปี ซึ่งมีน้อยคนเฉียดกรายเข้าไปใกล้ ในประเทศอุตสาหกรรม ผู้คนราวหนึ่งใน 6,000 มีอายุแตะร้อย ขณะที่หนึ่งในห้าล้านอายุเกิน 110 ปี
ชีววิทยาของมนุษย์ดูเหมือนจะสามารถปรับให้มีประสิทธิภาพสูงสุดเพื่อให้อายุยืนมากขึ้นได้ ความร่ำรวยเกินจินตนาการกำลังรอคอยผู้ใดก็ตามที่ไขปริศนานี้ได้ จึงไม่แปลกที่นักลงทุนทุ่มเงินหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับความพยายามดังกล่าว กูเกิลนำหน้าโดยลงทุนเปิดบริษัทคาลิโคไลฟ์ไซแอนเซส (Calico Life Sciences) เมื่อปี 2013 ซึ่งมีเคเนียนเป็นรองประธานฝ่ายวิจัยความชรา
งานนี้ต้องอาศัยทั้งปัญญาประดิษฐ์ บิ๊กเดตา (big data หรือแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่) การโปรแกรมเซลล์ย้อนกลับ และความเข้าใจที่ดีขึ้นเรื่อยๆเกี่ยวกับโมเลกุลจำนวนมหาศาลที่ช่วยให้ร่างกายทำงานปกติ นักวิจัยบางคนพูดเรื่อง “การรักษา” ความชราแล้วด้วยซ้ำ
มนุษย์ไล่ตามความฝันที่จะคงความเยาว์วัยชั่วนิรันดร์มาหลายร้อยปีแล้ว แต่การศึกษาเรื่องความชราและอายุวัฒนะกลับเป็นความล้าหลังทางวิทยาศาสตร์ที่หยุดนิ่งกระทั่ง 30 ปีที่แล้วนี่เอง เมื่อซินเทีย เคเนียน ประสบปัญหาในการหานักวิจัยรุ่นใหม่ๆมาช่วยทำการทดลองที่จะขยายศาสตร์นี้ออกไป ตอนนั้นเธอทำงานที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตแซนแฟรนซิสโก และปรับแต่งยีนตัวหนึ่งในพยาธิตัวกลมที่ชื่อ ซี. เอเลแกนส์ ทำให้อายุขัยของมันเพิ่มขึ้นสองเท่า หนอนกลายพันธุ์เหล่านั้นแสดงพฤติกรรมเด็กลงเช่นกัน โดยคืบคลานอย่างกระฉับกระเฉงใต้กล้องจุลทรรศน์ ขณะที่หนอนตัวอื่นๆซึ่งมียีนปกตินอนนิ่งเหมือนท่อนไม้
การค้นพบอันน่าตื่นตะลึงของเคเนียนชี้ว่า ความชราสามารถปรับแปลงได้ เพราะมียีน วิถีของเซลล์ และสัญญาณชีวเคมีต่างๆเป็นตัวควบคุม “ทุกอย่างขยับจากโลกอันคลุมเครือมาสู่วิทยาศาสตร์อันคุ้นเคยที่ทุกคนเข้าใจได้” เธอบอก “และใครๆก็สามารถทำได้ คนจึงเริ่มหันมาศึกษามากขึ้นค่ะ”
แต่การยืดอายุหนอนและหนูได้ก็ใช่ว่าจะได้ผลในมนุษย์ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ยาเซโนลิทิก ซึ่งฆ่าเซลล์ก่อความเสียหายที่เพิ่มพูนขึ้นตามวัย ดูน่าจะเป็นยาชะลอวัยตัวแรกที่ผ่านกระบวนการทดสอบถึงขั้นอนุมัติให้ใช้งานได้ ทว่าการทดลองทางคลินิกช่วงแรกๆครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นการศึกษาเวชปฏิบัติในการรักษาโรคข้อเสื่อมที่คนตั้งตารอ กลับพบว่ายานี้ลดอาการบวมหรือความเจ็บปวดของข้อต่อได้ไม่ต่างไปจากยาหลอก
ขณะนี้ นักวิจัยและบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพกำลังทดสอบยาเซโนลิทิกในการรักษาอัลไซเมอร์ระยะแรก ภาวะลองโควิด (long COVID) โรคไตเรื้อรัง ภาวะอ่อนแอหลังหายจากมะเร็ง และภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวานที่ทำให้ตาบอด การทดลองทางคลินิกของสารประกอบชะลอวัยอื่นๆก็อยู่ระหว่างดำเนินการเช่นกัน แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่มียาระดับการทดลองที่ให้ผลน่าทึ่งในหนูขนานใดได้รับการอนุมัติให้ใช้และจำหน่ายในท้องตลาดได้
“มีแนวทางแตกต่างมากมายค่ะ” เคเนียนบอกและเสริมว่า “เราไม่รู้ว่าจะมีวิธีหนึ่งวิธีใดในนั้นได้ผลหรือไม่ บางทีมันอาจได้ผลทั้งหมด! หรือบางที การใช้หลายวิธีร่วมกันอาจให้ผลดีเยี่ยม เราแค่ต้องลองทำหลายๆอย่าง และนั่นคือสิ่งที่เรากำลังทำกันอยู่ค่ะ”
ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไร หรือจะเป็นไปได้หรือไม่ ที่เทคโนโลยีอันทะเยอทะยานจะได้ผลกับมนุษย์เหมือนที่สำเร็จอย่างงดงามในหนู แต่ขณะเดียวกัน เราก็มีวิธีรับมือความชรามากมาย นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดศึกษาข้อมูลหลายสิบปีจากผู้ใหญ่ 123,219 คนในสหรัฐฯ และพบกิจวัตรหรือนิสัยห้าประการที่อาจเพิ่มอายุคาดเฉลี่ยได้ถึง 14 ปีในผู้หญิงและ 12 ปีในผู้ชาย นั่นคือ กินอาหารดี ออกกำลังเป็นประจำ น้ำหนักตัวเหมาะสม งดบุหรี่ และไม่ดื่มหนักเกินไป
“ผมคิดว่าสิ่งที่ให้ผลคุ้มค่าความพยายามมากที่สุด ถ้าจะเลือกทำแค่อย่างเดียว ซึ่งผมไม่แนะนำนะครับ คือการออกกำลังกาย” แมตต์ เคเบอร์เลน ศาสตราจารย์ด้านพยาธิวิทยาและเวชศาสตร์ชันสูตร ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยความชราและอายุวัฒนะที่มหาวิทยาลัยวอชิงตัน บอก
เขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ตัวจริง ไม่ใช่กูรูด้านการออกกำลังกาย แต่ไม่ว่าจะยุ่งเพียงใด เคเบอร์เลนในวัย 51 ปีจะหาเวลาสัปดาห์ละสามครั้งออกกำลังกายในโรงรถที่เขาดัดแปลงเป็นโรงยิมชั่วคราว และยกเวตเพื่อรักษามวลกล้ามเนื้อ “สำหรับคนอายุเกิน 50 ส่วนใหญ่ การสูญเสียมวลกล้ามเนื้อเนื่องจากการใช้ชีวิตนั่งๆ นอนๆ มักเป็นตัวทำนายสำคัญที่สุดประการหนึ่งที่บ่งชี้ถึงการมีสุขภาพแย่ลงเมื่ออายุมากขึ้นครับ” เขาบอก
ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกายถกเถียงกันไม่จบสิ้นว่า โปรแกรมการออกกำลังกายรูปแบบใดช่วยให้เราสุขภาพดีและแข็งแรงมากที่สุดเมื่ออายุมากขึ้น เช่นเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการก็เห็นไม่ตรงกันเรื่องอาหารที่ดีต่อสุขภาพที่สุด
การศึกษาในสัตว์พบหลักฐานน่าทึ่งว่า การจำกัดแคลอรีอย่างรุนแรงเพิ่มอายุขัยได้ ทว่านั่นเป็นความจริงสำหรับมนุษย์หรือไม่ก็ยากจะบอกได้ สถาบันสูงอายุแห่งชาติ (National Institute on Aging) ของสหรัฐฯริเริ่มโครงการศึกษาขนาดใหญ่เมื่อยี่สิบปีก่อนเพื่อวัดผลกระทบของอาหารที่ลดแคลอรีลงร้อยละ 25 แต่เอาเข้าจริงอาสาสมัครกลับลดแคลอรีลงได้เพียงร้อยละ 12 เท่านั้น ฉันนึกถึงแพทย์ที่บอกฉันว่า อาหารเพื่อสุขภาพที่ดีที่สุดคืออาหารที่เรารับประทานได้อย่างสม่ำเสมอ
เบกกา เลวี ศาสตราจารย์ด้านวิทยาการระบาดและจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยเยล ชี้อิทธิพลที่สำคัญและควบคุมได้อีกประการหนึ่งที่ส่งผลต่อการมีอายุยืนอย่างสุขภาพดี นั่นคือทัศนคติที่มีต่อความชราของเรา ในการศึกษาหนึ่งซึ่งนำไปทำซ้ำทั่วโลก เลวีพบว่าคนวัย 30 และ 40 ที่มีความคาดหวังเชิงบวกต่อวัยชรา เช่น เปรียบวัยชรากับสติปัญญา แทนที่จะเป็นความเสื่อมสภาพ มีแนวโน้มจะมีสุขภาพดีในอีกหลายสิบปีหลังจากนั้นมากกว่า ในอีกการศึกษาหนึ่ง เธอพบว่าผู้สูงอายุที่มีทัศนคติเชิงบวกต่อความชรามีแนวโน้มจะฟื้นฟูร่างกายจากการบาดเจ็บที่ทำให้พิการได้เต็มที่กว่ามาก และในอีกการศึกษาหนึ่ง เธอพบว่าทัศนคติเชิงบวกต่อความชราเกี่ยวข้องกับการมีความเสี่ยงต่ออัลไซเมอร์ต่ำ เลวีพบว่าคนที่มีทัศนคติเชิงบวกที่สุดต่อความชรามีอายุยืนยาวกว่าคนที่มีทัศนคติเชิงลบที่สุดเฉลี่ยเจ็ดปีครึ่ง
การอ่านงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ที่พยายามไขปริศนาความชรา อาจทำให้ยากจะรู้สึกดีกับการมีอายุมากขึ้น แนวคิดในการ “รักษา” ความชรามองว่ามันเป็นพยาธิสภาพ รายงานการวิจัยทั่วไปมักเริ่มต้นว่า “ความชราคือกระบวนการเสื่อมสภาพที่นำไปสู่การไม่ทำงานของเนื้อเยื่อและการเสียชีวิต” ระหว่างศึกษาเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ฉันก็ตื่นเต้นกับความเป็นไปได้ของการค้นพบที่ก้าวล้ำต่างๆ แต่ก็สะท้อนใจเมื่อนึกถึงตัวเองที่กำลังย่างเข้าสู่วัย 68 ปีด้วย
จากนั้นฉันก็คิดไปถึงแม่ของฉัน ซึ่งยังคงสนุกกับชีวิตในวัยปลาย 90 งานวิจัยของเบกกา เลวี ทำให้ฉันเชื่อว่า ทัศนคติของแม่อธิบายความมีชีวิตชีวาของท่านได้อย่างน้อยก็บางส่วน ฉันไม่เคยได้ยินแม่บ่นเรื่องวันเกิดหรือพูดว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้เพราะแก่เกินไป อันเป็นสิ่งที่ฉันเริ่มได้ยินจากเพื่อนวัยเดียวกัน
“ไม่จ้ะ” แม่บอกเมื่อฉันพูดเรื่องนี้ “แม่ไม่แก่เกินไปเลย แม่อาจทำอะไรช้าลง และอาจทำน้อยลง แต่แม่ไม่ได้แก่เกินไปที่จะเต้นหรือเดินหรือทำอะไรที่อยากทำ”
ท่านหยุด “แต่แม่จะไม่ว่ายน้ำอีกต่อไปแล้วละ”
“เพราะแม่ไม่ได้ว่ายมานานแล้วอย่างนั้นหรือคะ”
“เพราะแม่ไม่ชอบรูปร่างของตัวเองเวลาสวมชุดว่ายน้ำน่ะจ้ะ”
เรื่อง แฟรน สมิท
ภาพถ่าย แจสเปอร์ ดูเอสต์, เดวิด กุทเทนเฟลเดอร์,
นิโคล โซเบกกี และเมลานี ว็องแฌร์
ติดตามสารคดี มีชีวิตยาวนานและดีกว่าเดิม ฉบับสมบูรณ์ ได้ที่นิตยสาร เนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย เดือนมกราคม 2566
สั่งซื้อนิตยสารได้ที่ https://www.naiin.com/product/detail/567622