หลายท่านอาจเคยเห็นภาพวาดพืชหรืองานศิลปะที่มีแรงบันดาลใจจากพืช บทความนี้ชวนท่านผู้อ่านมาดื่มด่ำไปกับความงามและความน่าสนใจของภาพวาดทางพฤกษศาสตร์ และชวนมาทำความเข้าใจว่า “ภาพวาดทางพฤกษศาสตร์” คืออะไร? และแตกต่างกับภาพวาดต้นไม้ ดอกไม้ และพืชทั่วไปอย่างไร?
เราน่าจะคุ้นชินกับภาพวาดดอกไม้หรือพืชที่สวยงาม ซึ่งภาพวาดที่เราเคยเห็น อาจไม่ได้แสดงลักษณะของพืชที่ละเอียดสมจริงทุกอย่าง แต่ตั้งใจสื่อความสวยงามและองค์ประกอบทางศิลปะเพื่อสร้างความรื่นรมย์ต่อผู้ชมและผู้สร้างสรรค์เอง
ภาพวาดลักษณะนี้จัดเป็น “flower painting” แต่เมื่อใดที่ภาพวาดเหล่านี้มีพืชเป็นองค์ประกอบหลักและแสดงลักษณะของพืชอย่างถูกต้องตามหลักทางพฤกษศาสตร์ มีรายละเอียดที่ช่วยให้ผู้ชมสามารถระบุหรือแยกแยะพืชนั้น ๆ ได้ แต่ภาพอาจจะไม่แสดงทุกส่วนของพืช ภาพวาดประเภทนี้จัดเป็น “botanical art” ซึ่งในภาษาไทยยังไม่มีการบัญญัติศัพท์ไว้อย่างชัดเจน จึงขอเรียกว่า “พฤกษศิลป์”
พฤกษศิลป์ เป็นคำที่มีความหมายกว้าง ๆ อาจอยู่ในรูปแบบภาพวาดหรืองานศิลปะในรูปแบบใด ๆ ที่แสดงถึงพืช (รวมถึงสาหร่าย เห็ดรา และไลเคน) ก็ได้ ภาพวาดพืชในลักษณะของพฤกษศิลป์บางครั้งอาจเรียกในภาษาอังกฤษได้หลากหลาย เช่น botanical painting, botanical drawing, botanical sketch
เมื่อพฤกษศิลป์ถูกนำมาประกอบเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ ที่มีความลุ่มลึกทางวิชาการ และต้องการสื่อสารข้อความทางพฤกษศาสตร์ ภาพวาดพืชที่ดูธรรมดาจะกลายเป็น ภาพวาดทางพฤกษศาสตร์ หรือ ภาพประกอบทางพฤกษศาสตร์ (botanical illustration) ที่เน้นสื่อความหมายทางวิทยาศาสตร์ แสดงลักษณะของพืชอย่างถูกต้องสมจริงอย่างละเอียดตามหลักพฤกษศาสตร์และให้ข้อมูลของพืชครบถ้วน ซึ่งภาพวาดทางพฤกษศาสตร์นี้สามารถนำเสนอได้หลายรูปแบบ
ภาพวาดทางพฤกษศาสตร์ที่เราคุ้นเคย คือ ภาพที่แสดงส่วนต่าง ๆ ของพืช ได้แก่ ดอก ผล ลำต้น ใบ ที่เป็นลักษณะภายนอกที่มองเห็น เรียกว่า ลักษณะทางสัณฐานวิทยา (morphological characters) อาจเน้นไปที่ส่วนใดส่วนหนึ่ง หรือครบถ้วนสมบูรณ์ทุกส่วน ขึ้นกับเป้าหมายในการวาดและข้อมูลทางพฤกษศาสตร์ที่ผู้วาดทราบหรือค้นคว้ามา บางครั้งอาจแสดงลักษณะโครงสร้างภายในของเนื้อเยื่อหรือลักษณะทางกายวิภาคศาสตร์ (anatomical characters) ที่ศึกษาภายใต้กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง หรือภาพนั้นอาจแสดงลักษณะวิสัยของพืช (habit) ไม่ว่าเป็นไม้ต้น ไม้ล้มลุก ไม้เลื้อย รวมถึงอาจแสดงถิ่นที่อยู่ของพืชและสิ่งแวดล้อมโดยรอบ (habitat and surroundings) ที่สมจริง ดังนั้นภาพวาดทางพฤกษศาสตร์จึงต่างกับ flower painting อย่างมากในแง่ของข้อความที่ต้องการสื่อสารกับผู้ชม
ภาพวาดทางพฤกษศาสตร์ไม่ได้ใช้เพื่อประกอบงานด้านวิชาการเพียงอย่างเดียว แต่เป็นความหมายที่นักพฤกษศาสตร์พยายามจะสื่อสารกับสังคม ภาพวาดหนึ่งภาพแทนคำบรรยายได้มากมาย ความสวยงามของพืชที่ถูกถ่ายทอดผ่านเทคนิคทางศิลปะอย่างแยบคาย ทำให้ผู้ชมเกิดความประทับใจและตระหนักถึงความสำคัญของพืช จึงเกิดการวาดภาพทางพฤกษศาสตร์ร่วมสมัย (contemporary botanical illustration) ที่สื่อสารลักษณะของพืชอย่างเป็นศิลปะ เน้นความสวยงามของพืชและมีรายละเอียดที่สมจริงผ่านการจัดองค์ประกอบศิลป์ อาจแสดงลักษณะของพืชทั้งต้นหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง
ในปัจจุบัน มีภาพวาดที่แสดงรายละเอียดของพืชอย่างสมจริงยิ่งยวดในรูปแบบ hyper realistic ที่ดึงความน่าสนใจของพืชผ่านรายละเอียดและความสวยงามของภาพที่มีอารมณ์ความรู้สึก นอกจากนี้การวาดภาพทางพฤกษศาสตร์ยังรวมถึงการบันทึกภาพพืชที่พบเห็นในสภาพแวดล้อมจริง (field sketch) เป็นการวาดภาพแบบคร่าว ๆ ที่ทำให้เข้าใจลักษณะของพืชมากขึ้น และสามารถนำข้อมูลไปพัฒนาเป็นภาพวาดทางพฤกษศาสตร์ได้ ซึ่งจะทำให้เราเข้าใกล้ธรรมชาติมากขึ้น
พฤกษศิลป์ และ ภาพวาดทางพฤกษศาสตร์ จึงเป็นศาสตร์ที่ถ่ายทอดวิทยาศาสตร์อย่างเป็นศิลปะ หรือในมุมกลับกันอาจมองว่าเป็นศิลปะที่สื่อสารข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ก็ได้ ซึ่งผู้สร้างสรรค์อาจเป็นศิลปิน นักพฤกษศาสตร์ หรือผู้ที่สนใจเกี่ยวกับพืช แต่ทั้งนี้ผู้สร้างสรรค์ควรเข้าใจลักษณะของพืชและถ่ายทอดอย่างถูกต้องตามหลักทางพฤกษศาสตร์ ที่สำคัญคือการศึกษาจากต้นพืชจริงและรู้คุณค่าของพืชนั้น ดังนั้นไม่ว่าใครที่มีความพยายาม ค้นคว้า และทำความเข้าใจลักษณะของพืชก็ย่อมจะสร้างสรรค์พฤกษศิลป์ที่ดีได้
การวาดภาพของมนุษย์นั้นมีหลักฐานปรากฏตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ คือ ภาพเขียนผนังถ้ำ (cave painting) แต่ภาพส่วนใหญ่นั้นมีองค์ประกอบหลักคือสัตว์และคนมากกว่าพืช[1] ชี้ให้เห็นถึงภาวะตาบอดพืช (plant blindness) ที่อาจเกิดขึ้นและฝังรากลึกมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์[2] แล้วการวาดภาพพืชนั่นเริ่มขึ้นอย่างไร ?
หากมีสัตว์ มีมนุษย์ ก็ย่อมมีพืช เพราะพืชเป็นแหล่งอาหาร อีกทั้งในถิ่นที่อยู่อาศัยของเราก็แวดล้อมไปด้วยพืช ดังนั้นทุกท่านคงจะพอเดาได้ว่าภาพวาดพืชก็มีจุดเริ่มต้นมาจากภาพวาดตามผนังถ้ำเช่นกัน[3] แต่การวาดภาพในช่วงก่อนประวัติศาสตร์นั้นมีจุดมุ่งหมายเพื่อความงาม (aesthetic) ความเป็นศิลปะ แต่อย่างไรก็ตามการวาดภาพในยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้นอาจเป็นการสื่อความหมายแทนคำในภาษาที่มีความซับซ้อนก็เป็นได้
เมื่อมนุษย์เริ่มมีสังคมและมีการสื่อสารด้วยภาษาที่มีอักษร จึงเกิดการบันทึกในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงมีวัฒนธรรมที่ส่งต่อและเรียนรู้จากรุ่นสู่รุ่น การวาดภาพพืชก็มีการสืบต่อเช่นกัน การวาดภาพพืชอย่างมีวัตถุประสงค์จึงเริ่มขึ้นในยุคประวัติศาสตร์ ที่บันทึกภาพพืชอย่างจริงจัง ตัวอย่างเช่นในอารยธรรมอียิปต์มีการบันทึกภาพของพืชที่นำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน ทั้ง พืชอาหาร พืชสมุนไพร หรือพืชที่เกี่ยวข้องกับพิธีกรรม
ในอารยธรรมกรีกเริ่มมีการศึกษาและบันทึกข้อมูลของพืชอย่างเป็นระบบ มีรากฐานจากการศึกษาพืชของ ธีโอฟราสตัส (Theophrastus) ที่บันทึกลักษณะของพืชมากมายในตำรา กล่าวได้ว่าภาพวาดทางพฤกษศาสตร์ถือกำเนิดขึ้นในยุคนี้นั่นเอง อย่างไรก็ตามในช่วงนั้นยังมีเทคนิคทางศิลปะจำกัดและมีองค์ความรู้ด้านพฤกษศาสตร์ไม่มาก ทำให้ภาพวาดพืชยังมีรายละเอียดไม่มากพอที่จะทำให้ผู้ชมแยกแยะพืชที่มีลักษณะใกล้เคียงกันมากได้
ต่อมาในยุคกลาง (Middle Ages) เป็นช่วงที่ศาสนามีอิทธิพลสำคัญในโลกตะวันตก ภาพวาดของพืชมักปรากฏในผลงานศิลปะต่าง ๆ เช่น ตำรา หนังสือสวดมนตร์ ภาพเขียน พรม/สิ่งทอ แม้กระทั่งสิ่งประดับตามอาคารสถาปัตยกรรม แต่การถ่ายทอดลักษณะของพืชในยุคนี้ไม่เน้นความสมจริงเท่าไรนัก ส่วนใหญ่มีการผสมมุมมองของศิลปินเข้าไปด้วย และไม่ได้มีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อเผยแพร่ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์
การวาดภาพจึงมีบทบาทมากในการบันทึกข้อมูลในการค้นพบสิ่งมีชีวิตใหม่ ๆ โดยเฉพาะช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17–18 ที่เรียกได้ว่าเป็น ยุคทองของพฤกษศิลป์[6] นอกจากนี้ยังมีศิลปินที่มีความสามารถมากมาย และที่สำคัญคือมีผู้อุปถัมภ์ที่ส่งเสริมศาสตร์นี้ ที่อาจเริ่มจากความชื่นชอบส่วนบุคคลไปจนถึงการจ้างงานประจำ ทำให้นักวาดภาพทางพฤกษศาสตร์ที่เชี่ยวชาญมีโอกาสสร้างสรรค์ผลงานที่ทรงคุณค่าให้เราได้ชมกันในปัจจุบัน ซึ่งบางคนอาจเป็นศิลปินอาชีพ บางคนอาจเริ่มต้นจากการเรียนเกี่ยวกับพืช ในช่วงแรกอาจวาดเพื่อการบันทึกแทนภาพถ่าย และเพื่อการเผยแพร่ในรูปแบบสิ่งพิมพ์เชิงวิชาการ หนังสือ ตำรา
การวาดภาพทางพฤกษศาสตร์ที่รุ่งเรืองในยุคแห่งการสำรวจ เพราะมีองค์ประกอบเหล่านี้ครบ ทั้งมีองค์ความรู้ใหม่ทางด้านพฤกษศาสตร์ มีการค้นพบพืชชนิดใหม่มากมายจากการเดินทางสำรวจพื้นที่ใหม่ ๆ ประกอบกับมีศิลปินที่มีความสามารถและให้ความสนใจในการวาดภาพที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ธรรมชาติ (natural history) และที่สำคัญคือ มีผู้อุปถัมภ์ (patron) ที่สนับสนุนศิลปินและสะสมผลงานที่อาจตกทอดมาถึงคนรุ่นหลัง
แม้ว่าในปัจจุบันจะมีเทคโนโลยีการถ่ายภาพที่ทันสมัย แต่เรายังคงพบเห็น ภาพวาดทางพฤกษศาสตร์ และ พฤกษศิลป์ ที่ปรากฏอยู่ในสื่อต่าง ๆ อย่างแนบเนียน ไม่ว่าจะเป็นภาพประกอบหนังสือหรือบทความ ภาพหน้าปกหนังสือ ภาพประกอบโฆษณา หรือแม้กระทั่งเป็นชิ้นงานศิลปะที่อาจประดับอยู่ที่ใดสักแห่ง
ภาพวาดทางพฤกษศาสตร์ใช้ประกอบในหนังสือหรือบทความวิชาการ ช่วยให้เข้าใจลักษณะของพืชได้ดีขึ้นมากกว่าการอ่านคำบรรยายเพียงอย่างเดียว ตัวอย่างเช่น ในประเทศไทยมีการสำรวจ บันทึกและรวบรวมข้อมูลพันธุ์ไม้ที่พบในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2506 และตีพิมพ์เผยแพร่ในชื่อของ พรรณพฤกษชาติของประเทศไทย (Flora of Thailand) [7] ภายใต้ความร่วมมือของนักพฤกษศาสตร์ สวนพฤกษศาสตร์ รวมถึงศิลปินที่ร่วมบันทึกภาพของพืชด้วย
สวนพฤกษศาสตร์จึงเกี่ยวข้องกับภาพวาดทางพฤกษศาสตร์ ในฐานะเป็นแหล่งสำคัญในการรวบรวมพืช และเป็นแหล่งค้นคว้าวิจัยพืชกลุ่มต่าง ๆ สะสมองค์ความรู้จากตัวอย่างพรรณไม้จากทุกมุมโลก เมื่อนักพฤกษศาสตร์ค้นพบพืชชนิดใหม่ หรือ ศึกษาทบทวนลักษณะของพืชเพื่อระบุชนิดหรือจัดจำแนก ต้องมีการบรรยายลักษณะอย่างละเอียด ซึ่งภาพวาดทางพฤกษศาสตร์มีบทบาทในการขยายความหรือทำให้คำบรรยายนั้นเข้าใจง่ายมากขึ้นสำหรับผู้มาอ่านในภายหลัง
นักพฤกษศาสตร์จึงทำงานร่วมกับศิลปินผู้เชี่ยวชาญเพื่อถ่ายทอดลักษณะของพืชผ่านภาพวาดทางพฤกษศาสตร์ แต่บางครั้งนักพฤกษศาสตร์ก็ทั้งศึกษาและวาดภาพพืชด้วยตนเอง อย่างนักพฤกษศาสตร์ชาวญี่ปุ่น ดร.โทมิทาโร มากิโนะ (Dr. Tomitoro Makino) ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งพฤกษศาสตร์สมัยใหม่ของญี่ปุ่น เขาศึกษาและสร้างสรรค์ภาพวาดทางพฤกษศาสตร์กว่าพันภาพของพืชที่เขาพบในประเทศญี่ปุ่น ถือเป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้คนจำนวนมากหันมาสนใจพืชรอบตัว มีการจัดกิจกรรมที่เกี่ยวกับพฤกษศาสตร์เพื่อระลึกถึง ดร. มากิโนะ ในวันเกิดของเขาทุกปี ปีที่ผ่านมาเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 160 ปี นอกจากนี้ยังมีการก่อตั้งสวนพฤกษศาสตร์ Makino Botanical Garden ที่รวบรวมพันธุ์ไม้กว่า 3000 ชนิด ที่จังหวัดโคจิ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อเป็นเกียรติแก่ ดร.มากิโนะ ที่เป็นคนท้องถิ่นของจังหวัดนี้อีกด้วย [8]
ปัจจุบันการวาดภาพทางพฤกษศาสตร์เป็นได้ทั้งอาชีพและงานอดิเรก มีกลุ่มคนให้ความสนใจและร่วมกันทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องในลักษณะของ สมาคม ชมรม กลุ่มศิลปิน ทั้งระดับชาติและนานาชาติ เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมอง จัดแสดงผลงานภาพวาดทางพฤกษศาสตร์ร่วมกัน และสนับสนุนคนรุ่นใหม่ให้ก้าวเข้าสู่ศาสตร์นี้ได้อย่างมีมาตรฐาน
ภาพวาดทางพฤกษศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้และทำความเข้าใจธรรมชาติ จากประสบการณ์ของผู้เขียนในบทบาทผู้สอนการวาดภาพทางวิทยาศาสตร์ (รวมถึงการวาดภาพสัตว์และวัตถุทางธรรมชาติ) การฝึกสังเกตและบันทึกภาพธรรมชาติช่วยให้ผู้เรียนสนใจธรรมชาติรอบตัวมากขึ้น ภาพวาดทางพฤกษศาสตร์จึงช่วยลดช่องว่างระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ สร้างความผูกพัน โดยอาจเริ่มต้นในลักษณะของการวาดภาพอย่างง่ายในภาคสนาม (field sketch) เพื่อบันทึกสิ่งที่เราพบเห็นในธรรมชาติก็ได้ นับได้ว่าการวาดภาพทางพฤกษศาสตร์เป็นอีกศาสตร์เฉพาะ ที่ต้องอาศัยความรู้ทางพฤกษศาสตร์และเทคนิคทางศิลปะ หากเราฝึกฝน ทำความเข้าใจ ไม่ว่าใครก็สามารถสร้างสรรค์ผลงานภาพวาดทางพฤกษศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และสวยงาม
บทความโดย ดร.ฉัตรทิพย์ รอดทัศนา
ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
เอกสารอ้างอิง
[1] https://www.nationalgeographic.com/science/article/vanished-the-surprising-things-missing-from-ancient-art
[2] https://nph.onlinelibrary.wiley.com/doi/full/10.1002/ppp3.10373
[3] https://www.talesbytrees.com/oldest-picture-of-a-tree/
[4] https://udayton.edu/blogs/marianlibrary/2019-03-22-annunciation-art.php
[5] https://mylifeinblossom.com/the-meaning-and-symbolism-of-flowers/violet-meaning-and-symnolism/
[6] Rix, M. 2018. The Golden Age of Botanical Art. Carlton Books: London.
[7] https://botany.dnp.go.th/detail.html?menu=flora
[8] https://www.makino.or.jp/multilingual/?lang=en