มันหมุนไปเรื่อย ๆ ในอวกาศ และไม่มีอะไรมีศักยภาพเพียงพอที่จะหยุดมัน ดังนั้นเหตุการณ์แรก ซึ่งก็คือ “โลกหยุดหมุนทันที” นั้นเป็นไปไม่ได้ แต่เราสามารถลองคิดเล่น ๆ ได้
“นี่เป็นเพียงการทดลองทางความคิด” เจมส์ ซิมเบลแมน นักธรณีวิทยาอาวุโสจากพิพิธภัณฑ์อากาศและอวกาศแห่งชาติสถาบันสมิธโซเนียนกล่าว “ไม่มีพลังธรรมชาติใดจะหยุดยั้งไม่ให้โลกหมุนได้ (ทันที) มันเป็นส่วนหนึ่งของดาวเคราะห์ของเรา หมุนมาตั้งแต่ก่อตัว ซึ่งค่อนข้างน่าประทับใจทีเดียว”
หากโลกหยุดหมุนทันทีทันใด ปัจจุบันโลกหมุนรอบตัวเองโดยใช้เวลา 23 ชั่วโมง 56 นาที กับอีก 4.09053 วินาที ด้วยความเร็วที่นับจากเส้นศูนย์สูตรประมาณ 1,770 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ซึ่งจะค่อย ๆ ช้าลงเมื่อเข้าใกล้ขั้วโลก ความเร็วเช่นนี้ได้สร้างโมเมนตัมเชิงมุมให้กับวัตถุที่อย่างบนโลก
แต่ถึงอย่างนั้น เราที่ยืนอยู่บนพื้นผิวก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นปัญหา เนื่องจากแรงดึงดูดที่โลกสร้างขึ้น ทำให้เรายืนได้อย่างมั่นคง และสิ่งมีชีวิตที่เกิดมานับหลายพันล้านปีต่างก็คุ้นเคยกับธรรมชาตินี้แล้ว
ดังนั้นหากโลกหยุดหมุนลงทันที สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ ‘ทุกอย่างจะกระเด็นออกจากโต๊ะ’
เนื่องจากวัตถุยังมีโมเมนตัมเชิงมุมอยู่ ซึ่งเป็นผลคูณของมวลและความเร็วของวัตถุ มนุษย์ รถยนต์ ตึกสูง บ้าน น้องแมว หรือน้องหมาจะพุ่งกระเด็นออกไปด้วยความเร็วสูง (ตามมวล) แม้แต่แผ่นดินจะถูกแยกฉีกขาดออกจากกัน เหมือนรถที่ขับมาด้วยความเร็วแล้วเบรกกระทันหัน หากคุณไม่ได้ขาดเข็มขัดนิรภัยก็จะกระเด็นออกนอกรถ
“สิ่งพื้นฐานประการหนึ่งของฟิสิกส์คือการอนุรักษ์โมเมนตัมเชิงมุม” ซิมเบลแมนบอก “เมื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งหมุน คุณจะต้องใช้แรงเดียวกัน (ในทิศตรงกันข้าม) เพื่อไม่ให้หยุดหมุน” นั่นหมายความว่าหลายส่วนจะกระเด็นออกไปถึงนอกอวกาศ โดยไม่มีอะไรมาหยุดยั้ง
แต่โชคยังดีที่ ไอแซค นิวตัน ค้นพบฟิสิกส์แบบคลาสิคขึ้นมา นั่นคือแรงโน้มถ่วง มันทำให้สิ่งที่ถูกเหวี่ยงออกไปยังสามารถกลับมายังโลกด้วยแรงดึงดูดของดาวเคราะห์ (หากไม่ออกไปไกลจนเกินไป) ทุกอย่างจะกลับเข้ามาเหมือนอุกกาบาตลูกไฟเมื่อผ่านชั้นบรรยากาศ ซึ่งเป็นตอนจบที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก
แต่ถ้าโลกค่อย ๆ หยุดหมุน จะเกิดอะไรขึ้น? แม้จะไม่มีอะไรมาทำให้โลกหยุดหมุนได้ทันที แต่ตอนนี้โลกกำลังค่อย ๆ หมุนช้า แล้ว โดยมีสาเหตุคือ ‘ดวงจันทร์’
ด้วยแรงโน้มถ่วงของทั้งคู่ที่ทำให้เกิดน้ำขึ้นน้ำลง หรือมหาสมุทรโป่งออกมาทั้งสองด้านของโลก รวมถึงพื้นดินบางส่วนด้วยเช่นกัน อันที่จริงแล้วโลกไม่ได้กลมอย่างสมบูรณ์ แต่บริเวณเส้นศูนย์สูตรจะโป่งออกมาเล็กน้อย
แรงนี้จะไปดันต้านการหมุนของโลก ซึ่งทำให้โลกค่อย ๆ หมุนช้าลง ทำให้หนึ่งวันของโลกยาวขึ้น 1 วินาทีทุก ๆ 50,000 ปี และหากมนุษย์มีชีวิตอยู่นานพอ เราอาจจะได้ใช้ชีวิตในช่วงเวลาที่กลางวันอาจยาวนานเป็นเดือน แต่อย่างน้อยก็ไม่ใช่เร็ว ๆ นี้
โลกที่หมุนลงอย่างช้า ๆ ทำให้เราไม่ต้องกระเด็นไปไหนเนื่องจากแรงดึงดูดยังคงทำงานได้ดีเยี่ยม ทว่าหนึ่งวันที่ยาวนานขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อนาฬิกาชีวิตที่เคยชินกับ 24 ชั่วโมง ซึ่งไม่ใช่แค่มนุษย์เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นผึ้ง ต้นไม้ แมลง วาฬ ต่างก็ใช้จังหวะชีวิตไปตามการขึ้นลงของดวงอาทิตย์
รูปแบบอากาศก็จะเปลี่ยนไปอย่างรุนแรงเช่นกัน เนื่องจากลมที่เกิดขึ้นเพราะความแตกต่างด้านอุณหภูมิจะรุนแรงขึ้น ซึ่งมีสาเหตุจากด้านกลางวันที่มีอุณหภูมิสูงยาวนานขึ้น และด้านกลางคืนที่มีอุณหภูมิต่ำยาวนานขึ้นเช่นกัน ความแตกต่างนี้จะทำให้สภาพอากาศแปรปรวน
ไม่เพียงเท่านั้น นักวิทยาศาสตร์บางคนคิดว่าการหยุดหมุนของโลกอาจทำให้สนามแม่เหล็กหายไปด้วยเช่นกัน เนื่องจากสนามแม่เหล็กถูกสร้างโดยการเคลื่อนที่ของแกนโลหะเหลวของโลก ซึ่งเป็นผลมาจากการหมุนของโลก หากมันหายไป รังสีคอสมิกและพายุอนุภาคจากดวงอาทิตย์จะทำลายสิ่งมีชีวิตบนโลก
ท้ายที่สุด ตอนจบในเหตุการณ์นี้ก็ดูจะไม่ค่อยสวยงามเช่นเดียวกัน แต่ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล เพราะไม่มีอะไรมาทำให้โลกหยุดหมุนได้ทันที และต้องใช้เวลาอีกนานมากว่าที่โลกจะมีหนึ่งวันยาวนานนับเดือน โดยโลกหมุนไปอย่างเรื่อย ๆ ตามวิถีของมัน
สืบค้นและเรียบเรียง วิทิต บรมพิชัยชาติกุล
ที่มา
https://www.space.com/what-if-earth-stopped-spinning
https://www.livescience.com/what-if-earth-stopped-spinning.html
https://www.skyatnightmagazine.com/space-science/what-happen-earth-stopped-rotating