ไซโคพาธ – นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า ผู้หญิงอาจเป็นโรคนี้ได้มากกว่าเชื่อกันไว้ถึง 5 เท่า เนื่องจากอคติทางเพศทำให้อาการทางจิตของผู้หญิงมักถูกละเลย ทั้งที่มีความละเอียดอ่อนกว่า
เมื่อพูดถึงโรคไซโคพาธ (Psychopaths) ผู้คนมักนึกภาพ “บุคคลตัวอย่าง” ของโรคนี้ทันทีนั่นคือ แพทริค เบทแมน (Patrick Bateman) ดีไซเนอร์ชื่อดังจากภาพยนตร์เรื่อง ‘American Psycho’ ที่ใช้ชีวิตอย่างเลิศหรู แต่งกายดี และมีบุคลิกภาพที่น่าหลงใหลราวกับพระเจ้าได้ปั้นเขาอย่างใส่ใจ
ทว่าภายในใจลึก ๆ ของแพทริคนั้นกลับเรียกร้องอะไรที่น่ากลัวกว่านั้นซ่อนอยู่
เขามีความรุนแรงอยู่ในใจ และเริ่มทำการฆ่าผู้คนด้วยวิธีแปลกประหลาดเพื่อระบายความอัดอั้นใจนั้นออกมา
และเพื่อให้เขายังได้รู้สึกเป็นตัวเองบ้างในสังคมที่ต้องพยายามทำทุกอย่างให้ดูดีและสง่างามในสายตาผู้อื่น ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ผู้คนทั่วไป ‘ติดภาพ’ ว่าผู้ที่เป็นไซโคพาธนั้นน่าจะมีแต่ผู้ชายในโลกแห่งความจริง ขณะเดียวกันสื่อต่าง ๆ ก็พากันนำเสนอเรื่องราวความรุนแรงที่มักจะเกิดจากผู้ชายเช่นเดียวกัน
ทั้งหมดนี้ทำให้เราเกิดอคติทางเพศในไซโคพาธได้โดยไม่รู้ตัว แต่ ดร. ไคลฟ์ บอดดี (Clive Boddy) กล่าวว่า “ผู้หญิง” ก็อาจเป็นไซโคพาธมากกว่าที่คิดไว้ และบางทีอาจใกล้เคียงกับผู้ชายอย่างมาก
แต่ก่อนเราอาจต้องรู้จัก ‘โรคไซโคพาธ’ กันก่อนว่าคืออะไร?
Psychopath หรือ ไซโคพาธนั้นคือโรคบุคลิกภาพผิดปกติในแบบต่อต้านสังคมของมนุษย์ ซึ่งประกอบไปด้วยลักษณะอาการที่ขาดความเห็นใจผู้อื่น, ขาดความสำนึกผิด, ความรู้สึกด้านชาไม่เกรงกลัว, ขาดความยับยั้งชั่งใจ และ เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง ซึ่งหากถึงขั้นเป็นปัญหาในชีวิตประจำวันทั้งของตนเองและคนรอบข้าง ควรได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วนเพื่อไม่ให้อาการรุนแรงมากกว่าเดิมจนนำไปสู่เหตุการณ์สลดได้
“ไซโคพาธนั้นไล่ตามเงินทอง อำนาจ และการควบคุมคนอื่น” ดร. บอดดี จากมหาวิทยาลัยแองเกลีย รัสกิน ในสหราชอาณาจักร ผู้เชี่ยวชาญด้านไซโคพาธ กล่าว
โดยทั่วไปแล้วเชื่อกันว่าอัตราส่วนการเป็นไซโคพาธระหว่างผู้ชายและผู้หญิงอยู่ที่ 6 : 1 (ชาย 6 ต่อผู้หญิง 1) แต่ดร. บอดดี กลับคิดว่าอัตราส่วนที่แท้จริงจะอยู่ที่ 1.2 : 1 ต่างหาก (ชาย 1.2 : ผู้หญิง 1) ซึ่งมากกว่าที่เคยเชื่อกันถึง 5 เท่า
“เกือบจะเป็นแบบหนึ่งต่อหนึ่ง” ดร. บอดดี กล่าว “หลักฐานเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง ได้อธิบายว่าผู้หญิงที่เป็นไซโคพาธมีแนวโน้มที่จะแสดงความรุนแรงด้วยวาจามากกว่าทางกายภาพ โดยความรุนแรงนั้นมีลักษณะไปทางความสัมพันธ์และทางอารมณ์ ซึ่งละเอียดอ่อนกว่าและชัดเจนน้อยกว่าที่แสดงออกมาโดยไซโคพาธผู้ชาย”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้หญิงที่เป็นไซโคพาธนั้นไม่ได้เป็นประเภทที่ว่าลุกขึ้นมาทำร้ายคนอื่นทางกายภาพ แต่จะทำร้ายผู้อื่นด้วยวาจาและทำร้ายความรู้สึกของอีกฝ่ายมากกว่า ซึ่งรวมถึงการเผยแพร่ข่าวลือ และการโกหกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวด้วยเช่นกัน
ดร. บอดดีเสริมว่าปัญหาก็คือแบบประเมินที่ใช้ช่วยระบุลักษณะบุคลิกภาพที่เรียกว่า ‘Levenson self-report Psychopathy Scale’ (LSRP) นั้นเอนเอียงไปทางผู้ชายมากกว่า โดยส่วนแรกของแบบประเมินนั้นมุ่งเน้นไปที่อารมณ์โดดเดี่ยว ความเห็นแก่ตัว ความไม่ใส่ใจ และต้องการควบคุม ขณะที่สองส่วนต่อมาได้มุ่งเน้นไปที่ความรุนแรงและพฤติกรรมต่อต้านสังคม ซึ่งไม่มีความละเอียดอ่อนที่ครอบคลุมคำตอบและพฤติกรรมของผู้หญิง
“องค์ประกอบรองและมาตราการต่าง ๆ ส่วนใหญ่มาจากการศึกษาเกี่ยวกับอาชญากรที่ถูกจำคุกในขณะนั้นและเป็นไซโคพาธ (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย) ดังนั้นนักวิจัยในทุกวันนี้รู้สึกว่ามาตราการเหล่านั้นไม่เหมาะกับการระบุโรคไซโคพาธในผู้หญิง” ดร. บอดดี กล่าว
ทำให้ผลลัพธ์ทั้งหมดออกมาราวกับว่าผู้ชายเป็นไซโคพาธมากกว่าผู้หญิงในระดับที่สูงมาก ซึ่งก็เป็นเพราะแบบประเมินมีอคติทางเพศมาตั้งแต่ต้น ดร. บอดดี อธิบายเสริมว่าผู้ชายที่ถูกประเมินว่าเป็นมีลักษณะไซโคพาธจะมีอยู่ร้อยละ 23 ที่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะสร้างปัญหาให้กับสังคมได้
ขณะที่ผู้หญิงซึ่งอ้างอิงจากการศึกษาของดร. บอดดี เองประเมินว่าร้อยละ 12-13 ของผู้หญิงที่เป็นไซโคพาธก็สามารถสร้างปัญหาให้กับสังคมได้เช่นกัน ดังนั้นการพัฒนาแบบประเมินใหม่ที่ครอบคลุมจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้นั้น
การตระหนักถึงปัญหาไซโคพาธของทั้งชายและหญิงนั้นเป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากบุคลิกภาพของบุคคลนั้นอาจสร้างผลกระทบอย่างมากในที่ทำงานหรือในชีวิตประจำวัน พนักงานในบริษัทอาจถูกกีดกันด้วยมุมมองที่ไม่ยุติธรรม ถูกทารุณกรรมทางวาจา และรังแกด้านจิตใจ ท้ายที่สุดธุรกิจที่นำโดยบุคคลดังกล่าวอาจสูญเสียทิศทาง และส่งผลต่อทัศนคติขององค์กรขนาดใหญ่
“พวกเขา (ไซโคพาธ) มองเห็นความโลภ ความเท็จ และความโหดเหี้ยมของผู้นำระดับสูง และสิ่งนี้บ่อนทำลายประชาธิปไตยกับหลักนิติธรรม” ดร. บอดดีบอก ไม่เพียงเท่านั้นสิ่งนี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อระบบยุติธรรมทางอาญาได้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากไม่มีมาตราการที่ออกแบบมาระบุตัวอาชญากรที่เป็นผู้หญิง
“โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณอยู่ในระดับสูงทั้งในแง่ตำแหน่งและในแง่ของความอาวุโส ดังนั้นคุณจึงมีอำนาจและการควบคุมมากขึ้น จึงยิ่งจำเป็นต้องมีการตรวจคัดกรองและการทดสองไซโคพาธที่ครอบคลุมมากขึ้น” ดร. บอดดี กล่าว
ที่มา
https://neurosciencenews.com/female-psychopathy-psychology-25669/