ขณะดวงอาทิตย์สะฮาราโผล่ขึ้นเหนือทีมของผมที่ชะงักอยู่กลางทางในเช้าวันหนึ่งเมื่อเดือนกันยายนปี 2022 แสงแดดแผดเผาร้อนแรงเป็นพิเศษ เป็นเวลาเกือบสามสัปดาห์แล้วที่พวกเรากบดานอยู่ในอาคารกำแพงดินในเมืองโอเอซิสชื่ออากาเดซทางตอนกลางของไนเจอร์ เพราะถูกรั้งไว้จากเจ้าหน้าที่ทางการที่ยืนกรานจะจัดเตรียมหน่วยคุ้มกันติดอาวุธให้พวกเรา ตอนนี้ ขณะฟ้าสาง ในที่สุดเราก็พร้อมออกเดินทาง คณะเกือบร้อยชีวิตอัดกันอยู่ในพาหนะรวม 15 คัน พร้อมมุ่งหน้าสู่ภารกิจล่าไดโนเสาร์ในทะเลทราย ซึ่งเป็นครั้งที่ทะเยอทะยานสุดในชีวิตการทำงานของผม
สมาชิกในคณะของเรารวมถึงคนขับรถและมัคคุเทศก์ชนเผ่าทัวเรก ทีมถ่ายทำภาพยนตร์ เจ้าหน้าที่คุ้มกันติดอาวุธ 64 นาย และทีมบรรพชีวินวิทยาในฝันของผม ซึ่งประกอบด้วยนักศึกษา 20 คนกับทีมอาจารย์ที่ได้รับการคัดเลือกมาให้ใช้เวลาสามเดือนผจญภัยในภูมิประเทศที่ไม่เอื้อต่อการดำรงชีวิตมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ภารกิจของเราคือการสำรวจและขุดค้นแหล่งโบราณคดีแตกต่างกันสามแห่ง ที่กระจายอยู่ในทะเลทรายร้อนระอุและไร้ถนนหลายร้อยกิโลเมตร ฟอสซิลใดๆ ที่เราพบจะส่งไปยังห้องปฏิบัติการฟอสซิลของผมที่มหาวิทยาลัยซิคาโก เพื่อทำความสะอาดและศึกษาอย่างละเอียด จากนั้นจะส่งคืนไปจัดแสดงในไนเจอร์
ผมเคยเดินทางขวักไขว่ไปทั่วทะเลทรายสะฮาราในไนเจอร์มาแล้วระหว่างการสำรวจ 11 ครั้งก่อนหน้านี้ที่นับรวมเวลาย้อนกลับไปได้ 32 ปี สองครั้งหลังสุด เมื่อปี 2018 และ 2019 เป็นภารกิจสำรวจคร่าวๆ และผมเห็นจุดที่อุดมไปด้วยกระดูกหลายหย่อมในบริเวณที่ห่างไกลและมีทรายทับถมมากที่สุดแห่งหนึ่งของทะเลทรายแห่งนี้ โดยพบโครงกระดูกไดโนเสาร์โผล่ขึ้นมาจากพื้นทราย แต่แล้วก็เกิดการระบาดใหญ่ที่ทำให้ทั้งโลกหยุดชะงัก ผมใช้เวลาสองปีร่างแผนอันห้าวหาญพร้อมกับระดมทุน ซึ่งแทบไม่ประสบความสำเร็จ จนกระทั่งมีผู้อุปถัมภ์ซึ่งไม่ประสงค์ออกนามคนหนึ่งยินดีมอบทุนสนับสนุนภารกิจของผมทั้งโครงการ
ไม่มีใครรู้จักดินแดนนี้กับความลี้ลับของมันดีเท่าผู้คนที่อาศัยอยู่ที่นี่ และแหล่งขุดค้นของเราที่อยู่ใกล้อากาเดซมากที่สุด ก็เป็นการหวนคืนสู่การค้นพบอันเย้ายวนที่ชนเร่ร่อนเผ่าทัวเรกท้องถิ่นคนหนึ่งเคยพาเราไปดู ย้อนหลังไปหลายปีก่อน เขานำทางทีมของผมเข้าสู่ทะเลทรายไปยังจุดหนึ่งที่ชาวทัวเรกเรียกว่า ชินคันคาราน หรือ “ดงแมลง” เพราะมีตั๊กแตนมารวมฝูงกันหลังฝนตกตามฤดูกาล ตรงนั้นเป็นชั้นกรวดยกสูงราวสามเมตร ทอดยาวกว่าสองกิโลเมตรตัดผ่านที่ราบอีราเซอร์ที่มีต้นอะเคเซียขึ้นอยู่ประปราย บนสันเนินเตี้ยๆ แห่งนั้นมีข้อกระดูกสันหลังรูปทรงเหมือนกระสวยหรือแกนหลอดด้ายชุดหนึ่งโผล่พ้นผิวดินขึ้นมา การขุดแต่งเพิ่มเล็กน้อยเผยให้เห็นกระดูกสันหลังมากขึ้น ซึ่งเป็นของไดโนเสาร์ตัวยาว 15 เมตรในกลุ่มซอโรพอด อันเป็นการจำแนกทางอนุกรมวิธานสำหรับใช้เรียกไดโนเสาร์กินพืชที่มีลำคอยาว
ในการสำรวจรอบนี้ ทีมของผมกระจายกันออกไปเหนือเนินดังกล่าว และค้นพบสิ่งน่าทึ่งชุดหนึ่งอย่างรวดเร็ว โดยเจอเข้ากับสัตว์ใหญ่มหึมาเหล่านี้เพิ่มอีกสี่ตัว รวมถึงตัวที่ปลายคอมีของรางวัลทรงค่าที่สุดในโลกบรรพชีวินวิทยาติดอยู่ด้วย นั่นคือกะโหลกศีรษะ ทั้งสี่โครงเหมือนจะเป็นของชนิดพันธุ์ยังไม่ได้รับการตั้งชื่อชนิดเดียวกัน เราตั้งชื่อเล่นให้มันว่า ไอพอด (Ipod) ซึ่งย่อจากซอโรพอดบนที่ราบอีราเซอร์ (Irhazer Plain Sauropod) ส่วนทุ่งฟอสซิลที่เป็นเนินยกตัวนั้นก็ได้ชื่อเล่นว่า เกาะซอโรพอด
การค้นพบกระดูกที่เกาะซอโรพอดนับเป็นส่วนที่ง่าย ความท้าทายอยู่ที่ว่า เราจะเก็บทุกอย่างที่เห็นในช่วงสามสัปดาห์ที่อุทิศให้แหล่งดังกล่าวได้หมดหรือไม่ เครื่องไม้เครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ๆ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ ทั้งในแง่ความเร็วในการขุดค้น และการบันทึกภาพฟอสซิลขณะที่มันค่อยๆ ปรากฏให้เห็น สว่านสกัดหินที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรีลิเทียมเข้ามาที่แทนที่สิ่วและค้อนหินเป็นส่วนใหญ่แล้ว เช่นเดียวกับเครื่องเจาะหินไฟฟ้าน้ำหนักเบาที่มาแทนอีเต้อจีพีเอสและเทคโนโลยีการถ่ายภาพดิจิทัลเข้ามาแทนที่การเขียนแผนที่ด้วยมือ ขณะที่โดรนและโฟโตแกรมเมทรี [เทคนิคการวัดขนาดจากภาพถ่าย] ก็ช่วยให้สร้างภาพสามมิติได้ในไม่กี่นาที ตั้งแต่แหล่งขุดค้นแผ่กว้างไปจนถึงกระดูกรายชิ้น ที่เกาะซอโรพอด โดรนที่บินอยู่เหนือศีรษะบันทึกพื้นที่ขุดค้นของเราได้ทั้งหมด เผยให้เห็นร่องรอยของเราลดเลี้ยวระหว่างโครงกระดูกเหมือนเส้นทางขบวนมด
เรายังมีถิ่นกันดารห่างไกลยิ่งกว่ารออยู่ข้างหน้าที่แหล่งขุดค้นชื่อ กาดูฟาอัว ซึ่งว่ากันว่าหมายถึง “ดินแดนที่แม้แต่อูฐยังไม่กล้าย่างกรายเข้าไป” เป็นพื้นที่ซึ่งขึ้นชื่อว่าอุดมไปด้วยฟอสซิลมากที่สุดในแอฟริกา ตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาคเตเนเรที่แห้งแล้งยิ่งยวดของสะฮารา เป็นทะเลทรายในทะเลทรายอีกที แต่เมื่อหลายปีก่อนทีมของผมค้นพบฟอสซิลที่นั่น ซึ่งเป็นเครื่องเตือนใจว่าครั้งหนึ่งพื้นที่นี้เคยชุ่มชื้นเพียงใด ที่จริงแล้วมันไม่ใช่ไดโนเสาร์เลย แต่เป็นสัตว์ในอันดับจระเข้ขนาดใหญ่ที่สุดในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่กินไดโนเสาร์เป็นอาหาร ซึ่งก็คือ ซาร์โคซูคัส (Sarcosuchus) เราเลยเรียกมันว่า “ซูเปอร์คร็อก” ชื่อเล่นที่วงการสื่อเรียกติดปากเรื่อยมา
คุณจะรู้ว่ามาถึงกาดูฟาอัวแล้ว เมื่อเห็นกระดูกฟอสซิลแต้มสีแดงจากแร่เหล็กกระจายอยู่ทุกทิศทางท่ามกลางสันเนินหินเตี้ยๆ ตอนนั้น เราตามหาชนิดพันธุ์ที่มีชีวิตร่วมสมัยกับเจ้าซูเปอร์คร็อกในช่วงต้นยุคครีเทเชียสเมื่อราว 110 ล้านปีก่อน เป้าหมายแรกของเราคือ อูราโนซอรัส (Ouranosaurus) ไดโนเสาร์กินพืชที่มีแผงครีบหลังตัวยาว 9 เมตร ทีมของผมเคยเจอตัวหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนและกลบรักษาไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ลมกัดเซาะจนกว่าเราจะกลับมาในสักวันหนึ่ง เพียงไม่นานเราก็เจอมันอีกครั้ง เป็นกระดูกเหมือนแผ่นกระดานงดงามและยาวเท่าความสูงของคนเรียงตัวกันอยู่ชุดหนึ่ง แผ่ออกเหมือนหางแพนของนกยูง มันเป็นกระดูกครีบหลังของไดโนเสาร์สภาพสมบูรณ์ชิ้นแรกเท่าที่เคยค้นพบ และการศึกษามันจะช่วยไขปริศนาว่า รยางค์หรือส่วนที่ยื่นออกมาจากร่างกายเหล่านี้ใช้ประโยชน์อะไรในทางชีววิทยา
เราทำงานจนดึกดื่นเพื่อขุดเจ้า อูราโนซอรัส โดยอาศัยแสงโคมจากเครื่องปั่นไฟ การขุดค้นตลอดทั้งวันทั้งคืนนับว่ามีข้อดีเมื่ออยู่ใจกลางทะเลทรายสะฮารา อุณหภูมิตอนกลางคืนลดลงถึงครึ่งหนึ่งจากความร้อน 52 องศาในตอนกลางวัน รวมๆ แล้วเราขนฟอสซิลของ อูราโนซอรัส ออกมาได้ถึงสองตันในเวลาเพียงสามวัน
เรามุ่งหน้าสู่แหล่งสุดท้ายโดยเหลือเวลาเพียงสองสัปดาห์ในภาคสนาม รู้สึกได้ถึงความกดดัน ย้อนหลังไปสามปีก่อน เรามาที่นี่ ซึ่งอยู่ห่างจากอากาเดซไปทางตะวันออกราว 190 กิโลเมตร หลังจากตรวจสอบข้อความตอนหนึ่งในเอกสารวิชาการจากยุคทศวรรษ 1950 ผู้เขียนซึ่งเป็นนักธรณีวิทยาชาวฝรั่งเศสชื่อ อูก โฟร์ บรรยายถึงแหล่งตัดขาดห่างไกลแห่งหนึ่งที่เขาค้นพบเขี้ยวโค้งยาวเหมือนของ คาร์คาโรดอนโทซอรัส (Carcharodontosaurus) ไดโนเสาร์นักล่าของอียิปต์ที่มีลักษณะคล้าย ที. เร็กซ์ หลังจากพยายามพอสมควร เราก็พบแหล่งของเขา และยังพบฟันเพิ่มอีกจำนวนมาก ซึ่งยืนยันความเข้าใจของโฟร์เกี่ยวกับชั้นหินว่ามาจากยุคครีเทเชียสตอนปลาย หรือราว 95 ล้านปีก่อน
เราคงได้จากที่นั่นมาโดยไม่มีอะไรติดไม้ติดมือกลับมานอกจากฟันจำนวนหนึ่ง หากไม่ใช่เป็นเพราะอับดุล นัสเซอร์ ชายผู้แวะมาเยี่ยมค่ายของเราและเสนอตัวจะพาเราไปดูลานกระดูกแห่งหนึ่งที่ใหญ่กว่า ขณะที่เขานำทางพวกเราฝ่าลึกเข้าไปในภูมิประเทศที่เรียกว่า เอิร์ก (erg) หรือทะเลเนินทรายอันยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งของสะฮารา ตัดข้ามและเลาะเลี้ยวระหว่างเนินทราย รถแลนด์โรเวอร์ของเราประสบปัญหาอย่างมากในการตามให้ทันจักรยานยนต์ฮอนด้าของเขา กระทั่งอับดุลจอดรถข้างกระดูกต้นขาที่ยาวเท่าความสูงของผม ชัดเจนเลยว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของโครงกระดูกโครงหนึ่ง เพราะไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่กระดูกเต็มไปหมด
ด้วยแสงอาทิตย์และเชื้อเพลิงที่เหลือน้อยเต็มที เราทำได้เพียงจดพิกัดจีพีเอสของสถานที่ซึ่งมีชื่อว่า ฌองเกอบี และเก็บเศษกระดูกขากรรไกรไม่กี่ชิ้นติดมือมาด้วย ซึ่งเราคาดว่าเป็นของ คาร์คาโรดอนโทซอรัส แต่พอนำกลับมาประกอบที่ชิคาโก ผมถึงรู้ว่าฟันกับเบ้าฟันไม่มีชิ้นไหนเข้ากันได้เลย กลายเป็นว่ากระดูกเหล่านั้นเป็นของ สไปโนซอรัส (Spinosaurus) ไดโนเสาร์นักล่ามีแผงครีบบนหลัง นี่เป็นบันทึกแรกของสัตว์ที่ชื่นชอบน้ำเหล่านี้ตัวหนึ่งที่พบไกลเข้ามาในผืนแผ่นดินถึงเพียงนี้ และผมสงสัยว่ามันอาจจะเป็นชนิดใหม่
การกลับมายังฌองเกอบีนำพาเราผ่านภูมิประเทศแบบเอิร์กอีกครั้ง เราตั้งค่ายใกล้จุดที่พบเศษขากรรไกรและอยู่ที่นั่นยังไม่ทันจะหนึ่งชั่วโมงดี ตอนที่เพื่อนร่วมงานของผม แดน วีดัล นักบรรพชีวินวิทยาผู้คร่ำหวอดจากสเปน วิ่งเข้ามาหาผมพร้อมดวงตาเป็นประกาย “มันอยู่ตรงนี้!” เขาบอก “กะโหลกน่ะ!”
ผมเห็นทีมงานเกือบทั้งหมดรวมตัวกันรอบกระดูกส่วนจมูกและปากที่เรียงรายด้วยฟันโผล่ขึ้นมาจากหิน กระดูกเหล่านี้เป็นชิ้นส่วนกะโหลกของ สไปโนซอรัส ชิ้นแรกๆ ที่พบในสภาพสมบูรณ์ในรอบกว่าหนึ่งศตวรรษ เพื่อนร่วมงานของผมยืนตลึงอยู่ตรงนั้น ขณะที่ความสำคัญของการค้นพบนี้ค่อยๆ ซึมซาบเข้าไปในใจ บางคนถึงกับน้ำตาซึม ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา แดนก็มาหาผมอีกครั้ง คราวนี้เขาถือกระดูกรูปทรงเหมือนบูเมอแรงที่ดูไม่คุ้นตามาด้วย เราตระหนักว่ามันเป็นหงอน แต่หน้าตาประหลาดมาก เพราะชี้ขึ้นเป็นมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในไดโนเสาร์นักล่า และขณะที่หงอนของ สไปโนซอรัส ของอียิปต์มีลักษณะเป็นสัน ชิ้นนี้มีรูปทรงเหมือนดาบโค้งของชาวอาหรับ
ขณะทีมงานขุดกะโหลกดังกล่าว แดนซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโฟโตแกรมเมทรีของเรา ก็บันทึกโครงกระดูกที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นด้วยภาพถ่ายดิจิทัล คืนนั้น บนจอแล็ปท็อปในเต็นท์ เขาให้เราดูภาพสามมิติภาพหนึ่งที่สร้างจากการนำภาพถ่ายมาต่อเข้าด้วยกัน เป็นภาพกะโหลก สไปโนซอรัส มีหงอนสูงตัวใหม่ของเรา ทั้งทีมต่างอึ้งด้วยความตะลึง
เรากลับไปที่อากาเดซในสภาพอ่อนล้า มอมแมม แต่หัวใจพองโต พร้อมฟอสซิลเต็มตู้คอนเทนเนอร์ยาว 12 เมตรสองตู้ บนตาชั่งรถบรรทุก ความพยายามของเราชั่งน้ำหนักได้ 55 ตัน หรือสองเท่าของที่พวกเราหลายคนประเมินไว้ ส่วนผมตัวเบาขึ้น 14.5 กิโลกรัม แถมดีใจเป็นที่สุด พร้อมจะออกเดินทางจากไนเจอร์กลับชิคาโกโดยรู้ว่าในอีกไม่กี่เดือน ฟอสซิลของเราก็จะได้เดินทางตามมาสมทบโดยเร็วเช่นกัน
เรื่อง พอล เซเรโน
ภาพถ่าย คีท แลดซินสกี
แปล อัครมุนี วรรณประไพ