การค้นหาโหมดหลับจำศีล

“มนุษย์สามารถจำศีลได้จริงหรือ?

คำตอบของเรื่องนี้อาจไม่เพียงปฏิวัติวงการแพทย์

และพลิกโฉมการเดินทางในอวกาศ แต่ยังใกล้ความจริงมากกว่าที่คุณคิด”

สิบแปดชั่วโมงหลังทีมของคัลลาเวย์ที่ห้องปฏิบัติการสรีรวิทยาประยุกต์ของมหาวิทยาลัยพิตต์สเบิร์ก เริ่มให้ยาระงับประสาทแก่ชายดังกล่าว ซึ่งไปยับยั้งปฏิกิริยาหนาวสั่นตามธรรมชาติของร่างกาย อุณหภูมิร่างกายเขา ลดลงจาก 37 องศาเซลเซียมาอยู่ที่ 35  องศา อัตราการเต้นของหัวใจและความดันโลหิตของเขาลดลง เมแทบอลิซึม ดิ่งลงถึงร้อยละ 20 ทำให้ความต้องการอาหาร ออกซิเจน และการกำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ลดลงตามไปด้วย กระนั้นผู้เข้ารับการทดลองยังคงสามารถลุกจากเตียง เดินลากเท้าไปห้องน้ำเพื่อปัสสาวะได้ และเมื่อรู้สึกหิว ก็กดกระดิ่งขออาหารหรือเครื่องดื่มได้ ซึ่งลดความจำเป็นในการใช้สายสวนปัสสาวะหรือสายน้ำเกลือ อีกทั้งเป็นหลักประกันว่าเขายังสามารถตอบสนองและมีปฏิกิริยาโต้ตอบได้

โรเบิร์ต ฟุต อาสาสมัครในการทดลองในมนุษย์ที่เมืองพิตต์สเบิร์ก ซึ่งสนับสนุนโดยองค์การนาซา อยู่ภายใต้การเฝ้าติดตามอาการของนักวิทยาศาสตร์ หลังจากหลับไปเป็นเวลา 20 ชั่วโมง หากทำให้เกิดภาวะจำศีลได้ตามต้องการ นักวิจัยอาจปลดล็อกประโยชน์ทางการแพทย์มากมายหลายอย่าง ซึ่งรวมถึงการขยายระยะเวลาที่แพทย์มีเพื่อรักษาโรคหลอดเลือดสมองและภาวะหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน (ภาพถ่าย: ทิม บัตเลอร์, UPMC)

ชายผู้นี้เป็นหนึ่งในอาสาสมัครสุขภาพแข็งแรงเป็นพิเศษจำนวนห้าคน ซึ่งมีอายุตั้งแต่ 21 ถึง 54 และกำลังหลับเงียบเชียบท่ามกลางแสงสลัว โดยสมมุติว่าเป็นนักบินอวกาศที่อยู่ระหว่างเดินทางนานเก้าเดือนไปดาวอังคาร องค์การนาซามอบหมายให้คัลลาเวย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจและการรักษาด้วยการลดอุณหภูมิร่างกาย ค้นหาวิธีที่เรียบง่ายในการทำให้มนุษย์เข้าสู่ภาวะเลียนแบบคุณสมบัติสำคัญบางประการของการจำศีล  โดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ หรือยาระงับการเคลื่อนไหว ซึ่งการให้ยาเด็กซ์เมเดโทมิดีน (Dexmedetomidine) ในปริมาณที่อยู่ในการควบคุมอย่างระมัดระวังสามารถทำได้สำเร็จ คัลลาเวย์กล่าวในตอนนี้ว่า ผู้เข้ารับการทดลองของเขาอยู่ในสภาพงัวเงียเหมือนกำลังฝัน แต่ยังสามารถสั่งงานร่างกายในสถานการณ์ฉุกเฉินได้หากจำเป็น “เหมือนหมีเลยครับ”

เพื่อถอดรหัสการจำศีล นักชีววิทยาอย่างไฮโกะ ยานเซน กำลังศึกษาสัตว์จำศีลที่โดดเด่นที่สุดของโลกอย่างรอบคอบ นั่นคือ หมี หมีกริซลีทั้ง 11 ตัวที่อาศัยอยู่ในศูนย์ศึกษาของมหาวิทยาลัยวอชิงตันสเตตในเมืองพูลแมน เคยเป็นหมี “สร้างปัญหา” จากอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตน รวมทั้งลูกๆ ของพวกมันด้วย ปัจจุบัน พวกมันมีหน้าที่นอนเพื่อประโยชน์ทางวิทยาศาสตร์
หมีกริซลีที่ศูนย์ศึกษาของมหาวิทยาลัยวอชิงตันสเตตอยู่ภายใต้การเฝ้าติดตามในรังติดกล้องระหว่างพวกมันงีบหลับตลอดช่วงท้ายของการจำศีล ตลอดห้าเดือนที่พวกมันพักร่าง เมแทบอลิซึมของพวกมันลดลงอย่างมาก ซึ่งทำให้ความต้องการอาหารและออกซิเจนลดลงตามไปด้วย

มนุษย์ในภาวะจำศีลเป็นส่วนสำคัญของการเดินทางในอวกาศมานานแล้วในภาพยนตร์นิยายวิทยาศาสตร์ แต่นาซามีความทะเยอทะยานอันยิ่งใหญ่ที่จะส่งมนุษย์อวกาศไปยังดาวอังคาร อย่างเร็วที่สุดภายในทศวรรษ 2030 และการทำให้มนุษย์เข้าสู่ภาวะจำศีลได้จริงๆ ก็อาจเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายนั้นได้ ด้วยเหตุนี้ ทั้งนาซาและองค์การอวกาศยุโรป หรืออีซา (ESA) จึงสนับสนุนการศึกษาแบบเดียวกับที่ทีมของคัลลาเวย์ทำอยู่ ในทางทฤษฎี ภาวะจำศีลคล้ายกับหมีจะช่วยให้นักบินอวกาศหลับข้ามความน่าเบื่อหน่ายของการเดินทางยาวนานในอวกาศและจำกัดความขัดแย้งระหว่างลูกเรือ เมแทบอลิซึมที่ช้าลงของพวกเขาจะช่วยลดน้ำหนักระวางบรรทุกของยานได้ กล่าวคือภารกิจแต่ละเที่ยวจะจำเป็นต้องใช้อาหารและออกซิเจนน้อยลง ส่งผลให้ใช้เชื้อเพลิงน้อยลงตามไปด้วย งานวิจัยที่ได้ทุนสนับสนุนจากองค์การอวกาศเหล่านี้ยังมุ่งค้นหากระทั่งคำตอบว่า การชะลอเมแทบอลิซึมของคนจะช่วยลดกระทบต่อสุขภาพจากรังสีอันตรายด้วยหรือไม่ สิ่งนี้จะช่วยเกื้อหนุนความเป็นไปได้ของการเดินทางอันยาวนานในอวกาศซึ่งรังสีสูงกว่าในโลกถึง 200 เท่า 

เมื่อหมีกริซลีเริ่มขยับตัวในเดือนมีนาคม พวกมันตื่นแล้วแต่ยังซึมเซาอยู่ ร่างกายพวกมันจะเริ่มกระบวนการปรับอัตราเมแทบอลิซึมที่ช้าลงกลับสู่ภาวะปกติ หมีชื่อ อาดัก ในภาพนี้ จะได้รับรางวัลเป็นน้ำผึ้งและของอร่อยอื่น ๆ หลังจากที่มันยื่นขาออกมาให้เจาะเลือดแล้ว

กระนั้น นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ศึกษาการจำศีลเพียงเพื่อให้เราส่งมนุษย์อวกาศออกไปได้ลึกขึ้นเท่านั้นพลังพิเศษทางสรีรวิทยาของมันสามารถช่วยชีวิตผู้คนนับไม่ถ้วนในโลกได้ หากเราสามารถไขปริศนาลึกลับของการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในระดับโมเลกุลที่ทำให้สัตว์สลับเข้าออกได้จากภาวะจำศีลแบบหนึ่งที่เรียกว่า “ภาวะกบดาน” (torpor) ซึ่งเป็นกระบวนการพักตัวที่ย้อนกลับได้ราวปาฏิหาริย์ และมีลักษณะเด่นเป็นความเซื่องซึมอย่างรุนแรง อุณหภูมิร่างกาย และอัตราเมแทบอลิซึมลดต่ำลง ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งอื่นๆ อีกหลายประการ “หลักการ ที่ยอมรับกันมานานแล้วมีอยู่ว่า” คัลลาเวย์อธิบาย “เมื่ออุณหภูมิร่างกายลดลง เช่น ในสัตว์กำลังจำศีล คุณจะทนต่อภาวะขาดออกซิเจน ภาวะเลือดไหลเวียนไม่เพียงพอได้มากขึ้นและนานขึ้น” แต่เป็นเพราะอะไร และอะไรเป็นตัวกระตุ้นให้กระบวนการนี้เริ่มต้นขึ้นแต่แรก ในการสืบเสาะหาคำตอบ ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์เข้าใกล้การค้นพบอันทะเยอทะยานที่สุดแล้ว ซึ่งก็คือสวิตช์ส่วนกลางตัวหนึ่งในสมองสัตว์จำศีลที่ทำหน้าที่เปิดการทำงานของปรากฏการณ์ที่เป็นประโยชน์ต่าง ๆ ของการจำศีลพร้อมกันทั้งหมดในคราวเดียว

กระรอกดินอาร์กติกเป็นหัวใจสำคัญของงานวิจัยใหม่ที่มหาวิทยาลัยอะแลสกาแฟร์แบงส์ เพื่อพัฒนายาสำหรับมนุษย์ ที่เลียนแบบข้อดีจำนวนหนึ่งของการจำศีลลึก ซึ่งอาจเป็นประโยชน์กับแพทย์ที่พยายามกู้ชีพผู้ป่วยโรคหัวใจหรือบาดเจ็บทางสมอง

ตัวอย่างเช่น การเลียนแบบอุณหภูมิร่างกายที่ลดลงของหมีจำศีลอาจช่วยขยายช่องเวลาแคบๆ ที่แพทย์ต้องให้การรักษาอย่างเร่งด่วนระหว่างเกิดโรคหลอดเลือดสมองหรือภาวะที่สมองขาดเลือดหรือมีเลือดออกในสมองอย่างเฉียบพลัน และภาวะหัวใจวาย ความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้นว่า หมีจำศีลสามารถรักษามวลกล้ามเนื้อ รวมทั้งเปิด-ปิดกลไกของภาวะดื้ออินซูลินได้อย่างไร จะมีประโยชน์แง่อื่นๆ ด้วย เช่นอาจช่วยให้เรารักษาโรคอ้วนเรื้อรังและเบาหวาน ในมนุษย์ได้ ผู้ป่วยไอซียูอาจสูญเสียมวลกล้ามเนื้อมากกว่าร้อยละ 10 ภายในเจ็ดวัน การทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะจำศีลจะชะลอหรือกระทั่งหยุดยั้งความเสื่อมถอยนี้ได้หรือไม่

ขณะถูกย้ายออกชั่วคราวจากรังจำศีลที่ปรับให้เย็นเยือกมาวางไว้บนกองขี้เลื่อย กระรอกดินอาร์กติกตัวนี้ยังคงอยู่ในภาวะกบดานนานกว่าหนึ่งชั่วโมงก่อนจะเริ่มขยับตัว กระรอกชนิดนี้อยู่รอดจากการจำศีลที่ยาวนานได้ด้วยการปรับให้ร่างกายอุ่นขึ้นเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ทุกสองสามสัปดาห์
หนูไม่จำศีล แต่จะเป็นอย่างไรถ้าพวกมันทำได้ นักประสาทวิทยา โดเมนีโก ตูโปเน กับเพื่อนนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยออริกอน บอกว่า พวกเขาค้นพบ “สวิตช์กบดาน” ในเซลล์ประสาทสมองของหนู (ที่ฉายอยู่บนผนัง) ซึ่งสามารถเปิดให้ทำงานเพื่อส่งสัตว์ฟันแทะเหล่านี้เข้าสู่ภาวะจำศีลลึกได้ การระบุระบบวงจรนี้ได้ในสัตว์ไม่จำศีลจะเป็นความก้าวหน้าครั้งสำคัญในความพยายามทำให้มนุษย์จำศีลได้

นักวิทยาศาสตร์ไม่เพียงกำลังค้นหาคำตอบจากแค่หมีเท่านั้น เพราะแน่นอนว่าหมีไม่ใช่สัตว์ชนิดเดียวที่จำศีล นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยยูซีแอลเอซึ่งอยู่ระหว่างตรวจสอบยีนของมาร์มอตท้องเหลือง ค้นพบเมื่อไม่นานมานี้ว่า “กระบวนการชราภาพเชิงอิพิเจเนติก” [epigenetic aging – การเสื่อมชราที่อยู่เหนือกลไกทางพันธุกรรม] ของพวกมัน “แทบจะเรียกได้ว่าหยุดนิ่ง” ในช่วงเจ็ดถึงแปดเดือนที่พวกมันจำศีลในแต่ละปี ผู้เชี่ยวชาญในเยอรมนีกำลังศึกษาว่า ค้างคาวสามารถรักษาระบบไหลเวียนโลหิตที่อุณหภูมิต่ำได้อย่างไร โดยหวังจะนำมาประยุกต์ใช้ในการจำศีลของมนุษย์ ขณะที่นักชีววิทยาที่มหาวิทยาลัยอะแลสกาแฟร์แบงส์กำลังศึกษากระรอกชนิดหนึ่งที่ลดอุณหภูมิร่างกายลงได้ถึง 40 องศาเซลเซียส และลดอัตราการเต้นของหัวใจเหลือเพียงห้าครั้งต่อนาที รวมถึงอยู่รอดได้ถึงแปดเดือนในอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง เป้าหมายของพวกเขาคือการพัฒนายา “เลียนแบบการจำศีล” ที่อาจช่วยให้แพทย์นำมนุษย์เข้าสู่ภาวะจำศีลได้ทันทีอย่างปลอดภัย ยาที่ว่าจะลดอัตราเมแทบอลิซึมภายในเซลล์ลงได้ทันที รวมทั้งชะลอการตายของเซลล์ และเร่งให้เกิดกระบวนการทางชีวภาพอื่นๆ ทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับการจำศีล

“หมียังคงเป็นตัวเปรียบเทียบที่ดีกับศักยภาพของเราเอง กล่าวคือ อย่างน้อยขนาดตัวก็ใกล้เคียงกับเรามากกว่าพวกสัตว์ฟันแทะ

และบางทีสิ่งสำคัญที่สุดคือ อุณหภูมิร่างกายที่ต่ำลงขณะพวกมันหลับลึกนั้น ยังอยู่ในช่วงที่มนุษย์สามารถอยู่รอดได้”

เรื่อง แอดัม พีโอเร

ภาพถ่าย คอรีย์ อาร์โนลด์ 

แปล อัครมุนี วรรณประไพ


อ่านเพิ่มเติม : แก่ขึ้น… เก่งขึ้น อายุวัฒนะ : เรียนรู้จากบุคคลในตำนาน

© COPYRIGHT 2025 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.