อนาคตของแฟชั่น จากฟาร์มส่งตรงถึงตู้เสื้อผ้า

“เช้าอากาศชื้นวันหนึ่งของเดือนธันวาคมในอัมบาราวา

เมืองในเขตภูเขาของจังหวัดชวากลาง”

สตรีผู้หนึ่งในชุดเสื้อกั๊กแขนกุดสีดำสนิทกับกระโปรงจับจีบ ทรงตัวบนเบาะหลังรถจักรยานยนต์ที่พาเธอลัดเลาะเข้าหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งผ่านบ้านเรือนตกแต่งด้วยต้นไม้เมืองร้อนและกรงนก ก่อนเข้าสู่ป่าผืนหนึ่ง ผืนดินตรงนี้ ห่างจากเมืองหลวงจาร์กาตาราว 480 กิโลเมตร แน่นขนัดไปด้วยไม้พุ่มและไม้ยืนต้นที่ให้ผลผลิตหลากหลาย รวมถึงมันสำปะหลังและกาแฟ แต่เป็นพื้นป่าแห่งนั้นที่นำพาเดนีกา รีอาดีนี-เฟลช วัย 34 ปี มายังซอกมุมนี้ของประเทศบ้านเกิดของเธอ ในร่มเงาต้นกล้วย มะละกอ และมะพร้าว เธอกำลังพยายามหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งการปฏิวัติในรูปของดงห้อมสดใสหลายร้อยต้นที่ทอประกายสีเขียวอ่อนมันวาวอยู่ทั่วพื้นดิน

รีอาดีนี-เฟลช เป็นผู้ก่อตั้ง “สุขจิตตะ” (SukkhaCitta) แบรนด์แฟชั่นที่จับมือเป็นพันธมิตรกับชาวสวนและช่างฝีมือชาวอินโดนีเซียหลายร้อยคนบนเกาะชวา และเกาะใกล้เคียงอย่างบาหลี ฟลอเรส และติมอร์ตะวันตก และเป็นบริษัทของเธอนี่เองเสริมส่งความสำเร็จให้พืชเศรษฐกิจใหม่ชนิดนี้ เดิมทีต้นครามที่ใช้กันทั่วไปในอัมบาราวาต้องการแสงแดดมาก รีอาดีนี-เฟลชตระหนักว่า หากจะส่งเสริมให้เจริญเติบโตได้ดี ต้องแลกด้วยการตัดต้นไม้ออก เธอจึงเสนอให้ชาวสวนปลูกพืชให้สีครามอีกชนิดหนึ่งแทน นั่นคือ ห้อม (Strobilanthes cusia) ที่เจริงญอกงามดีในที่ร่ม ทุกวันนี้ป่าผืนดังกล่าวละลานด้วยต้นห้อมที่นำรายได้สำคัญมาสู่ชุมชน พร้อมกับป้อนสีย้อมสดใสให้เสื้อผ้าของสุขจิตตะ

แบรนด์แฟชั่น “สุขจิตตะ” เสนอทางเลือกใหม่แทนเสื้อผ้าผลิตจากโรงงาน โดยทำงานร่วมกับชาวไร่ที่ปลูกฝ้ายแนวฟื้นฟู และช่างฝีมืออย่างอากัสติน นิงกรัม และมุนตีอานี

ที่กล่าวมารวมถึงเครื่องแต่งกายที่รีอาดีนี-เฟลชสวมใส่เอง ซึ่งออกมาเป็นโทนสีดำธรรมชาติหลังจากย้อมด้วยใบห้อมหมัก 30 ครั้ง กระบวนการพิถีพิถันเช่นนี้คือหัวใจของแบรนด์แฟชั่นสุขจิตตะ ที่คำนึงถึงจริยธรรมและความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม

ห้อมเป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งในห่วงโซ่อุปทานที่โปร่งใสชนิดถึงแก่นของสุขจิตตะ ผ้าทุกชิ้นในคอลเล็กชันจากฟาร์มตรงถึงตู้เสื้อผ้าของแบรนด์นี้ รังสรรค์จากพืชล้วนๆ ตั้งแต่เส้นใยธรรมชาติที่ตรวจสอบย้อนกลับได้จนถึงสีย้อมจากพืชที่เพาะปลูกตามระบบเกษตรกรรมฟื้นฟู เส้นใยฝ้ายจะปั่นด้วยมือและทอด้วยเครื่องทอมือ ผ้าจะได้รับการตกแต่งลวดลายโดยช่างฝีมือพื้นเมืองผู้ชำนาญเทคนิคการลงขี้ผึ้งด้วยมือที่เรียกว่าบาติก ก่อนจะนำไปย้อมในกระบะสี ตากแดด และตัดเย็บเป็นเสื้อผ้าในท้ายที่สุด กระบวนการทั้งหมด ตั้งแต่เมล็ดพันธุ์จนเป็นเครื่องแต่งกาย ใช้เวลาประมาณ 60 ถึง 180 วัน เมื่อเสร็จสมบูรณ์ เสื้อผ้าจะถูกส่งไปยังร้านเรือธงของสุขจิตตะในจาการ์ตา จำหน่ายออนไลน์ หรือขายในร้านบูติกที่ได้รับการคัดเลือกในสิงคโปร์และนิวยอร์ก

เดนีกา รีอาดีนี-เฟลช ผู้ก่อตั้งสุขจิตตะ ยืนกลางดงห้อมในป่าแห่งหนึ่งของจังหวัดชวากลาง เดิมทีครามซึ่งเป็นสารสีเก่าแก่โบราณที่ใช้ในการย้อมผ้ามักปลูกในแปลงกลางแจ้ง แต่สุขจิตตะสนับสนุนให้ชาวไร่ปลูกห้อม พืชให้สีครามอีกชนิดหนึ่งที่ต้องการแสงแดดน้อยกว่า เพื่อป้องกันการตัดไม้ทำลายป่า

ขบวนการสโลว์แฟชั่น (slow-fashion) ตามที่เรียกขานกันนี้ เกิดขึ้นเพื่อคัดง้างโดยตรงกับค่านิยมฝั่งฟาสต์แฟชั่น (fast fashion) ซึ่งเป็นกระบวนการผลิตจากโรงงานอันแพร่หลาย หลากล้นไปด้วยส่วนเกินและของเสีย ผู้ผลิตเสื้อผ้าจำนวนมากในปัจจุบันมีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมมูลค่ากว่า 100,000 ล้านดอลลาร์ที่ผลิตเสื้อยืด โพลีเอสเตอร์และเลกกิ้งสแปนเด็กซ์ราคาถูกที่ต้องแลกมาด้วยการเอารัดเอาเปรียบแรงงานและสิ่งแวดล้อมในอินโดนีเซีย แม่น้ำชิตารัมซึ่งเป็นแหล่งน้ำดื่มและการชลประทานสำคัญ ปนเปื้อนสารเคมีเป็นพิษที่ถูกทิ้งลงทางน้ำโดยโรงงานสิ่งทอที่เรียงรายอยู่บนฝั่งแม่น้ำ ขณะที่ผลกระทบระดับโลกแผ่ไปไกลกว่านั้นมาก ตั้งแต่ทะเลทรายอาตากามาในภาคเหนือของชิลีจนถึงบ่อกลบฝังขยะนอกเมืองหลวงอักกราของกานา ภูเขาเสื้อผ้าทิ้งแล้วกองพะเนินสูงขึ้นทุกปี

สุขจิตตะไม่ใช่แบรนด์แรกที่ให้พิมพ์เขียวทางเลือกในกระบวนการสร้างแฟชั่น และต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาในความจริงพื้นฐานข้อหนึ่ง นั่นคือ เสื้อผ้าที่ผลิตด้วยความพิถีพิถันและเอาใจใส่จะมีราคาค่อนข้างแพงกว่าทางเลือกอื่นๆ แต่รีอาดีนี-เฟลชเชื่อว่า หากผู้ซื้อเข้าใจคุณค่าของสิ่งที่ตนจ่ายเงินซื้อ พวกเขาจะตระหนักได้ว่า เสื้อผ้าราคาถูกมีราคาต้องจ่ายสูงกว่ามาก “เสื้อผ้าเปลี่ยนโลกไม่ได้ แต่ผู้คนที่สวมเสื้อผ้าเหล่านั้นจะเปลี่ยนโลกได้” เธอบอก

ขณะที่อินโดนีเซียมีความก้าวหน้าในการลดความยากจน ร้อยละเก้าของประชากรยังต้องดิ้นรนเพื่อให้ได้ค่าจ้างเพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ ตัวเลขนี้หมายถึงคนประมาณ 24 ล้านคน ซึ่งจำนวนมากอาศัยอยู่ตามหมู่บ้านในชนบท ระหว่างเติบโตขึ้นในจาการ์ตา รีอาดีนี-เฟลชสัมผัสปัญหาความไม่เท่าเทียมที่หยั่งรากลึกของประเทศ และศึกษาด้านเศรษฐศาสตร์การพัฒนาในมหาวิทยาลัย หลังทำงานที่ธนาคารโลกอยู่พักหนึ่ง เธอมีโอกาสได้เรียนรู้ความจริงข้อนี้อย่างลึกซึ้ง เมื่อเธอเริ่มเดินทางท่องชนบทในปี 2013

ที่โรงเรียนหัตถกรรมที่ได้รับทุนสนับสนุนจากสุขจิตตะ ผู้เข้าฝึกอบรมจะทำสีย้อมผ้าจากห้อมโดยใช้เทคนิคที่ตกทอดมา เริ่มจากหมักใบห้อมในกระบะคอนกรีต ก่อนจะผสมน้ำหมักที่ได้กับหินปูนเพื่อผลิตของเหลวหนืดข้นเป็นฟอง

รีอาดีนี-เฟลชไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับแฟชั่น แต่วันหนึ่งเธอพบกับสตรีช่างฝีมือบาติกสามคนในหมู่บ้านย่านชานเมืองตูบันในชวาตะวันออก สตรีทั้งสามบอกเธอว่า พวกเธอเรียนรู้หัตถกรรมนี้จากแม่ของพวกเธอ ซึ่งย้อมผ้าด้วยสีย้อมธรรมชาติ แต่ประเพณีของพวกเธอกำลังตกอยู่ในความเสี่ยง ความที่มีทรัพยากรจำกัด ช่างฝีมือเหล่านั้นจึงเปลี่ยนไปใช้สีย้อมเคมีที่ถูกกว่าและหาได้ง่ายกว่า  แต่ทำให้ปอดของพวกเธอแสบร้อน ทั้งสามคนเป็นแม่ หรือ อีบู ที่กังวลว่าจะหาเลี้ยงครอบครัวไม่ได้ ก่อนหน้านั้น รีอาดีนี-เฟลชไม่เคยคิดถึงเรื่องวิธีการผลิตเสื้อผ้า “มันทำให้ฉันตระหนักได้ว่า เพราะไม่รู้ ฉันจึงเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาด้วย” เธอบอก

ในช่วงหลายเดือนต่อมา รีอาดีนี-เฟลชเห็นปัญหาอื่นๆ ในห่วงโซ่อุปทานของแฟชั่นสมัยใหม่ ซึ่งไม่เพียงกระทบถึงช่างฝีมือ แต่ยังรวมถึงชาวไร่ที่ทิ้งการปลูกฝ้ายมาปลูกพืชไร่เชิงเดี่ยวอย่างข้าวโพด สร้างความเสื่อมโทรมให้สุขภาวะของดิน ต้นไม้ และสัตว์ป่า ซึ่งเติบโตได้ดีในความหลากหลายทางการเกษตร วิถีปฏิบัติเก่าแก่ทั้งสองอย่างนี้ ซึ่งได้แก่งานหัตถกรรมและการทำเกษตร หยั่งรากลึกในวิถีชีวิตหมู่บ้าน วีถีเหล่านี้ต้องได้รับการฟื้นฟูกลับคืนมาเธอตระหนักได้ว่า สโลว์แฟชั่นอาจสร้างเส้นทางใหม่ให้กับการเปลี่ยนแปลงได้

ช่วงแรกๆ เหล่าอีบูทั้งสามยังระแวงรีอาดีนี-เฟลช เพราะในสังคมอินโดนีเซียมีการแบ่งชนชั้นอย่างชัดเจน แม้เธอจะมีเงินทุนเพียง 2,000 ดอลลาร์ เธอใช้เงินก้อนนั้นจ่ายให้ช่างฝีมือบาติกเป็นค่าจ้างที่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ ซึ่งเปิดโอกาสให้เธอรังสรรค์ตัวอย่างแรกของเธอขึ้นมา ซึ่งก็คือผ้าพันคอแบนดานาที่เธอเรียกว่า กูปู หรือผีเสื้อ พอถึงปี 2019 หรือสามปีหลังการจัดตั้ง บริษัทของเธอดึงดูดความสนใจจากชาวบ้านใกล้เมืองตูบันได้มากพอจนเปิดโรงเรียนหัตถกรรมแห่งแรกโดยร่วมมือกับมูลนิธีรูมะห์สุขจิตตะที่ได้ทุนสนับสนุนจากผลกำไรของบริษัท การบริจาคเงินช่วยเหลือ และเงินรางวัลสำหรับผู้ประกอบการจากองค์กรไม่แสวงกำไรและกลุ่มให้ความช่วยเหลือต่างๆ

โรงเรียนดังกล่าวจัดเวิร์กช็อปให้ช่างฝีมือสอนเทคนิคการทำผ้าบาติกแก่คนหนุ่มสาว และชาวไร่สามารถเรียนรู้วิธีปลูกฝ้ายแนวฟื้นฟูได้ ตอนนี้ ชาวบ้านกำลังใช้ประโยชน์จากเทคนิคพื้นเมืองอย่างหนึ่งที่เรียกกันในท้องถิ่นว่า ตุมปังซารี ที่ให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกกับการเพาะปลูกพืชหลายชนิดรวมกัน ซึ่งช่วยให้พวกมันบำรุงเลี้ยงกันและกันได้ ฝ้ายจะถูกปลูกเคียงข้างข้าวโพดที่ให้ร่มเงา พริกช่วยควบคุมศัตรูพืช และถั่วลิสงช่วยเติมไนโตรเจนให้ดิน วิธีการนี้เปิดโอกาสให้ชาวอินโดนีเซียในชนบทปลูกฝ้ายเพื่อป้อนให้สุขจิตตะได้ ขณะที่มีอาหารเลี้ยงครอบครัวมากขึ้น และสามารถจำหน่ายพืชผักหรือถั่วที่เพิ่มขึ้นมาเป็นรายได้เสิรม

ทุกวันนี้ รีอาดีนี-เฟลชกับบรรดาอีบูโอบกอดกันเหมือนครอบครัว ระหว่างการเยี่ยมเยือนครั้งหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ เธอพูดคุยหยอกล้อกับสตรีทั้งสามไปด้วย ระหว่างที่พวกเธอจุ่มเครื่องมือ หรือ จานติง ลงไปในขี้ผึ้งร้อนๆ และวาดลวดลายลงบนผ้า ความรู้สึกไว้เนื้อเชื่อใจโอบล้อมคนทั้งกลุ่ม การกอบกู้งานหัตถกรรมของพวกเธอกลับมาเปิดโอกาสให้พวกเธอฟื้นคืนอัตลักษณ์และความมั่นใจ “ที่ไหลอยู่ในเส้นเลือดพวกเราไม่ใช่เลือดนะคะ” อีบูคนหนึ่งเคยบอกกับรีอาดีนี-เฟลช “แต่เป็นขี้ผึ้งร้อนๆ ค่ะ”

ตั้งแต่การย้อมด้วยคราม การทอผ้าฝ้าย จนถึงศิลปะทำผ้าบาติกซึ่งช่างฝีมือใช้ขี้ผึ้งร้อนๆ วาดลวดลายซับซ้อนลง บนผ้า สุขจิตตะกำลังป่าวประกาศเรื่องราวแท้จริงเบื้องหลังเสื้อผ้าของแบรนด์

ทั่วโลก ผู้ประกอบการอื่นๆ กำลังพัฒนาธุรกิจสโลว์แฟชั่นของตนเอง  สินค้าที่ขายมีตั้งแต่เสื้อหนาวขนอัลปากาผลิตในเปรูที่จัดหาวัตถุดิบอย่างมีจริธรรม ไปจนถึงหนังวีแกนทำจากกระบองเพชรและส้มในซิซิลี  โดยส่วนตัว รีอาดีนี-เฟลชชื่มชม เวฌา (Veja) ซึ่งเป็นแบรนด์ฝรั่งเศสที่ผลิตรองเท้าผ้าใบจากฝ้ายอินทรีย์และยางพาราจากแอมะซอน

ในความเห็นของรีอาดีนี-เฟลช กิจการเหล่านี้เปิดมุมมองใหม่ๆ ให้ผู้คนเข้าใจว่า พวกเขามีทางเลือกอื่นนอกเหนือจากแฟชั่นที่พึ่งพาการสกัดทรัพยากร “เราไม่เคยมองว่าตัวเองมีคู่แข่ง” เธอบอก “มันเป็นเรื่องของการเปลี่ยนกระบวนทัศน์”

หนึ่งในความพยายามล่าสุดของเธอปรากฏเป็นรูปธรมเมื่อเดือนพฤศจิกายนปี 2024 ตอนที่สุขจิตตะเปิดบูติกป๊อป-อัปในห้างระดับบนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสาขาที่สองของแบรนด์ในจาการ์ตา วัตถุประสงค์หลักข้อหนึ่งของร้าน คือการจัดนิทรรศสัญจรเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทานของสุขจิตตะ ในตู้กระจกใสมีดินจากเรือกสวนของหมู่บ้านต่างๆ  มีการจัดแสดงวงจรชีวิตของต้นฝ้าย รวมทั้งวิดีโอสัมภาษณ์เหล่าอีบูที่แสดงให้เห็นความรักและแรงงานที่มองไม่เห็นที่อยู่เบื้องหลังผลิตภัณฑ์แต่ละชิ้น  การนำเสนอน่าสะดุดตาที่สุดอย่างหนึ่งอธิบายให้เห็นว่า เสื้อผ้าของแบรนด์ผลิตขึ้นเป็นพิเศษอย่างไรเพื่อให้หวนคืนสู่ดินแทนที่จะไปลงเอยในบ่อกลบฝังขยะ ในตู้จัดแสดงใบหนึ่งที่ปูด้วยดินแสดงให้เห็นการย่อยสลายของผ้าฝ้ายชิ้นหนึ่งของสุขจิตตะในช่วงเวลาหกสัปดาห์ โดยท้ายที่สุดจะกลายเป็นเศษเล็กเศษน้อยที่ใช้ผสมปุ๋ยหมักได้ รีอาดีนี-เฟลชหวังจะนำนิทรรศกรนี้ไปตระเวนแสดงทั่วโลกตามร้านป๊อป-อัปที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

ของเสียจากสีย้อมผ้าสังเคราะห์ของผู้ผลิตเสื้อผ้าจำนวนมาก ทำให้แม่น้ำบางสายในอินโดนีเซียเป็นพิษ กระบวนการย้อมสีของสุขจิตตะให้ทางเลือกที่เป็นธรรมชาติสำหรับคนงานและสิ่งแวดล้อม

สิ่งหนึ่งที่สุขจิตตะจะไม่ทำ คือการทำตามปฏิทินแฟชั่นตามฤดูกาลแบบดั้งเดิม หรือใช้งานช่างฝีมือหรือที่ดิน ที่บริษัทบริหารจัดการหนักเกินไป หากความต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ใดๆ พุ่งสูงขึ้น แต่เงื่อนไขทางสิ่งแวดล้อมไม่เอื้อต่อการจัดหาวัตถุดิบเพื่อผลิตอย่างยั่งยืนแล้ว บริษัทจะแค่ประกาศว่า สินค้านี้ขายหมดแล้ว

“คุณจะเติบโตอย่างไร้ขีดจำกัดไม่ได้ในโลกที่มีขีดจำกัดค่ะ” รีอาดีนี-เฟลชกล่าว

นั่นคือภูมิปัญญาที่แบ่งปันโดยเหล่าอีบู ผู้สอนให้รีอาดีนี-เฟลชเข้าใจปรัชญาอีกข้อที่เป็นแรงบันดาลใจให้เธอในทุกๆ วัน นั่นคือ “อูริป อีกู อูรัป” เรามีชีวิตอยู่เพื่อส่องแสงสว่าง

เรื่อง คลอเดีย คัลบ์

ภาพถ่าย มุฮัมมัด ฟัดลี

แปล อัครมุนี วรรณประไพ


อ่านเพิ่มเติม : “สุสาน ฟาสต์แฟชั่น ”

มหึมากลางทะเลทราย ขยะเสื้อผ้าจากทั่วโลก

© COPYRIGHT 2025 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.