ก่อนที่เบธ ร็อดเดน จะกลายเป็นที่รู้จักในนาม “คุณแม่นักไต่” เธอเคยเป็นหนึ่งใน นักไต่เขา ลำดับต้นๆ ของโลกมาก่อน
ระหว่างปี 2000 ถึง 2008 ร็อดเดนและอดีตสามี ทอมมี คาลด์เวลล์ (Tommy Caldwell) ได้พิชิตเส้นทางจำนวนมากที่นักปีนเขาคนอื่นคิดว่าไม่สามารถไต่ได้ ทั้งสองเป็นดาวเด่นในวงการปีนเขาตั้งแต่ก่อนเริ่มร่วมทีมกันในปี 2000 โดยคาลด์เวลล์เป็นหนึ่งในบรรดานักไต่เขาที่มีความสามารถรอบด้านที่สุดในอเมริกา ส่วนร็อดเดนเป็นแชมป์การไต่เขาเชิงกีฬาในระดับชาติ และเพิ่งกลายเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่สุด (18 ปี) ที่พิชิตเส้นทางระดับความยาก 5.14a ได้
หนึ่งในการพิชิตเส้นทางใหม่ครั้งสำคัญที่สุดของพวกเขาคือ “การเดต” ครั้งแรก ซึ่งเป็นการไต่เส้นทาง เลอร์กกิงเฟียร์ (Lurking Fear) หน้าผาด้านตะวันตกเฉียงใต้ของ เอลแคพิแทน (El Capitan) ในอุทยานแห่งชาติโยเซมิที (Yosemite) ในรัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นระยะเวลา 5 วัน ในการไต่เขาครั้งนี้ ทั้งคู่ทำในสิ่งที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน นั่นคือการพิชิตเส้นทางดังกล่าวด้วยมือเปล่า (Free Climbing) การที่ไม่มีใคร (รวมถึงบรรดายอดนักปีนเขาของโลก) พิชิตเส้นทางนี้ด้วยมือเปล่าได้ในอีก 19 ปีให้หลัง เป็นข้อพิสูจน์ถึงความยากลำบากของมันได้เป็นอย่างดี
“ฉันคิดว่าพวกเราพยายามทำให้อีกฝ่ายประทับใจ” ร็อดเดนกล่าว “ฉันรู้ตัวว่าทำแบบนั้น ฉันแค่พยายามไล่ตามทอมมีให้ทัน”
แม้มีบ่อยครั้งที่นักไต่เขาหญิงระดับต้นหลายคนในยุคนี้ สามารถสร้างชื่อเสียงจากการพิชิตเส้นทางที่เพศชายเคยไต่สำเร็จในฐานะผู้หญิงคนแรก ชีวิตการปีนผาของร็อดเดนนั้นโดดเด่นเป็นพิเศษ เนื่องจากการไต่ผาอันน่าจดจำหลายครั้งของเธอ คือการพิชิตเส้นทางใหม่ที่ไม่มีผู้ใดเคยไต่มาก่อน
ในปี 2008 ร็อดเดนเป็นผู้แรกที่ไต่เส้นทางเมลต์ดาวน์ (Meltdown) ในโยเซมิที รอยหินแยกระยะทาง 21 เมตรซึ่งมีความแคบดุจเส้นผมแห่งนี้ มีระดับความยากในการปีนถึง 5.14c ซึ่งเป็นความยากที่ผู้หญิงน้อยคนเคยได้ปีน จนทุกวันนี้ เมลต์ดาวน์ยังคงเป็นจุดปีนผาแบบดั้งเดิม (Trad Climb หรือการปีนโดยไม่มีโบลท์ยึด หรือ Fixed Bolt) ที่ยากที่สุดที่ผู้หญิงเคยไต่ และยังคงเป็นหนึ่งในจุดปีนผาแบบดั้งเดิมที่โหดหินที่สุดที่เคยมีมา
แม้ นักไต่เขา ผู้ชายชื่อเสียงโด่งดังหลายคนพยายามพิชิตมัน กลับไม่มีผู้ใดกำราบเส้นทางเมลต์ดาวน์ลงได้อีกเป็นเวลากว่าหนึ่งทศวรรษ จนในที่สุด คาร์ลอส ตราเวซี (Carlos Traversi) ได้กลายเป็นนักไต่เขาคนที่สอง และผู้ชายคนแรกที่สามารถพิชิตมันได้สำเร็จ ในเดือนพฤศจิกายน ปี 2018 หนึ่งในนักปีนเขาที่มีความสามารถมากที่สุดในอเมริกาผู้นี้กล่าวเสริมว่า ความยากของมันอาจสูงกว่าระดับที่ตั้งไว้ด้วยซ้ำ
การไต่เลิร์กกิงเฟียร์ในปี 2000 และเมลต์ดาวน์ในปี 2008 เป็นหมุดหมายสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิตของร็อดเดน เป็นหนึ่งในความสำเร็จอันสูงสุดของเธอ และเป็นมาตรฐานใหม่สำหรับนักกีฬาไต่เขาผู้หญิง
และเป็นช่วงเดียวกันนี้เอง ที่เธอต้องเผชิญกับประสบการณ์บางสิ่งที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของเธอ นั่นคือการถูกกลุ่มกบฏติดอาวุธชาวอุซเบกซึ่งมีความเกี่ยวพันกับอุซามะห์ บินลาดิน จับเป็นตัวประกันในคีร์กีซสถานนานกว่า 6 วัน
ในเดือนสิงหาคม ปี 2000 ไม่กี่เดือนหลังร็อดเดนเริ่มเดตกับคาลด์เวลล์ ทั้งคู่กับเพื่อนอีกสองคนถูกจับเป็นตัวประกันขณะกำลังไต่เขาในบริเวณนั้น โดยนักไต่เขาหนุ่มสาวทั้งสี่คนสามารถหลบหนีจากผู้คุมซึ่งมีอาวุธได้ หลังคาลด์เวลล์ต่อสู้และผลักเขาตกจากหน้าผา ในขณะนั้น คาลด์เวลล์ตื่นกลัวเป็นอย่างมาก เนื่องจากคิดว่าตนเองเพิ่งฆ่าคน แต่หลังจากนั้นทั้งสี่พบว่ากบฏชาวอุซเบกผู้นั้นรอดชีวิตมาได้
นอกจากนี้ เมลต์ดาวน์ยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในชีวิตของร็อดเดน หลังการพิชิตเส้นทางนี้ เธอพบว่าตนเองเริ่มเดินกะเผลกจากอาการบาดเจ็บ ซึ่งเป็นผลจากการใช้งานร่างกายหนักเกินไป สิ่งนี้ทำให้เธอไม่สามารถไต่เขาที่ในระดับความสูงเดียวกับที่เคย และยังเป็นจุดเริ่มต้นของการจบชีวิตคู่ของเธอและคาลด์เวลล์
ร็อดเดนแต่งงานใหม่กับ แรนดี พูโร (Randy Puro) นักปีนผาผู้ทำงานด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรมอาหารในแซนแฟรนซิสโก และมีลูกชายชื่อเธโอ (Theo) เมื่อเป็นแม่ เธอถึงรู้ตัวว่าบาดแผลทางใจที่ได้รับในคีร์กีซสถานยังคงติดอยู่ในใจเธอ
“ฉันเคยหวาดระแวงว่าคนที่เคยจับตัวเราจะตามหาเราจนเจอในอเมริกา” เธอโพสต์ลงในบล็อก เธออธิบายถึงสถานการณ์ในสวนสาธารณะในเบิร์กลีย์ (ในรัฐแคลิฟอร์เนีย) ซึ่งเธอได้พบครอบครัวชาวมุสลิมกับเด็กอายุรุ่นเดียวกับกับเธโอ “มือของฉันเริ่มมีเหงื่อออก ฉันรู้สึกโหวงเหวงและมึนงง” เธอเขียน “ตาของฉันพร่ามัว ฉันหายใจไม่ทัน หลังเหตุการณ์ในคีร์กีซสถาน สมองของฉันสั่งให้ฉันกลัวคนที่ดูเหมือนคนที่จับตัวฉัน”
แต่สุดท้าย เธอหันไปมองเธโอ “มันมหัศจรรย์มากที่ดวงตาอันไร้เดียงสาของลูกของคุณ กลายเป็นกระจกที่ส่องถึงวิญญาณของตัวคุณเองได้ ฉันกำลังกลายเป็นแม่แบบนั้นหรือ แม่ที่ส่งต่อความกลัวและนิสัยที่เลวร้ายที่สุดของตนเองให้กับลูกโดยไม่ตั้งใจ เพียงเพราะตนเองอ่อนแอ มืดบอด และกลัวที่จะเอาชนะมันด้วยตนเอง”
ร็อดเดนสามารถค้นพบตัวตนใหม่ของเธอในฐานะคุณแม่นักไต่เขาได้โดยการเขียนบล็อก ซึ่งมีคุณแม่นักไต่เขาคนอื่นติดตามเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ธีโอไม่เพียงแต่ช่วยให้เธอก้าวข้ามแผลทางใจได้ แต่ยังทำให้เธอสนุกกับกีฬาไต่เขาในระดับที่พอดี (และอาจดีต่อสุขภาพ) มากขึ้นอีกด้วย
หากนึกย้อนไปถึงจุดรุ่งเรื่องที่สุดของการไต่เขาโดยไม่มีอุปกรณ์ช่วย คุณคิดว่าอะไรที่ทำให้คุณประสบความสำเร็จ
ฉันคิดว่าเป็นร่างกายของฉัน ความสามารถตั้งใจทำอะไรบางอย่างอย่างแน่วแน่ และไม่กลัวที่จะทำมัน แต่ตอนนี้ ฉันกังวลอย่างมากว่าจะบาดเจ็บ ผู้คนมักถามฉันว่า “คุณไม่มีแรงบันดาลใจแล้วใช่ไหม” สิ่งนี้ห่างไกลจากความเป็นจริงมาก ฉันยังมีแรงบันดาลใจอย่างเต็มเปี่ยม เพียงแต่สภาพร่างกายของฉันเปลี่ยนไป และตอนนี้ฉันเห็นคุณค่าที่ต่างออกไปในการปีนผา ฉันอยากไต่เขาแบบธรรมดาได้ทั้งปี มากกว่าการปีนถึงยอดได้ในสีวันและได้รับบาดเจ็บ
ทำไมคุณถึงคิดว่าคุณเสี่ยงต่อความบาดเจ็บ
หลังเหตุการณ์ในคีร์กีซสถาน ฉันกลายเป็นคนหวาดระแวง หากฉันรู้สึกว่าเส้นเอ็นนิ้วขาด ฉันจะเริ่มคิดว่าทุกอย่างจบสิ้นแล้ว ฉันคิดว่าทุกอย่างเกี่ยวข้องกับสภาพจิตใจของคุณ หากคุณตื่นกลัวอย่างมาก คุณจะบาดเจ็บ และคุณอาจบาดเจ็บหนักขึ้นอีก ฉันไม่เคยรู้สึกแบบนั้นก่อนเหตุการณ์ในคีร์กีซสถาน
นอกจากนี้ ฉันไม่ดูแลตัวเองเมื่ออายุยังน้อย ฉันจำไม่ได้ว่าฉันดื่มไดเอ็ตเป็ปซีไปขนาดใหนเมื่อยังเป็นเด็ก ฉันเคยคิดว่าแท่งโปรตีนดีต่อสุขภาพ ตั้งแต่นั้น ฉันพยายามลดอาหารที่ทำร้ายสุขภาพเช่นน้ำตาลลงอย่างมาก และพยายามกินผัก ผลไม้ และเนื้อสัตว์มากขึ้น
อะไรคือความสำเร็จสิ่งใหม่ที่คุณได้พบ ในชีวิตการปีนเขาของคุณ
การหยุดเรียนในมหาวิทยาลัยไปหนึ่งเทอม เพื่อพยายามไต่ทูโบลต์ออร์น้อตทูบี (To Bolt or Not To Be ผาความยาก 5.14a ที่สมิทร็อก โอเรกอน) การเห็นว่าตัวเองสามารถตั้งเป้าไว้สูงและสามารถทำมันได้ เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับฉันในตอนนั้น
การไต่ครั้งนี้ทำให้ ลินน์ ฮิลล์ (Lynn Hill) เชิญฉันไปทริปหญิงล้วนที่มาดากัสการ์ ในไม่กี่เดือนหลังจากนั้น
ฉันได้เรียนรู้ที่จะรักเส้นทางใต่ที่ใหญ่ ยาว และมีความผจญภัย และมันยังแสดงให้ฉันเห็นว่าฉันสามารถใช้ชีวิตนอกกรอบได้ ต่างจากก่อนหน้านั้น ที่ฉันเคยใช้ชีวิตอยู่ในกรอบมาตลอด
คุณได้เรียนรู้อะไรจากลินน์ ฮิลล์
เธอผลักดันตัวเองอย่างมาก ร่างกายของเธอแข็งแกร่งมาก แม้แต่ในตอนนี้ก็ตาม เธอช่างแตกต่างเหลือเกิน เธอแสดงให้ฉันเห็นว่าทุกสิ่งนั้นเป็นไปได้
ความกล้าเสี่ยงของคุณเปลี่ยนไปแค่ไหน
ก่อนเหตุการณ์ที่คีร์กีซสถาน ฉันเป็นเด็กผู้อ่อนต่อโลกจากเดวิส แคลิฟอร์เนีย ผู้คิดว่าโลกทั้งใบคือเปลือกห่อหุ้มตัวเอง หลังคีร์กีซสถาน ฉันกลายเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง ฉันสร้างเกราะกำบังให้ตนเอง ฉันกลายเป็นคนหวาดกลัวทุกสิ่ง ฉันเห็นผลกระทบอันใหญ่หลวงจากการกระทำทุกอย่าง
ตั้งแต่มีเธโอ ฉันไม่เคยมีโอกาศไต่ผายากๆ อีกเลย ฉันเฝ้ามองเอลแคพิแทนและคิดว่ามันคงเป็นเรื่องสนุก ถ้าฉันได้ไปไต่มันอีกครั้งกับเพื่อนๆ ที่เป็นคุณแม่เหมือนกัน
แต่นั่นแหละ ฉันสนุกกับสิ่งที่ฉันกำลังทำในตอนนี้เหมือนกัน
ใครคืออาจารย์ที่ทำให้คุณประหลาดใจที่สุด
เธโอ เขาเปลี่ยนโลกของฉันอย่างสิ้นเชิงในหลายทาง เขาบังคับให้ฉันต้องพิจารณาจุดอ่อนของตัวเอง เด็กๆ นั้นเป็นแค่ฟองน้ำก้อนเล็กๆ ฉันมีนิสัยไม่ดีหลายสิ่งที่ได้จากคีร์กีซสถาน และฉันไม่อยากให้เขาได้รับนิสัยเหล่านั้น ฉันต้องเป็นคนที่ดีกว่าเดิมให้ได้
คุณได้เริ่มพูดคุยกับคุณแม่นักไต่ผาคนอื่น การคุณมีความสุขกับบทบาทนี้ไหม
การเปิดเผยถึงความกลัวของตนเอง เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันเติบโตขึ้นอย่างมาก ฉันเคยไม่กล้าเปิดเผยแม้แต่เรื่องที่ฉันกำลังท้อง เพราะกลัวว่าตนเองจะเสียสปอนเซอร์ไป นั่นทำให้การพูดถึงความกลัวเหล่านี้เป็นเรื่องน่ากลัวอย่างมากในตอนแรก แต่สุดท้ายมันกลับทำให้ฉันเข้มแข็งเป็นอย่างมาก
แต่สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับฉันในเรื่องนี้ คือการได้อยู่ในชุมชนของบรรดาคุณแม่ และได้ฟังเรื่องราวของพวกเธอ มันเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจและสดชื่นเป็นอย่างมาก สำหรับการได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ และได้มีความผูกพันและรู้สึกถึงความเป็นชุมชน มันเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันเข้มแข็ง
เรื่อง ANDREW BISHARAT