ภูเขาไฟมิฮาระ ดินแดนที่ (คนไทย) ยังไม่ค่อยรู้จัก

มหานครโตเกียวถือเป็นจุดศูนย์รวมของแหล่งท่องเที่ยว แหล่งช็อปปิ้ง และร้านอาหารของนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะคนไทยเองก็นิยมไปเที่ยวกันมาก เนื่องจากการเดินทางสะดวกและยังได้รับฟรีวีซ่าอีก 15 วันด้วย

ขณะที่ทุกคนมุ่งหน้าสู่โตเกียว ยังมีเกาะเล็กๆที่มีบรรยากาศสงบเงียบ ตั้งอยู่ห่างจากฝั่งโตเกียวประมาณ 120 กิโลเมตร ซึ่งยังมีคนไทยน้อยคนนักที่รู้จักและเคยไป เกาะแห่งนี้มีชื่อว่า “เกาะโอชิมะ” (Oshima Island) เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับกิจกรรมดำน้ำ ตกปลา เดินป่า เดินเล่นรอบเมือง ปั่นจักรยาน วิ่ง และอื่นๆอีกมากมาย แต่ไฮไลต์สำคัญคือการปีนขึ้นไปบนปากปล่อง ภูเขาไฟมิฮาระ ซึ่งเวลาแจ้งกับคนญี่ปุ่นว่าเราต้องการไปที่นี่ ต้องบอกว่า “มิฮาระยามะ” (Mihara Yama) เพราะ “ยามะ” ในภาษาญี่ปุ่นแปลว่า “ภูเขา” ภูเขาไฟลูกนี้สูง 758 เมตรจากระดับทะเล การปะทุครั้งหลังสุดเกิดขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1986 หรือ 33 ปีก่อน ปัจจุบันที่นี่กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่มีความน่าสนใจ ทว่าคนทั่วไปอาจยังไม่ค่อยคุ้นชื่อกันสักเท่าไร

เกาะโอชิมะเป็น 1 ใน 11 เกาะสำคัญที่มีคนอาศัยอยู่ เป็นอีกสถานที่หนึ่งในญี่ปุ่นที่พวกเราอยากแนะนำให้คุณลองมาเที่ยวกันครับ หากว่าคุณนั้นอยากมาสัมผัสกับธรรมชาติที่น่าตื่นตาและวิถีชีวิตของผู้คนที่เรียบง่าย ทีมเรารู้สึกชอบที่นี่มาก อยากแบ่งปันประสบการณ์ให้คุณผู้อ่านเก็บไว้เป็นข้อมูลในการเดินทางครั้งต่อไปกันครับ

พวกเราออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิตอนกลางดึกไปถึงสนามบินฮาเนดะตอนช่วงเช้าตรู่ ก่อนจะเดินทางต่อไปยังท่าเรือทาเคชิบะ (Takeshiba Terminal) ที่อยู่ไม่ไกลมากนัก เพื่อนั่งเรือสปีดโบ๊ต ข้ามไปยังเกาะโอชิมะ โดยเรือมีวันละ 2 รอบ รอบเช้า เวลา 8.35 น.– 10.20 น. และรอบบ่าย เวลา 13.20 น. – 15.05 น. ใช้เวลาเดินทาง 1.45 ชั่วโมง นักท่องเที่ยวสามารถซื้อตั๋วที่ท่าเรือได้เลย หรือจองผ่านระบบออนไลน์แบบที่ทีมเราเลือกใช้ในครั้งนี้ ค่าตั๋วเรือ ราคา 7,110 เยน (ประมาณ 1,900 กว่าบาท ตามอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น)

บนตั๋วมีต้นขั้วให้กรอกข้อมูลส่วนตัวอย่างชื่อ อายุ และเบอร์โทรศัพท์ (ผมใส่เบอร์โทรศัพท์ของเพื่อนชาวญี่ปุ่นแทน) เหตุผลที่ต้องกรอกข้อมูลส่วนตัวเพราะในกรณีฉุกเฉิน เจ้าหน้าที่สามารถระบุตัวผู้โดยสารได้ทันที หลังจากลงเรือและนั่งตามที่นั่งที่ระบุไว้บนตั๋วแล้ว เราต้องเก็บตั๋วไว้ยื่นให้เจ้าหน้าที่อีกครั้งทั้งขาไปและขากลับ

บนเกาะโอชิมะมีท่าเรือ 2 แห่ง ขึ้นอยู่กับคลื่นลมจะเอื้อให้เรือสะดวกจอดที่ท่าไหน ซึ่งทั้งบนท่าเรือและโรงแรมที่เราพักจะติดป้ายแจ้งนักท่องเที่ยวไว้ว่า วันที่เดินทางกลับต้องไปที่ท่าเรือไหน รายละเอียดเกี่ยวกับตารางเวลาเดินเรือ ค่าโดยสารสามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้ที่เว็บไซต์ www.tokaikisen.co.jp/en/ourship/jetship

อ่านต่อหน้า 2 การเดินทางวันที่หนึ่ง

DAY 1 เกาะโอชิมะยามเย็น

ทีมเรามาถึงท่าเรือโมโตมาชิ (Motomachi Port Ferry Terminal) บนเกาะโอชิมะตอนเวลาบ่ายสามโมงกว่า ซึ่งนับว่าตรงเวลามาก การเดินทางครั้งนี้ได้ว่าจ้างไกด์ท้องถิ่นชาวญี่ปุ่นให้มารับที่ท่าเรือ เธอผู้นั้นคือ “คุณป้าคานะ” อดีตพยาบาลที่หันหลังให้เมืองหลวง แล้วย้ายมาอยู่บนเกาะ ทำหน้าที่เป็นไกด์และครูสอนดำน้ำ เธอต้อนรับพวกเราด้วยอัธยาศัยอันดีและพูดคุยกันถูกคอเลยทีเดียว คุณป้าเอ่ยถึงงานของเธอด้วยรอยยิ้มว่า “นี่คือความสุขที่ฉันสามารถหาได้บนเกาะแห่งนี้” แล้วก็ออกปากชวนไปดูดวงอาทิตย์ตกดินที่บริเวณด้านเหนือของเกาะ ซึ่งนับเป็นกิจกรรมแรกของพวกเราเมื่อมาถึงเกาะนี้

จุดชมวิวดวงอาทิตย์ตกจุดแรกของคุณป้าคานะไม่ทำให้ทีมเราผิดหวังจริงๆ เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าสวยราวกับภาพวาด เหมือนทำให้พวกเราสัมผัสได้ถึงการฟื้นคืนของจิตวิญญาณ ที่สำคัญยังเห็นลาวาภูเขาไฟอายุราว 3,400 ปี ไหลเป็นทางมาสู่จุดชมวิวนี้ ซึ่งการเย็นตัวอย่างฉับพลันของลาวาก่อให้เกิดก้อนหินสีแดงที่เรียกว่า “Red Scoria” ซึ่งมีส่วนประกอบของเหล็กออกไซด์ที่ทำปฏิกิริยาเคมีกับออกซิเจนจนเกิดเป็นสีแดง

แม้พวกเราจะผ่านการเดินทางอย่างต่อเนื่องจากเมื่อคืนจนถึงตอนนี้ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้าอะไรมาก คุณป้าไกด์คนเก่งจึงพาไปยังจุดชมวิวที่สอง เพื่อถ่ายรูปคู่กับภูเขาที่มีรูปทรงเหมือนวาฬที่บริเวณจุดดำน้ำ “ที่พักสวนโนดาฮามะ”ว่าไปแล้วการนั่งชมวิวดวงอาทิตย์ตกดินตรงจุดนี้ก็สวยดีเหมือนกัน เพราะชายหาดบริเวณนี้มีสีดำสนิทและมีเกาะแก่งเล็กๆสามารถเดินไปถ่ายรูปได้ แต่ต้องระวังหินภูเขาไฟที่คมมาก ควรใส่รองเท้าที่มีพื้นหนาๆหน่อยถึงจะปลอดภัย

ทีมเรานั่งดูแสงสุดท้ายของวันตรงจุดนี้ จากนั้นคุณป้าคานะก็พาไปส่งที่โรงแรมซึ่งอยู่เลยท่าเรือมาเล็กน้อย ท้องของพวกเราเริ่มร้องแล้ว ก็เลยพากันเดินย้อนลงมาก่อนถึงท่าเรือ พบร้านเล็กๆริมทะเลที่ดูเงียบสงบ เนื่องจากมองไม่เห็นลูกค้าสักคน จึงเดินปรี่เข้าไปถามได้ความว่าร้านยังเปิดอยู่

เมนูอาหารมีไก่ย่างและเนื้อย่างเตาถ่านราดซอสตามแบบฉบับของคนญี่ปุ่น รสชาติสุดยอดมากๆ เสิร์ฟพร้อมซุปเครื่องในร้อนๆ ลุงเจ้าของร้านบอกให้โรยพริกป่นเล็กน้อยเพื่อเพิ่มความอร่อยมากยิ่งขึ้น ทั้งทีมจึงฝากท้องไว้ที่ร้านนี้กับอาหารท้องถิ่นชนิดอื่นอีกสองสามอย่าง ในทีมคุยกันว่าชอบบรรยากาศของร้านนี้ที่ดูเหงาๆ ในขณะที่หนาวด้วย หากใครอยากมาตามรอย ร้านนี้ชื่อ “ยากิโทริ ยอคชาน” เจ้าของร้านน่ารักและใจดีมากๆครับ

อ่านต่อหน้า 3 การเดินทางวันทีสอง

DAY 2 โคนิจิวะ ภูเขาไฟมิฮาระ

พวกเรานัดคุณป้าคานะตอนแปดโมงเช้า ภารกิจของวันนี้คือการมุ่งหน้าไปปีนภูเขาไฟมิฮาระ ซึ่งยังคงคุกรุ่นอยู่แม้ว่าจะไม่เคยปะทุมา 33 ปีแล้ว “จากประสบการณ์ที่อยู่บนเกาะนี้มายี่สิบกว่าปี ป้าคาดว่าอีก 3-4 ปีข้างหน้าอาจจะเกิดขึ้นอีกครั้งก็ได้ ถึงขนาดชาวบ้านบางคนยังไม่กล้าซ่อมแซมบ้านของตัวเองเลย รอให้พ้น 3 ปีนี้ไปก่อน

คุณป้าไกด์ได้แสดงทัศนะของเธอ ก่อนจะบอกให้พวกเราเตรียมตัว โดยจุดเริ่มต้นการเดินอยู่ที่โรงแรม Miharayama Hot Spring ซึ่งเป็นเส้นทางที่เดินสวนกับนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่น เพราะในทีมเรามีประสบการณ์การเดินป่าเขามาพอสมควร จึงร้องขอเส้นทางที่คิดว่าไกลและโหดกว่าคนอื่นสักนิด คุณป้าไกด์ก็เลยจัดให้15 กิโลเมตร จากโรงแรมมีเส้นทางเดินป่าเล็กๆและป้ายบอกชัดเจน ทางเดินเป็นหินลาวาสีดำสนิท สองข้างทางพอมีต้นไม้ไม่ใหญ่มากให้ร่มเงาระหว่างทางเดินประมาณ 1 กิโลเมตร

จากนั้นเป็นทางเดินโล่งๆ ไม่นานนักก็เดินผ่านทะเลทรายโอซาบาคุจิไต ทะเลทรายสีดำที่มีก้อนลาวาแข็งและแหลม หากใครเป็นแฟนภาพยนตร์สตาร์วอร์ส คงจินตนาการว่ากำลังเดินอยู่บนดวงจันทร์เป็นแน่ ช่วงที่พวกเราไปถึงคือต้นเดือนพฤศจิกายน อากาศกำลังดี อุณหภูมิอยู่ที่ 15 องศาเซลเซียส ควรเตรียมเสื้อกันหนาวและเสื้อกันลมไปด้วย เพราะเมื่อปีนขึ้นไปถึงช่วงจุดสูงๆจะมีลมแรง ระหว่างทางพวกเราเดินผ่านทุ่งหญ้าซูซูกิสีเหลืองนวลที่ขึ้นกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นที่ ยิ่งเมื่อแสงแดดยามบ่ายตกกระทบด้วยแล้ว ก็ช่วยขับให้ใบหญ้าเปล่งสีเหลืองทองมากขึ้น ถ้าหากว่าใครเบื่อชมดอกซากุระหรือเบื่อเดินทางไปยังทุ่งลาเวนเดอร์ที่ฮอกไกโด ลองมาชมทุ่งดอกหญ้าซูซูกิของที่นี่ก็ไม่เลวนะครับ

ทีมเราใช้เวลาเดินเท้าเกือบสามชั่วโมงก็มาถึงบริเวณปากปล่อง ภูเขาไฟมิฮาระ แต่ละจุดรอบปากปล่องภูเขาไฟมีป้ายสื่อความหมายบอกเล่าเหตุการณ์และช่วงเวลาที่เกิดการปะทุของภูเขาไฟ พวกเราใช้เวลาถ่ายรูปและสัมผัสกับความสวยงามของธรรมชาติอยู่พักหนึ่ง จึงเดินกลับไปยังจุดที่รถมารอรับ ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่ง ระหว่างทางเดินกลับ พวกเราพบหินก็อตซิลลาที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ไว้ ถือเป็นไฮไลต์หนึ่งในเส้นทางที่ต้องแวะถ่ายรูป สรุปแล้วทีมเราใช้เวลาเดินเท้าทั้งหมด 7 ชั่วโมง ถ้าเดินจริงจังคิดว่าใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงน่าจะจบทริป แต่เนื่องจากแวะถ่ายรูปในแต่ละจุดนานมาก ทำให้ใช้เวลามากพอควร

สุดท้ายพวกเรายังพอเหลือเวลาและเรี่ยวแรงไปเดินทางตอนใต้ของเกาะ เพื่อชมความงดงามของเขาชั้นหินเซนบะ ผาหินที่มีหน้าผาเป็นภาพตัดขวาง มีเส้นสายเหมือนเครปเค้ก ซึ่งเป็นหลักฐานทางธรณีวิทยาที่สวยงาม ผ่านการทับถมมายาวนานกว่า 15,000 ปี จุดนี้พวกเราเน้นถ่ายรูปและชื่นชมความงามที่ธรรมชาติสร้างขึ้น

จุดสุดท้ายของวันนี้คือหาดทรายสีดำ เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมไปนอนดูดาว และถ่ายภาพดาวในยามราตรี ความกว้างและเงียบสงบของหาดทรายทำให้มีเต่าทะเลมาวางไข่ไว้เป็นจำนวนมาก บริเวณนี้ไม่สามารถหาร้านอาหารหรือของที่ระลึกตามแหล่งท่องเที่ยวได้ มีเพียงแค่ห้องน้ำสะอาดๆไว้บริการ นักท่องเที่ยวต้องเตรียมอาหารและน้ำดื่มมาเอง อีกอย่างคือขยะที่คุณนำมากรุณานำกลับไปทิ้งที่บ้าน เห็นแล้วรู้สึกดีต่อหัวใจครับ พวกเรานั่งมองดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าที่หาดทรายดำ หมดไปอีกวันแต่แรงยังมีพรุ่งนี้ค่อยว่ากัน

อ่านต่อหน้า 4 การเดินทางวันทีสาม

DAY 3 วิถีชาวเกาะโอชิมะ

วันนี้เป็นวันสุดท้ายบนเกาะโอชิมะ ทีมเราได้ “คุณไอช์” (พวกเราแอบเรียก “ไอโกะ”) มาเป็นไกด์นำเที่ยวแทนคุณป้าคานะ ซึ่งติดรับลูกค้าอีกกลุ่มหนึ่ง คุณไอโกะก็อัธยาศัยดีไม่แพ้กัน เธอเล่าเรื่องราวของเธอให้ฟังว่า “ฉันเกิดและโตในกรุงโตเกียว ถึงช่วงหนึ่งของชีวิตก็อยากย้ายไปอยู่ที่อื่น ฉันเลือกมาหลายแห่ง ท้ายที่สุดฉันข้ามมาเที่ยวที่เกาะโอชิมะ พอมาถึง ฉันตัดสินใจทันทีว่าฉันจะอยู่ที่นี่ และใช้ชีวิตที่เหลือทั้งหมดบนเกาะแห่งนี้”  แม้ไกด์ท้องถิ่น 2 คนของทีมเราจะมีช่วงอายุต่างกันเกือบสามสิบปี แต่พวกเธอก็มีจุดเปลี่ยนที่คล้ายกัน นั่นคือการได้มาสัมผัสความสวยงามของเกาะโอชิมะแห่งนี้

พวกเราพากันไปร้านข้าวปั้นชื่อดัง ซึ่งจริงๆแล้วไม่มีชื่อร้านที่ชัดเจน สภาพร้านก็เหมือนบ้านทั่วไป แต่จากการสอบถามคนบนเกาะ ส่วนใหญ่ทราบดีว่าร้านข้าวปั้นหมายถึงร้านนี้ เพราะมีรถราจอดเข้าคิวซื้ออาหารกันไม่ขาดสาย และมีข้อสังเกตคือร้านประดับธงไว้หน้าร้านพร้อมตู้กดน้ำ  ก็คงพอสันนิษฐานได้ว่าเป็นร้านที่ขายอะไรสักอย่าง ทีมเราเดินเข้าไปเลือกเสบียงตอนกลางวัน เพราะแผนการเดินทางวันนี้คือ เดินทางลงใต้แล้ววนกลับไปทางเหนืออีกครั้ง เพื่อดูจุดชมวิวและสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง

จุดแรกเป็นจุดชมวิวที่มองเห็นท่าเรือเก่าแก่ เรียกว่าจุดชมวิวท่าเรือฮาบุ (Habu) ใกล้กันมีอนุสาวรีย์เฮโรคุ อาคิฮิโระ (Heiroku Akihiro) ซึ่งเป็นผู้นำการเปิดท่าเรือและก่อตั้งหมู่บ้านฮาบุ จากจุดนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์หมู่บ้านที่อยู่เบื้องหน้า ซึ่งเคยเป็นทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟมาก่อน ถัดไปเป็นจุดชมวิวภูเขาที่ตั้งตระหง่านสูงใหญ่ดั่งกำแพง เรียกว่า “ผนังหินอัคนีโอไทเนอุระ” มีทางเดินลาดยางลงไปยังด้านล่าง บริเวณกลางทะเล เราจะเห็น “เกาะฟูเดะ” ซึ่งมีรูปทรงคล้ายปลายพู่กันสูง 30 เมตร บริเวณนี้มีห้องน้ำสาธารณะและศาลาพักผ่อนสำหรับให้ประชาชนทั่วไปสามารถมานั่งปิกนิกได้

หมู่บ้านชาวประมงที่ท่าเรือฮาบุเป็นปลายทางต่อไป ฮาบุเป็นชุมชนเล็กๆที่มีเรื่องเล่าว่าชายหนุ่มที่ออกเรือหาปลาเป็นแรมเดือนเกิดอารมณ์เปลี่ยวเหงา พอกลับขึ้นฝั่งที่ท่าเรือแห่งนี้จะรีบอาบน้ำชำระตัวให้สะอาด เพื่อไปเดินเล่นในหมู่บ้านซึ่งบ้านแต่ละหลังจะมีเกอิชาคอยต้อนรับ เมื่ออิ่มหนำสำราญแล้วจึงค่อยเข้าบ้าน โรงน้ำชาหลังไหนที่เป็นที่นิยมและมีฐานะจะทาด้วยสีเขียว แสดงถึงความโด่งดังและความนิยมอย่างสูงในตัวเกอิชา

ในละแวกนั้นมีบ้านไม้สองชั้นหลังหนึ่งตั้งอยู่บนเนินเขา เป็นสถาปัตยกรรมในยุคเมจิที่สวยงามแปลกตาและโดดเด่นกว่าบ้านหลังอื่นซึ่งหาได้ยากมากบนเกาะโอชิมะ เดิมเป็นเรียวกัง (โรงแรมขนาดเล็ก)ที่เอาไว้คอยต้อนรับชาวประมงและนักท่องเที่ยวทั่วประเทศ ปัจจุบันปรับเปลี่ยนเป็นพิพิธภัณฑ์โอโดริโนะซาโตะ จัดแสดงงานที่สะท้อนวิถีชีวิตของนักเต้นระบำสาว และเป็นฉากหนึ่งในนิยายของยาสึนาริ คาวาบาตะนักเขียนรางวัลโนเบล สาขาวรรณกรรม พิพิธภัณฑ์แห่งนี้สะท้อนความเป็นอยู่ของผู้คนในยุคนั้น น่าเสียดายที่ไม่สามารถเข้าไปดูได้ เพราะตอนนี้ปิดรอการปรับปรุง เนื่องจากโดนพายุถล่มเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา

เมื่อมาถึงท่าเรือฮาบุแล้ว ต้องไม่พลาดมันฝรั่งทอดโคร็อกเกะและไอศกรีมโอชิมะมิลค์ไอซ์ซึ่งเป็นอาหารดั้งเดิมที่ต้องลิ้มลองก่อนเดินทางกลับ เราออกจากหมู่บ้านชาวประมงมุ่งหน้าไปยังศาลเจ้าฮาจิคามะ ระหว่างทางมีฝนโปรยปรายพอให้ชุ่มชื่นหัวใจ ศาลเจ้าแห่งนี้มีอายุเก่าแก่กว่าสี่ร้อยปี และเป็น 1 ใน 3ศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดบนเกาะโอชิมะ ตั้งโดดเดี่ยวอยู่ในป่าสนซีดาร์ ทางเดินปกคลุมไปด้วยมอสส์เหมือนธรรมชาติปูพรมให้เราเดิน การได้ถ่ายรูปในป่าสนซีดาร์ที่หาไม่ได้ในบ้านเรา เพียงเท่านี้ก็ทำให้พวกเรามีความสุขมากแล้ว

ที่สุดท้ายของทริปนี้พวกเราแวะถ่ายรูปที่อุโมงค์ต้นไม้ ซึ่งมีเรือนยอดหนาทึบโน้มตัวเข้าหากัน ตั้งอยู่ถัดจากศาลเจ้าฮาจิคามะไปทางเหนือประมาณ 1.3 กิโลเมตร ความน่าสนใจของบริเวณนี้คือจุดที่มีลักษณะคล้ายกำแพงดินซึ่งถูกรากต้นไม้ใหญ่ชอนไช แบ่งเป็นช่องทางเดินด้วยบันไดเรียกว่า “เซนซึโนะคิริโทชิ” (Senzu no kiritooshi) เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวหลายคนชื่นชอบ เมื่อได้ภาพเป็นที่พอใจแล้ว ชาวคณะเราก็ต้องรีบขับรถมาที่ท่าเรือโอคาดะ (Okada Port Ferry Terminal) ซึ่งเป็นอีกท่าเรือหนึ่งที่กล่าวถึงในตอนต้น เพื่อลงเรือในช่วงบ่ายเดินทางกลับฝั่งโตเกียว และเตรียมตัวกลับเมืองไทยในค่ำวันเดียวกัน

ถือว่าเป็นการจบทริปที่สมบูรณ์แบบจริงๆ ช่วงเวลา 3 วัน 2 คืนเป็นเวลาที่เหมาะสมสำหรับทริปนี้ เป็นการเติมพลังให้ชีวิต พวกเราคิดกันว่าการเดินทางคือการผจญภัย และการผจญภัยคือการย่างเข้าสู่ดินแดนที่ไม่รู้จัก การไม่รู้จักอะไรเลยทำให้เราต้องพยายาม และถ้าคนเราไม่พยายาม ก็เหมือนไม่ได้ใช้ชีวิต ถ้าคุณอยากใช้ชีวิต คุณต้องไปดินแดนที่ไม่รู้จัก แนะนำเลยครับที่ “เกาะโอชิมะ” เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ควรมาเยือน

แนะนำไกด์ท้องถิ่น

คุณป้าคานะ นิสชิทานิ ไกด์สาวใหญ่ใจถึงที่พ่วงตำแหน่งเป็นครูสอนการดำน้ำด้วย ถือเป็นอีกผู้หนึ่งที่ทำให้ทริปของพวกเราสมบูรณ์แบบ แนะนำให้เช่าพร้อมรถ แล้วคุณป้าจะพาคุณไปตะลุยทุกที่บนเกาะโอชิมะ ในทีมของเธอเองยังมีผู้ช่วยอีก 2 คน คนหนึ่งคือ คุณไอโกะ (ไกด์วันที่สาม) และคุณโยชิกิ ซึ่งพูดภาษาไทยได้และยังสอนการดำน้ำด้วย

สนใจติดต่อ gon-kana@amber.plala.or.jp  (คุณป้าพอตอบด้วยภาษาอังกฤษได้) หรือโทรศัพท์ +81-49922-1966

© COPYRIGHT 2024 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.