นี่คือ บันทึกการเดินทาง ของทะเล – เด็กหญิงในโครงการเยาวชนเอเอฟเอสเพื่อการศึกษาและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมนานาชาติ ที่เดินทางไปแลกเปลี่ยนยังประเทศอาร์เจนตินา และเมื่อการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 ทวีความรุนแรงไปทั่วโลก เธอจึงจำเป็นต้องเดินทางกลับประเทศไทยก่อนกำหนด
15.05.2020
สวัสดีจากเมืองกอร์โดบา ประเทศอาร์เจนตินา (ฮ่า ๆ ยังมีคนเขียนเปิดไดอะรี่แบบนี้อยู่อีกหรอ) เอาเป็นว่าวันนี้เป็นบันทึกวันสุดท้ายของปีแลกเปลี่ยนแล้ว ถึงเราจะอยู่ไม่ครบปีเพราะโควิด-19 ก็เถอะ ต้องบอกเลยว่าการมาอยู่ต่างประเทศว่ายากแล้ว เทียบไม่ได้เลยกับการต้องมาอยู่ในช่วงที่เกิดโรคระบาด ซึ่งถือเป็นประเด็น Hot Topic ของทุกคนบนโลก
ต้องขอย้อนไปเมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา รัฐบาลของอาร์เจนตินาได้มีประกาศให้ทุกคนกักตัวอยู่เเต่ในบ้านจนถึงสิ้นเดือน โดยที่สามารถออกจากบ้านได้ไม่เกิน 2 คน และอนุญาตให้ออกจากบ้านได้เพื่อไปซื้อของใช้จำเป็นเท่านั้น ความรู้สึกตอนนี้คงไม่ต่างอะไรกับฉากในภาพยนตร์อวสานมนุษย์เท่าไหร่นัก เพราะไม่ว่าจะบนถนน ร้านค้า หรือห้างฯ ต่าง ๆ แทบจะปิดกันหมด
ทั้งๆ ที่สัปดาห์ที่แล้วทุกคนยังใช้ชีวิตกันแบบปกติ เราได้แต่รอจนถึงสิ้นเดือนเพราะทางโครงการแลกเปลี่ยนต้องยุติ และทุกคนต้องกลับประเทศของตัวเองให้เร็วที่สุด ฟังแค่นี้ก็สัมผัสได้ถึงความน่าเบื่อแล้ว แต่ใครจะรู้ละว่ามันไม่ใช่แค่เดือนเดียวน่ะสิ!
ณ วันสุดท้ายของเดือนมีนาคม ความหวังว่าจะได้กลับบ้านก็คงต้องพับเก็บไปเมื่อรัฐบาลประกาศขยายการกักตัวออกไปจนถึงสิ้นเดือนเมษายน คราวนี้ความรู้สึกเริ่มเปลี่ยนไปทีละนิด ยิ่งสนุกก็ยิ่งเบื่อกว่าเดิม ยิ่งมองโลกในแง่ดีก็ยิ่งมองโลกในแง่ร้าย ความรู้สึกสับสนปนเปไปหมด อยากกลับบ้านแต่ก็อยากอยู่ต่อ แต่ก็ได้แต่รอ รอ รอไปเรื่อย ๆ
จนวันที่ 7 พฤษภาคม มีอีเมลเด้งขึ้นมาตอนเช้า (ซึ่งเป็นข้อความที่ปรารถนามาโดยตลอด ฮ่า ๆ) ว่าในที่สุดก็มีไฟล์ทเครื่องบินกลับบ้านสักที เป็นความโล่งใจที่หน่วง เพราะเราคงไม่ได้กลับมาที่นี่อีกสินะ!
วันนี้ผ่านไปอย่างเรียบง่าย ด้วยการทำ Asado มื้อใหญ่ และผัดไทยเนื้อที่เราทำเอง (ถ้าพูดง่าย ๆ Asado ก็คือการทำเมนูเนื้อย่าง วัฒนธรรมการกินของที่นี่จะนิยมทำเมนูนี้รับประทานกันทุกสุดสัปดาห์ โดยคนทำจะเป็นพ่อหรือผู้ชายในครอบครัว) เคล้าไปกับบทสนทนาที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและความสนุกสนานเหมาะกับการเป็นมื้อสุดท้ายเสียจริง
มีคนเคยบอกว่า ‘น้ำตามักจะแกล้งเราเสมอ ยิ่งกลั้นไว้เท่าไหร่ ยิ่งไหลมากเท่านั้น’
คงไม่ต่างกับ ณ คืนนี้ ณ บ้านหลังนี้ ณ เมืองนี้
No te olvidaré, Córdoba
(I won’t forget you, Córdoba)
16.05.2020
บรรยากาศช่วงเช้ามืดกับรถบนถนนที่บางตาไม่ได้ทำให้เปล่าเปลี่ยวเหมือนเคย แต่ให้ความรู้สึกเงียบสงบอย่างแปลกๆ เพลงที่ลอยมาจากวิทยุเปิดคลอเบาๆ ทำให้บรรยากาศไม่น่าอึดอัดสักเท่าไหร่ ไม่นานนักก็เจอกับเพื่อน ๆ คนไทยที่กำลังจะไปเมืองบัวโนสไอเรสด้วยกันในเช้านี้ ผ่านไปพักใหญ่รถบัสก็มาจอดตรงหน้า ทุกคนต่างร่ำลาโฮสต์ของตัวเอง และขึ้นรถเพื่อออกเดินทาง
บอกตามตรงว่าความรู้สึก ณ ตอนนั้นไม่ใช่ความเศร้า มันคือความยินดีกับทุกๆ ประสบการณ์ที่ผ่านมาตลอดเก้าเดือน แน่นอนว่ามันสิ้นสุดปีแลกเปลี่ยนแล้ว และปีนี้คือหนึ่งในเเชปเตอร์ที่ยังมีอีกมากมายรอเราอยู่ในอนาคต เพราะฉะนั้นจงยินดีและยิ้มให้กับเเชปเตอร์นี้ ที่อาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในอนาคตก็เป็นได้
เป็นเวลาร่วมสิบชั่วโมงบนรถบัสที่เดินทางจากเมืองกอร์โดบา สู่โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงบัวโนสไอเรส สภาพตอนนี้คงไม่ต่างกับคนอดนอนเท่าไหร่นัก เพราะเมื่อคืนเราใช้เวลาทั้งคืนในการดูหนังและคุยกับซิสแทบทั้งคืน แต่บนรถบัสกลับไม่สบายเอาเสียเลย อดหัวเสียไม่ได้ เพราะร่างกายตอนนี้ต้องการการพักผ่อนเหลือเกิน
เมืองหลวงในช่วงหัวค่ำมีบรรยากาศน่าแปลกตาไปมาก รถรางบางตาอย่างเห็นได้ชัด ผู้คนที่เดินไปมาแทบจะนับจำนวนได้ ทั้งที่เป็นคืนวันเสาร์แท้ ๆ แต่ก่อนจะได้คิดอะไรเรื่อยเปื่อยไปกว่านี้ รถบัสคันใหญ่ก็ได้หยุดลงตรงตึกแถวขนาดกลางตรงหน้า การเช็คอิน แตกต่างจากปกติไปนิดหน่อย เราต้องเว้นระยะห่างกันอย่างน้อย 1 เมตร และขึ้นลิฟต์ได้ครั้งละ 1 คน ห้องพักขนาดกลางสำหรับ 2 คน จัดว่าดีมากเลยทีเดียว (ความจริงแล้วเราย้ายไปนอนกับเพื่อน มีความวุ่นวายนิดหน่อย แต่ตราบใดที่เจ้าหน้าที่ไม่รู้ ก็ไม่เป็นไรใช่ไหมล่ะ ฮ่าๆ )
ค่ำคืนวันนี้ผ่านไปพร้อมกับบทสนทนาเสียงดังและเสียงหัวเราะของเพื่อน ๆ ที่ไม่ได้เจอกันมาแรมปี เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีความเงียบเลยก็ได้ จนเจ้าหน้าที่นอนไม่หลับเลยทีเดียว เราก็เลยต้องแยกย้ายกลับห้องตัวเองไป ฮ่าๆ ใช้เวลาไม่นานในการจัดการธุระส่วนตัวก็ได้เวลานอนในที่สุด พร้อมกับความตื่นเต้นที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
17.05.2020
เสียงนาฬิกาปลุกที่น่ารำคาญที่สุดในโลกดังขึ้นเพื่อปลุกทุกคนในห้อง (และเพื่อนข้างห้อง) ในยามเช้า วันนี้พวกเราจะต้องตรวจสุขภาพเเละขอใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่ามีสุขภาพเหมาะสมต่อการเดินทางทางอากาศ (fit to fly) สำหรับใช้เป็นเอกสารยืนยันก่อนการขึ้นเครื่องบินเพื่อกลับเข้าไทย ผ่านไปสักพักใหญ่ก็ถึงคิวเราแล้ว การตรวจสุขภาพผ่านไปได้ด้วยดี เริ่มตั้งเเต่การวัดความดัน ตรวจลำคอ และทดสอบการดมกลิ่น หลังจากนั้นเราลงไปที่ล็อบบี้ของโรงแรมเพื่อกรอกเอกสารสำคัญต่าง ๆ ที่ทางสถานทูตไทยจัดเตรียมไว้ให้สำหรับประกอบการเดินทางเข้าไทย
บรรยากาศวันนี้ดำเนินไปอย่างสบาย ๆ เพราะเรียกได้ว่าแทบจะทุกคน (รวมถึงเราด้วย) ได้สั่งอาหารเดลิเวอรี่มากินอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ว่าจะเป็นอาหารเกาหลี อาหารญี่ปุ่น หรือเบอร์เกอร์ก็ตาม นับว่าการกินอาหารที่คุ้นเคยถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งจริงไหมล่ะ
ใบไม้ที่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลทั่วทั้งต้นซึ่งมองเห็นได้จากริมหน้าต่าง พร้อมกับลมเย็นที่พัดเบาบางช่วงหัวค่ำทำให้บรรยากาศในตอนนี้ช่างน่านอนเหลือเกิน ด้วยความที่วันนี้อากาศดีมากจนแทบไม่ต้องเปิดแอร์ เรากับเพื่อนที่นั่งกินซูชิไปพลาง ๆ พร้อมกับดู Youtube ไปด้วยก็เริ่มง่วงกันแล้ว (ความจริงแล้วหมอนและผ้าห่มของโรงแรมเพิ่มความง่วงให้เราได้ 50%) เราเลยตัดสินใจว่าคงต้องนอนกันสักพัก เพราะพวกเราจะต้องออกจากโรงแรมตอนตี 3 เพื่อเดินทางไปยังสนามบิน คงจะไม่ดีเท่าไหร่ถ้าเราไม่พักผ่อนเสียตั้งแต่ตอนนี้ ก็ได้ ๆ แต่หวังว่าคงจะไม่หลับยาวจนลืมตื่นนะ ฮ่า ๆ
อ่านต่อหน้า 2
18.05.2020
ความวุ่นวาย ณ ตอนนี้ ถ้าจะให้อธิบายก็คงจะไม่ต่างกับอาการแพนิก หรือตื่นตระหนกเท่าไหร่นัก ด้วยความเป็นคนขี้ลืมชนิดที่ว่า ไม่ว่าเหตุการณ์ไหนก็ต้องลืมตลอด เราและเพื่อนต้องตรวจเช็คของในกระเป๋าเดินทางซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะอีกไม่นานก็ต้องออกจากโรงแรมแล้ว ผ่านไปสักพักใหญ่เราก็ลงมาที่ล็อบบี้เพื่อเก็บของขึ้นรถบัสที่ทางสถานทูตจัดเตรียมไว้ให้ หยิบอาหารเช้าและน้ำเรียบร้อยแล้วก็ขึ้นรถบัสไปทันที (เราต้องใส่แมสก์ตลอดเวลาและนั่งห่างกันคนละแถว) รู้สึกแปลก ๆ แต่ก็ต้องทำตัวให้ชินเข้าไว้
เเม้จะใกล้เวลารุ่งสางเเต่ความมืดก็ยังห่มคลุมทั่วท้องฟ้าเอาไว้ ทำให้ชวนเหงาอย่างไม่ต้องสงสัย แสงไฟข้างทางสลับผ่านไปอย่างรวดเร็วตามความเร็วของรถ ทุกคนบนรถต่างใช้เวลาอยู่กับตัวเอง บ้างก็ใส่หูฟังอย่างไร้บทสนทนา แต่ก็เงียบพอที่จะได้ยินเสียงตนเองที่ดังก้องในหัว
“So kiss me and smile for me. Tell me that you’ll wait for me. Hold me like you’ll never let me go”
อยากจะหัวเราะดัง ๆ ให้กับ Spotify ที่เลือกสุ่มเพลงนี้ขึ้นมาได้เหมาะเหลือเกิน แต่ก็ทำได้แค่ยิ้มบาง ๆ เราคงไม่อยากจะไปปลุกคนอื่นในรถบัสคันนี้หรอกนะ
“Cause I’m leavin’ on a jet plane, don’t know when I’ll be back again. Oh babe, I hate to go”
เสียงกีตาร์ที่คลอไปพร้อมกับเสียงร้องในแบบอtคูสติกคัฟเวอร์จากวง The Macarons Pro-ject ทำให้บรรยากาศตอนนี้ชวนเหงากว่าเดิมเป็นเท่าตัว แอบคิดไม่ได้ว่า ตั้งแต่เด็กที่เคยฟังเพลง Leaving on a jet plane กับการฟังตอนนี้มันช่างต่างกันเหลือเกิน ก็คงเพราะเมื่อก่อนเราไม่ได้ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้สินะ
ไม่เกินครึ่งชั่วโมงรถบัสก็มาจอดที่สนามบิน พวกเราเคลื่อนย้ายตัวเองเข้าไปในสนามบินลำบากยิ่งกว่า เพราะจำนวนคนและอากาศที่แสนจะหนาวทำให้ลำบากกว่าเดิม เมื่อจัดการสัมภาระเรียบร้อย เรามานั่งรอในเกตที่ร้างจนไม่เห็นแม้แต่คน หรือร้านค้าที่ไม่แม้แต่จะเปิดบริการ มีเพียงตู้กดน้ำที่ยังคงใช้ได้และเป็นเพียงอย่างเดียวที่สามารถหาของกินได้ น่าขำ!
เกมการ์ดที่ถูกเลือกมาเล่นเพื่อฆ่าเวลาในตอนนี้ ก็คงไม่พ้น UNO สภาพตอนนี้ก็ไม่ต่างกับคนอดนอนเท่าไหร่นัก ทำได้เพียงนั่งกินอาหารเช้าที่พกติดตัวมารองท้องไปพลาง ๆ เพื่อรอจนกว่าเราจะได้ขึ้นเครื่อง
แสงแดดยามเช้าเริ่มโผล่มาแล้ว พวกเราจึงต้องเตรียมตัวเพื่อขึ้นเครื่องไปยังเมืองเซาเปาโล ประเทศบราซิล (เพื่อรอต่อเครื่องไปเมืองอัมสเตอร์ดัม เพราะประเทศอาร์เจนตินาไม่มีสายการบินพาณิชย์มาลง) ใช้เวลาสักพักในการย้ายตัวเองไปบนเครื่องบิน ไม่มีแม้แต่เสียงพูดคุยเพราะทุกคนต่างเข้าสู่นิทรากันหมด ยังดีที่เครื่องบินลำนี้เป็นแบบเช่าเหมาลำจึงไม่ได้นั่งติดกันมากนัก ความเงียบครั้งนี้เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความคาดหวัง เริ่มแล้วสินะ… การเดินทางกลับบ้านที่ยาวนานที่สุด
ผ่านไปเกือบ 3 ชั่วโมง เครื่องบินก็ลงจอดที่บราซิลโดยสวัสดิภาพ โดยที่มีเจ้าหน้าที่จากสถานทูตของบราซิลคอยดูแลเราตลอด (พร้อมกับให้ถุงยังชีพกับครัวซองค์ที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา) ยังดีที่สนามบินมีร้านขายของเปิดให้บริการ เราจึงแวะซื้อขนมนิดหน่อยพอเป็นสเบียง และตรวจเอกสารใบรับรองแพทย์เพื่อรอขึ้นเครื่องในช่วงบ่าย บรรยากาศรอบๆ ตอนนี้ มีผู้โดยสารที่นั่งรออยู่เยอะพอสมควร อาจเป็นเพราะเครื่องบินที่บินกลับเข้าสู่ยุโรปมีค่อนข้างน้อย หลายๆ เที่ยวบินจึงมีผู้โดยสารหนาแน่นเป็นพิเศษ
นั่งรอต่อเครื่องประมาณ 2 ชั่วโมง ก็ได้ขึ้นเครื่องสักที เที่ยวบินนี้ต้องนั่งติดกัน เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารที่เรียกได้ว่าเต็มทุกที่นั่ง แต่การขึ้นเครื่องในครั้งนี้ แตกต่างจากเดิมไปนิดหน่อย เพราะเราได้ถุงขนมใบใหญ่ที่อัดแน่นไปด้วยน้ำอัดลม น้ำเปล่า ขนม และช็อกโกแลต (ทางสายการบินแจ้งว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการถามจากแอร์โฮสเตสให้มากที่สุด) พร้อมทั้งต้องใส่แมสก์บนเครื่องตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ชั่วโมง แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว
ไม่นานหลังจากเครื่องเทกออฟ บรรยากาศของเครื่องบินก็เข้าสู่ความสงบ
ความเงียบมันกลับมาแล้วสินะ สารภาพตามตรงว่าเราเกลียดความเงียบสงบบนเครื่องบินเหลือเกิน เพราะทุกครั้งที่เกิดภาวะนี้บนเครื่องบิน (ซึ่งหมายความว่า เราจะต้องจากที่แห่งหนึ่งและหลาย ๆ ครั้งมันคือคำว่า ตลอดกาล) ทำให้เราอ่อนไหวและนึกถึงช่วงเวลาเก่า ๆ จนน่ารำคาญ แต่ก็ทำให้เราได้รู้ว่าช่วงเวลาที่อยู่ตรงนั้น มีค่าและเป็นความทรงจำที่ดีขนาดไหน
“It’s totally okay to crying, but I hope you will crying tears of joy”
อ่านต่อหน้า 3
19.05.2020
แดดยามเช้าลอดผ่านหน้าต่างมาปลุกทุกคนบนเครื่องบิน บอกตามตรงว่าไฟลท์นี้แทบจะไม่ได้นอนด้วยซ้ำ เพราะความแคบของที่นั่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเอนนอนอย่างสบายเหลือเกิน ผ่านไปไม่นานเครื่องบินก็เลงจอดที่เมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์เเลนด์ ใช้เวลาสักพักในการเคลื่อนย้ายทุกคนมาในสนามบิน ไม่นานนัก เรากับเพื่อนๆ จึงตัดสินใจที่จะเดินสำรวจภายในสนามบินเพื่อหาข้าวเช้าของวันนี้ (ความจริงแล้วพวกเรามีเวลาเกือบ 10 ชั่วโมง ในการเดินเล่นในสนามบินนี้ด้วยซ้ำ เพราะเครื่องบินที่จะกลับไทยออกจากที่นี่เกือบ 5 โมงเย็น)
ร้านอาหารในสนามบินแห่งนี้แทบจะปิดกันหมดทุกร้าน แม้แต่ McDonald’s ก็ปิดลง มีเพียงแค่ร้านสะดวกซื้อเล็ก ลๆ สีแดงที่ยังเปิดอยู่ เราเลือกหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปรสเผ็ดและน้ำอัดลมเป็นมื้อเช้าของวันนี้ เรียกได้ว่าช่วยชีวิตไว้เลยดีกว่าเพราะพวกเราหิวจนตาลายกันหมด (แต่เราก็ซื้อสลัดไก่มาเพิ่มเพราะมันไม่อิ่มจริงๆ ฮ่าๆ)
หลังจากกินข้าวเช้ากันเรียบร้อย เรากับเพื่อนเลือกที่จะนั่งดูซีรี่ส์เพื่อฆ่าเวลาช่วงเช้าอันยาวนานนี้ บรรยากาศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน และความเอ็นจอยของทุกคนที่ดูตื่นเต้นกับการสำรวจสนามบินและซื้อขนมของฝากกลับบ้าน เราเลยตัดสินใจเดินหาซื้อช็อกโกแลตติดไม้ติดมือกลับบ้านไปนิดหน่อย (เรื่องตลกก็คือแทบทุกคนถือถุงสีเหลืองที่ได้จากร้านของฝากกันหมดเลย)
ผ่านไปเกือบเที่ยง ทางเจ้าหน้าที่ของสถานทูตที่เนเธอร์เเลนด์ก็แวะนำอาหารเที่ยงและขนมต่างๆ มาให้พวกเรา เพราะอย่างนั้นมื้อเที่ยงของเราจึงเป็นกะเพราหมูที่อร่อยและเผ็ดของจริง ถึงกับน้ำตาไหลกันเลยทีเดียว ช่วงบ่ายคืบคลานเข้ามา หนังตาก็เริ่มหย่อน สารภาพว่าร่างกายรวนไปหมดเพราะไทม์โซนที่เปลี่ยนไปมา เราเลยใช้เวลาที่เหลือในการงีบหลับ ก่อนจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ ร่างกายก็ชัตดาวน์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
20.05.2020
เช้าวันใหม่เริ่มต้นขึ้นด้วยแสงสว่างจากทางเดินบนเครื่องบินที่เปิดขึ้นมาอย่างเบาบาง เสียงท้องร้องดังแข่งกับเสียงภายนอกให้รู้ว่าร่างกายต้องการอาหารเช้ามากแค่ไหน เพราะเมื่อคืนนี้ไม่ได้มีการเสิร์ฟมื้อเย็นอย่างที่คาดหวังไว้ บรรยากาศเงียบสงบชวนผ่อนคลายที่แฝงความตื่นเต้นไว้ไม่น้อย ทำให้ความตื่นเต้นก่อตัวอยู่ในใจอย่างเงียบ ๆ เพิ่มขึ้นไม่น้อย
ผ่านไปสักพักเครื่องบินก็เเลนดิ้งโดยสมบูรณ์ ณ สนามบินสุวรรณภูมิ แสงแดดจ้าที่ส่องมาจากหน้าต่างทำให้เรารู้ว่าอยู่ประเทศไทยแล้วอย่างแน่นอน ใช้เวลาไม่นานในการเก็บของทุกอย่างก่อนเตรียมออกจากเครื่องบิน
“Thank you” เสียงพนักงานบริการบนเครื่องบินเอ่ยขึ้น
“Thanks”
“And welcome home” พนักงานฯ คนเดิมพูดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับหัวเราะน้อย ๆ
“YEAH finally, have a nice day!” เราเอ่ยขึ้นพร้อมกับโบกมือลา ก่อนจะเดินต่อไป
อย่างน้อยบทสนทนายามเช้า ก็ไม่ได้ทำให้วันนี้แย่มากนัก 🙂
ร้อน! นี่คือความรู้สึกแรกหลังจากเดินออกจากเครื่องบิน ไอร้อนผ่าวแผ่ซ่านไปทั่วทำให้เหงื่อไหลได้ภายในไม่กี่นาที การกลับไทยในครั้งนี้ เรากลับรู้สึกเหมือนเป็นคนดังที่มีแฟนคลับรออยู่ที่สนามบินเลยทีเดียว เพราะตอนนี้หันไปทางไหนก็มีแต่เจ้าหน้าที่เต็มไปหมด เอกสารต่างๆ ถูกหยิบขึ้นมาวางเต็มไปหมดเพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันเกี่ยวกับสุขภาพของเรา จากนั้นไม่นาน เราก็ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง และไปรับกะเป๋าเดินทางเพื่อออกจากที่นี่
รถบัสคันใหญ่จำนวน 2 คัน จอดอยู่ตรงหน้า เพื่อรอรับนักเรียนทุกคนไปยังสถานที่กักตัว 14 วัน บรรยากาศตอนนี้ที่มองไปทางไหนก็มีแต่คนสวมแมสก์จำนวนนับไม่ถ้วนกำลังพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อรอบ ๆ กระเป๋าเดินทางอย่างขะมักเขม้น เราเดินตามเจ้าหน้าที่ที่ตอนนี้พาขึ้นรถบัสคันแรกเพื่อรอคนอื่นๆ
นี่เราหายไปนานจนลืมไปแล้วหรอว่าประเทศไทยร้อนขนาดนี้
สองข้างทางค่อย ๆ เปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ภายใต้เเสงแดดอันแรงกล้าที่ส่องผ่านม่านเข้ามา รถราดูไม่ได้หายไปมากนักกำลังเคลื่อนไปบนมอเตอร์เวย์กรุงเทพ-ชลบุรี ใช่ค่ะ สถานที่กักตัวของเราครั้งนี้คือ โรงแรมแห่งหนึ่งที่พัทยา และขอบอกเลยว่าโรงแรมนั้นไม่ธรรมดาเลยจริง ๆ (เพราะมี Sea View ด้วย) ซึ่งทุกคนที่มากักตัวจะได้อยู่ห้องละหนึ่งคน โดยที่ห้ามพบเจอกัน หรือออกจากห้องมาเจอกันเด็ดขาด เท่ากับว่าตลอดสองอาทิตย์เราจะได้อยู่ในห้องตลอด 24 ชั่วโมง กันเลยทีเดียว คงต้องหาอะไรทำแก้เบื่อแล้วสินะ
เอาละ! เราจะขอตั้งชื่อ บันทึกการเดินทาง ครั้งนี้ว่า “5 วันกับการกลับไทย ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น” บอกตามตรงเลยว่าเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่มาก เพราะแม้ว่าจะมีเงินก็คงไม่ได้สัมผัสอะไรแบบนี้ (ถ้าคิดในแง่ดีนะ) ทั้งได้เจอกับสถานทูตจากประเทศต่าง ๆ การได้ครองสนามบินที่แทบจะร้างผู้คน หรือการได้นอนอยู่บนเครื่องบินลำใหญ่ประหนึ่งที่นั่งชั้น First Class การเดินทางกลับครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่ความยาวนานเท่านั้นที่เป็นอุปสรรค เเต่ยังมีเรื่องความปลอดภัยที่ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ บอกเลยว่าถือเป็นการเดินทางที่ตื่นเต้นและน่าจดจำไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน
03.06.2020
14 วันสำหรับกระบวนการ state quarantine บรรยากาค่ำคืนอันแสนคุ้นเคยสลับสับเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วผ่านหน้าต่างรถยนต์ สารภาพว่าเรารู้สึกตื่นเต้นกับป้ายต่างๆ ที่เป็นภาษาไทยมาก เพราะไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้มานานเหลือเกิน ความสงบยังคงดังกว่าความวุ่นวายบนท้องถนนอยู่ดี แม้ว่าแม่และพ่อจะนั่งอยู่ด้วยกัน แต่ตอนนี้ใจลอยไปถึงอาหารของแม่ที่เตรียมรอไว้ที่บ้านแล้ว คิดถึงอาหารของแม่เหลือเกิน