ออกผจญภัยจากนิวยอร์กด้วย แคมเปอร์แวน

ขับ แคมเปอร์แวน จากนิวยอร์กขึ้นเหนือไปปีนผา ตามล่าใบไม้เปลี่ยนสี วิถีค่ำไหนนอนนั่นที่ New Hamshire (แล้วปิดทริปด้วยการเดินขึ้นเขาสูงสามพันฟีตเหนือระดับน้ำทะเล) 

Leaving New York CIty / ขับ แคมเปอร์แวน ออกนอกเมือง

นับจากต้นปี 2020 มาเชื่อว่าหลายๆคนทั่วทั้งโลกคงมีความเครียดสะสมจากสถานการณ์ต่างๆเรื่อยมาไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราชาวเมืองนิวยอร์กกับตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดที่นำโด่งแซงหน้าทุกประเทศ ต้องเผชิญกับการล็อคดาวน์ที่สิ่งอำนวยความสะดวกหลายอย่างถูกปิด เมืองนิวยอร์กที่เคยมีชีวิตชีวาตลอด 24 ชั่วโมงกลับกลายเป็นเมืองร้างเงียบเหงา

แผนการขับ campervan เที่ยวอเมริกาช่วงเดือนพฤษภาคมของเราก็ล่มอย่างไม่ต้องสงสัย แต่แล้วเมื่อสถานการณ์ดีขึ้น ผู้ว่าการรัฐทั้งนิวยอร์กและใกล้เคียงเริ่มทะยอยให้เปิดเมืองโดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติต่างๆ เพื่อให้ผู้คนได้ไปบำบัดความเครียดบ้าง เราจึงตัดสินใจนำแผนการเที่ยวกลับมา เพียงแต่ว่าต้องเปลี่ยนจุดหมายปลายทางให้ใกล้ขึ้นกว่าเดิมเท่านั้นเอง

ผลจากการที่ Climbing gym เจ้าประจำถูกปิดชั่วคราวตั้งแต่กลางเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ก๊วนปีนผาเล็กๆอย่างพวกเราก็ต้องออกไปเสาะหาที่ปีนผาจริงที่ไม่ไกลจากนิวยอร์กมากนัก หลังจากปีนผาใกล้ๆเมืองมาได้สักพักเพื่อนคนหนึ่งก็ชักชวนว่าเราน่าจะออกไปไกลจากนิวยอร์กอีกนิดเพื่อจะได้ไปปีนในสิ่งแวดล้อมที่แปลกออกไปบ้าง

แผนการขับรถ แคมเปอร์แวน เที่ยวเปิดหูเปิดตาก็ถูกสรุปลงมาทันที จุดหมายปลายทางของเราครั้งนี้จะเริ่มต้นที่ Rumney, New Hamshire จุดปีนผาอันขึ้นชื่อว่าเป็นสวรรค์ของเหล่านักปีน

เราเช่ารถจาก Escape Campervans* โดยไปรับรถจาก Jersey City ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองนิวยอร์ก ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่เราเช่ารถกับที่นี่ทำให้ช่วยย่นระยะเวลาการดำเนินการต่างๆไปได้บ้าง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยเราก็มุ่งหน้าสู่ New Hamshire ทันที โชคไม่ดีอากาศในวันนั้นมีพายุฝนตลอดทั้งวัน จากการคาดการณ์ปกติที่จะใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมงในการขับรถ กลายเป็น 7 ชั่วโมงของการขับรถฝ่าพายุฝนตลอดระยะทาง 300 ไมล์เศษ

เมื่อเวลาเกือบๆห้าทุ่มเราก็มาถึง Rumney Rattlesnake Campground ซึ่งจะเป็นที่พักของเราสองคืนข้างหน้านี้ เราขับรถผ่านโรงนาและสนามหญ้าขนาดใหญ่เข้ามาถึงด้านใน ไฟหน้ารถฉายให้เห็นว่ามีรถและเตนท์อยู่ตามจุดต่างๆใต้ต้นไม้ เราเลือกจอดจุดที่ไม่ไกลจากห้องน้ำก่อนทำธุระต่างๆ จัดการเปลี่ยนที่นั่งหลังรถให้เป็นที่นอน พรุ่งนี้เช้าจะต้องไปตามหาเตนท์ของเพื่อนๆที่ล่วงหน้ามาก่อน 1 วันและเตรียมตัวปีนผา อดนึกไม่ได้ว่าครั้งนี้โชคดีที่ได้นอนอุ่นและแห้งสบายอยู่ในรถ ก่อนจะเผลอหลับไปพร้อมกับเสียงลมและฝนที่แม้จะซาลงมากแต่ก็ยังไม่หยุดสนิทตลอดคืน

ช่วงเวลากลางดึกที่ Rumney Rattlesnake Campground เมื่อเมฆฝนหายไปเปิดให้เห็นดาวอย่างชัดเจน

 

Rock Climbing and getting Lost in Rumney’s woods / ออกไปปีนหน้าผาและหลงป่าในความมืด

เช้าแล้วเราเก็บภาพ campervan ที่จะอยู่กับเราไปตลอดในอีกสิบวันข้างหน้า Escape Campervans มีชื่อเสียงในด้านการทำสีรถให้มีสีฉูดฉาดดึงดูดสายตา และ campervan สีสดใสของเรานั้นมีชื่อว่า Peace Train
อากาศเย็นจนไม่อยากลุกจากที่นอน

แสงที่ส่องผ่านม่านเข้ามาในรถในเช้าวันถัดมาบวกกับเสียงคุยกันเบาๆจากแคมป์ข้างๆปลุกให้เราตื่น เมื่อเปิดประตูรถออกมาก็พบว่าฝนหยุดแล้วแต่ฟ้ายังปิดและพื้นยังเปียกอยู่มาก มองไปที่ลานหญ้ากว้างมีร่องรอยน้ำแข็งจางๆบ่งบอกถึงความเย็นของอากาศ พื้นที่ตั้งเตนท์ของที่นี่ไม่ใหญ่เราจึงใช้เวลาไม่นานในการหาเพื่อนๆจนเจอกัน หลังจากปรึกษาถึงแผนการของวันนี้แล้ว เราตกลงว่าจะเริ่มปีนกันช่วงบ่าย รอให้มีแดดสักนิดและหน้าผาหินคายน้ำออกไปอีกหน่อย ถ้าใครปีนผาเป็นที่รู้กันว่าการปีนหินตอนเปียกไม่ใช่เรื่องสนุกเลย

เตรียมอาหารง่ายๆบริเวณครัวด้านหลังของ campervan ที่มาพร้อมกับเตาแกสและตู้เย็นขนาดเล็ก

หลังจากทานอาหารเช้าและเตรียมอุปกรณ์เรียบร้อย ทีมเล็กๆห้าคนของเราก็เริ่มออกเดินสู่จุดหมาย Rumney ได้ชื่อว่าเป็นจุดปีนผายอดนิยมที่นักปีนผาทั่วโลกมารวมตัวกัน ด้วยลักษณะของหิน Schist บน Rattle Snake Mountain (หินแปรชนิดหนึ่ง – ในประเทศไทยพบได้ที่ อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา) ที่มีลักษณะเป็นริ้วคล้ายกับลายไม้และมีแร่ Mica วาววับในหินเป็นส่วนประกอบหลัก

หน้าผาที่เกิดจากหินชนิดนี้มีหลายรูปทรงและลักษณะประกอบกัน เป็นจุดเด่นที่ทำให้ผาที่นี่มีระดับตั้งแต่ง่ายมากไปจนถึงยากที่สุด และเป็นส่วนสำคัญที่ดึงดูดนักปีนทุกระดับให้มารวมตัวกัน

เดินเลียบ Baker River ที่อยู่ด้านข้าง campground เพื่อจะข้ามถนนไปยังจุดจอดรถหลักของ Rumney
ทางเข้าหลักของ Rumney นำไปสู่ทางเดินป่าก่อนจะแยกไปสู่จุดปีนผาต่างๆ

เส้นทางปีนใน Rumney กว่าครึ่งนั้นจะเป็นการปีนในรูปแบบ Sport Lead Climbing ที่ต้องอาศัยความแข็งแรงและทักษะในการปีนรวมถึงการใช้อุปกรณ์ให้ถูกต้องและปลอดภัย จากความตั้งใจที่จะเดินกลับลงไปก่อนพระอาทิตย์ตก กลับกลายเป็นว่าเราสนุกจนเกือบลืมเวลา กว่าจะเก็บอุปกรณ์เสร็จพระอาทิตย์ก็ลับเหลี่ยมเขาไปแล้ว ทุกคนเตรียมใจพร้อมหยิบไฟฉายคาดหัวออกมาเมื่อรู้ว่าจะต้องเดินกลับในความมืดอย่างแน่นอน

การเดินป่าในความมืดไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเส้นทางถูกใบไม้ปกคลุมยากที่จะมองเห็น เราค่อยๆไต่ก้อนหินลงมากันอย่างทุลักทุเล เนื่องจากเราอยู่ในจุดที่เกือบจะสูงสุดของภูเขา นั่นแปลว่าระหว่างทางลงมาจะมีหน้าผาลดหลั่นไปเรื่อยๆ แต่ละก้าวจึงต้องคอยสังเกตเส้นทางไม่ให้เดินไปสู่ขอบผา เราใช้เวลาสักพักในป่าที่มืดสนิทจนมาถึงน้ำตกที่เราเดินผ่านในช่วงแรก ต่างกันเพียงว่าตอนขามาเราอยู่ด้านล่างของน้ำตกแต่เวลานี้เราทั้งห้ากำลังยืนอยู่ที่น้ำตกชั้นบนสุด

ทุกคนเริ่มกังวลว่าจะหาทางผ่านน้ำตกลงไปอย่างไรไม่ให้อันตราย พอดีกับที่เรามองเห็นไฟฉายสองดวงอยู่ไกลๆด้านล่างปลายสุดของทางน้ำ นักปีนผาที่เดินผ่านมาเห็นไฟคาดหัวของเราคงสงสัยว่าพวกเราทำอะไรกันอยู่บนนี้ ทั้งสองคนช่วยปีนขึ้นมาดูเส้นทางและนำให้เรากลับลงไปอย่างเปียกปอนแต่ปลอดภัย นับเป็นช่วงเวลากว่าชั่วโมงในความมืดมิดกลางป่าที่เราสัญญากันว่าจะไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไป

มื้อเช้าของนักปีนผาจะมีอะไรดีไปกว่าคาร์บ น้ำตาล และกาแฟเข้มๆ

เช้าวันอาทิตย์หลังจากผ่านวันอันเหน็ดเหนื่อย แม้จะมีที่นอนนุ่มๆกับถุงนอนอย่างดีก็ยังทำให้เราตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะความหนาวอุณหภูมิติดลบหลายครั้ง แต่ด้วยวันนี้เป้าหมายของเราคือการปีนเขาให้เต็มที่ เราจึงยอมตื่นแต่เช้าเพื่อมาเตรียมตัวโดยมีแผนการจะไปถึงหน้าผาให้เร็วที่สุด Rattlesnake Campground แห่งนี้ตั้งอยู่ห่างจากหน้าผาเพียงถนนกั้น

เสียงตะโกนส่งสัญญานของนักปีนผาคนอื่นๆดังก้องข้ามถนนมาเตือนให้เรารีบจัดการมื้อเช้าและเดินข้ามถนนไปยังหน้าผาที่ใกล้ที่สุดทันทีแม้อากาศจะหนาวจัดแต่วันนี้ฟ้าเปิดเต็มที่ แดดอ่อนๆสาดส่องไปบนหินสีเทาดำเป็นประกาย วันนี้เราเลือกเส้นทางในระดับที่ไม่ยากไม่ง่ายจนเกินไปและใช้เวลาปีนกันจนถึงช่วงบ่ายต้นๆก็ได้เวลาแยกย้าย เพื่อนๆขับรถกลับเข้าเมืองนิวยอร์ก และนับจากนี้ไปอีก 8 วันก็จะเป็นเวลาท่องเที่ยวใน แคมเปอร์แวน สำหรับเราสองคน

การปีน sport climbing หรือ lead climbing (คนกลางและคนขวาสุดจากภาพ) คือการปีนผาที่ผู้ปีนคนแรกจะปีนขึ้นไปพร้อมเชือกและอุปกรณ์เพื่อยึดกับ bolts ที่ติดตั้งไว้แล้วเป็นระยะบนเส้นทางนั้นๆ ผู้ปีนจะต้องคล้องเชือกกับอุปกรณ์ป้องกันในขณะที่ปีนสูงขึ้นไปเรื่อยๆเพื่อความปลอดภัย เมื่อขึ้นไปถึงด้านบนจะทำการผูก anchor ก่อนจะโรยตัวกลับลงมา ให้นักปีนผาคนอื่นสามารถปีนตามขึ้นไปได้ง่ายและปลอดภัย (top rope climbing – คนซ้ายสุดจากภาพ)
top rope climbing(ซ้าย) และ sport climbing (ขวา)
เมื่อปีนขึ้นไปถึงส่วนยอดของผาและจัดการติดตั้ง anchor เรียบร้อย นอกจากความรู้สึกภูมิใจในความสำเร็จของเราแล้วนั้น วิวจากยอดเขายังเป็นรางวัลชั้นดีของนักปีนผาทุกคน
โรยตัวกลับลงมาเมื่อปีนสำเร็จ

Where do we sleep tonight? / คืนนี้ยังไร้ที่นอน

สองวันสองคืนที่ผ่านมาเรายังไม่ได้อาบน้ำ ด้วยอากาศที่หนาวจัดและ campground ที่พักไม่ได้มีห้องอาบน้ำประกอบกับความเหนื่อยล้าจากการปีนผา เราตัดสินใจกันว่าเราจะพักโรงแรมหนึ่งคืนเพื่อให้ร่างกายได้พักผ่อนและอาบน้ำพร้อมทั้งเตรียมตัวสำหรับ 7 คืน 8 วันข้างหน้า

เราแวะซื้อวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร น้ำและขนมตุนไว้ในตู้เย็นของรถ รถตู้แคมเปอร์แวนคันนี้นอกจากจะปรับเบาะและโต๊ะกินข้าวให้เป็นที่นอนได้แล้ว ด้านหลังของรถยังมีครัวเล็กๆที่มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกพื้นฐานครบ ทั้งเตาแกสและตู้เย็นพลังแสงอาทิตย์ และยังมีอ่างล้างมือบรรจุน้ำสะอาด 5 แกลลอนสำหรับทำความสะอาด ทุกอย่างแสนสะดวกสบายทำให้เราอดคิดกันไม่ได้ว่า เราจะมีบ้านหลังใหญ่ไปทำไมในเมื่อจริงๆแล้วชีวิตเราก็ต้องการแค่เพียงเท่านี้ 

(ภาพจาก https://www.escapecampervans.com/campervans/mavericks/ )

หลังจากเชคเอาท์จากโรงแรมด้วยความสดชื่นเปี่ยมพลังแล้วเราก็ไม่รอช้า ขับรถมุ่งหน้าขึ้นเหนือทันที New Hamshire เป็นรัฐที่อยู่ทางทิศเหนือของ Massachusetts และทิศตะวันออกของ Vermont แม้ช่วงที่เรามาถึงจะเป็นช่วงปลายของฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่ใบไม้สีเหลืองแดงสดใสยังมีให้เห็นอยู่ไม่น้อยเลย เราขับรถผ่านภูเขาสีเหลืองลูกแล้วลูกเล่า ก่อนที่จะเลี้ยวรถเข้าไปดู Hancock Campground จุดพักไม่กี่แห่งของรัฐบาลที่ยังคงเปิดอยู่ ดูเหมือนว่า campground อื่นๆจะเริ่มทะยอยปิดกันหมดในช่วงกลางเดือนตุลาคมเนื่องจากใกล้เข้าสู่ฤดูหนาว

ที่ผ่านมาเราสองคนชื่นชอบในการจัดการพื้นที่ตั้งแคมป์ของรัฐมาก ในแต่ละที่จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกแตกต่างกันไปแต่ส่วนใหญ่ที่เหมือนกันคือการรักษาความสะอาดและกฎเกณฑ์การใช้พื้นที่ที่เข้มงวด ผู้คนที่เข้ามาใช้พื้นที่ต่างเคารพสถานที่และปฎิบัติตามกฏต่างๆเป็นอย่างดี ส่งผลให้ที่พักส่วนใหญ่สะอาดและเงียบสงบสมกับเป็นพื้นที่พักผ่อนในธรรมชาติอย่างแท้จริง

ด้านหลังของ Hancock Campground มีแม่น้ำไหลป่าน ชื่อว่า East Branch Pemigewasset River ที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำอีกหลายสายในบริเวณ White Mountain แห่งนี้

การเข้าพักที่ Hancock Campground เป็นแบบ first come first serve หมายความว่าไม่สามารถทำการจองล่วงหน้า เมื่อมาถึงแล้วหากมีที่ว่างก็เข้าพักได้เลย

การเข้าพักไม่มีอะไรยากเพียงแค่หยิบซองจดหมายที่วางไว้ให้บริเวณทางเข้ามาใส่รายละเอียดเกี่ยวกับผู้เข้าพักและเลขที่ campground ที่เลือกไว้ เมื่อคำนวนค่าที่พักด้วยตนเองเสร็จแล้วก็จัดการใส่เงินสดและนำไปหย่อนในตู้เก็บเงินที่มีไว้ให้ พร้อมทั้งเสียบกระดาษรายละเอียดการจ่ายเงินไว้ที่กระจกหน้ารถด้านในเพียงเท่านี้ก็เรียบร้อย

แม้ขั้นตอนเหล่านี้จะทำได้เองไม่ต้องเจอกับเจ้าหน้าที่ใดๆ แต่ใน campground ทุกแห่งจะมีเจ้าหน้าที่ที่เรียกว่า Camp host คอยดูแลอยู่ หากเรามีปัญหาก็สามารถไปขอความช่วยเหลือได้ตลอดเวลา

Afternoon strolling at the amazing Flume Gorge / เดินเล่นยามบ่ายที่ Flume Gorge 

เมื่อสบายใจว่ามีที่จอดรถพักนอนแน่ๆแล้วอีกสองคืนและยังมีเวลาอีกนานในช่วงบ่ายก่อนพระอาทิตย์จะตก เราจึงออกเดินทางไปยังหาที่เที่ยวที่อยู่ไม่ไกล Flume Gorge เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในเมือง Lincoln, New Hamshire มีจุดเด่นคือ น้ำตกที่ไหลผ่านช่องแคบระหว่างหน้าผาสูงสองฝั่งลงมายังแม่น้ำด้านล่าง การเข้าชม Flume Gorge ในช่วงนี้จะต้องจองตั๋วล่วงหน้าบนเวบไซต์** เนื่องจากมีการจำกัดปริมาณคนเข้าชมและลดการติดต่อกับพนักงาน

เมื่อเราไปถึงสามารถแสดง Barcode การจองบนมือถือและเข้าไปภายในได้เลย การเดินชม Flume Gorge นั้นไม่ยากเนื่องจากมีการทำทางเดินไว้อย่างดี เราสามารถเลือกเดินแบบเต็ม loop ระยะทาง 3.2 กิโลเมตร หรือจะเดินระยะสั้นเพียงแค่ไปชมช่องแคบแล้ววกกลับ ใช้เวลาเพียง 40 นาที วันนี้เราเลือกเดินแบบระยะไกลเต็ม loop ซึ่งจะใช้เวลา 1 ชั่วโมง 15 นาที

แวะพักริมน้ำกินขนมเติมพลังงานก่อนจะต้องเดินยาวอีกเกือบหนึ่งชั่วโมง
เสียงน้ำตกที่ไหลผ่านช่องแคบช่วยเติมเต็มให้ภาพที่เห็นสมบูรณ์สวยงามจับใจ จากจุดนี้เราจะต้องเดินบนสะพานไม้เลียบหน้าผาขึ้นไปถึงด้านบนของน้ำตก

Flume Gorge เกิดขึ้นในยุคจูราสสิคเมื่อ 200 ล้านปีที่แล้วจากหินหลอมเหลวใต้ดินที่เย็นตัวลงกลายเป็นหิน Conway granite และแยกตัวออกจากกันโดยมีหิน Basalt ค่อยๆแทรกตัวขึ้นมาระหว่างกลางในรูปของเหลวที่เมื่อถูกความเย็นและความกดก็แปรสภาพเป็นหิน การสึกกร่อนของผิวโลกเปิดโอกาสให้น้ำแทรกซึมเข้าไปในชั้นหิน หิน Basalt กร่อนได้ไวกว่าหิน Conway granite มาก เมื่อถูกน้ำเซาะเป็นเวลานานก็ทำให้เกิดร่องลึกตรงกลางกลายเป็นช่องแคบ (gorge) ในปัจจุบัน

ช่องเขาบริเวณนี้แคบมาก ในช่วงที่หิมะเริ่มละลายและฤดูฝนที่น้ำในแม่น้ำมีมาก การเดินผ่านช่องแคบนี้โดยไม่เปียกจะเป็นไปได้ยากเนื่องจากจะเต็มไปด้วยละอองน้ำตลอดเวลา

ปริมาณน้ำในช่องแคบยังมีอยู่มากแม้จะอยู่ในฤดูใบไม้ร่วง เราเดินบนทางเดินไม้ที่ทำไว้อย่างดีบนแม่น้ำที่ขนาบไปด้วยช่องเขาสูง บนหน้าผามีความชื้นมากกว่าปกติทำให้มีต้นไม้และมอสเติบโตเขียวอยู่ตลอดปี ความอลังการของธรรมชาติทำให้เราทึ่ง แต่ก็ไม่น้อยไปกว่าความพยายามของมนุษย์ที่เนรมิตสถานที่แบบนี้ให้ทุกคนเข้าถึงได้ง่ายและยังรักษาสภาพแวดล้อมไว้ได้อย่างดี 

หลังจากผ่านน้ำตกชั้นบนมาแล้ว เรากลับมาสู่ทางเดินในป่าท่ามกลางต้นไม้สองข้างทางที่กำลังเปลี่ยนสี เราเดินชมธรรมชาติข้างทางแบบสบายๆ ใบไม้สีเหลืองทองปูพรมตั้งแต่บนพื้นจนถึงยอดไม้ทำให้การเดินที่เหลือเพลิดเพลินไม่น้อยกว่าช่วงแรกเลย วันนี้เรากลับไปที่ campground และใช้เวลาช่วงเย็นรอบกองไฟอุ่นๆ ทำอาหารง่ายๆ

เมื่อพระอาทิตย์ตกลับขอบฟ้าไปเราก็อยู่ในโลกที่มืดสนิทมีแสงดาวเล็กน้อยและเสียงแม่น้ำอยู่ไกลๆ ฝนปรอยๆตกลงมาเป็นสัญญานให้เราดับกองไฟและเข้านอน

Fall Foliage hunting at Kancamagus Highway / ตามล่าใบไม้เปลี่ยนสีที่ Kancamagus Highway

ในวันที่ฝนตกและอากาศเย็นเราทำข้าวต้มอุ่นๆและนำเข้ามาทานในรถเป็นมื้อเช้า

วันนี้ไม่ได้มีแผนการอะไรมากแต่เราก็ตื่นเร็วกว่าปกติ หลังจากอ้อยอิ่งดื่มชาและกาแฟกันอยู่สักพักเราก็ตัดสินใจว่าจะขับรถเล่นๆอ้อมผ่าน Kancamagus Highway*** ขึ้นเหนือแบบไม่มีจุดหมายแน่นอน Kancamagus Highway เป็นถนนที่ได้ชื่อว่าสวยงามที่สุดในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ผู้คนจากที่ต่างๆมุ่งหน้ามายังถนนเส้นนี้เพื่อขับรถผ่านภูเขาชมทะเลใบไม้สีเหลืองสลับแดงบนเส้นทางระยะ 55 กิโลเมตร

ช่วงต้นเดือนตุลาคมเป็นช่วงที่ดีที่สุดเนื่องจากต้นไม้ยังไม่สลัดใบร่วงทั้งหมด เมื่อมองจากไกลๆจะเห็นทั่วทั้งภูเขาถูกปกคลุมด้วยพรมไล่เฉดสีแดงเข้มไปจนถึงเหลืองอ่อนสวยงามจนเป็นอีกครั้งที่เราอดปลาบปลื้มกับความมหัศจรรย์ของธรรมชาติไม่ได้เลยจริงๆ

แม้จะไม่มีแสงแดดและท้องฟ้าสีฟ้าสดใส ในวันนี้ Kancamagus Highway ในเงาหมอกก็ยังคงมีความงามเฉพาะตัว
ระหว่างทางมีจุดสำหรับจอดพักชมวิวเป็นระยะ บางจุดเปิดให้คนเข้ามาใช้เป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจระหว่างวันหรือตั้งแคมป์ค้างคืน
แวะทักทายเป็ดที่เชื่องมากจนน่าแปลกใจ แต่เมื่อเดินไปเจอกับตู้อาหารเป็ดหยอดเหรียญก็เข้าใจในทันทีว่าทำไมเป็ดที่นี่ถึงเชื่องมากเป็นพิเศษ

เราขับรถผ่านเมือง Conway ขึ้นไปจนถึง Crawford Notch และแวะจอดริมทางรถไฟอันเป็นหนึ่งในจุดหมายของนักท่องเที่ยวที่อยากจะมาชมใบไม้เปลี่ยนสีแบบไม่ต้องขับรถเองที่เรียกว่า Conway Scenic Railroad****

นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นรถไฟที่มีชื่อว่า Mountaineer รถไฟเก่าแก่จากยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองเพื่อชมวิวในภูเขาเป็นระยะทางไปกลับกว่า 60 ไมล์ ใช้เวลาทั้งหมดเกือบ 6 ชั่วโมง แต่เนื่องจากไม่มีเวลามากพอในวันนี้เราจึงตัดสินใจไปเดินขึ้นเขาสู่จุดชมวิวเป็นการออกกำลังในระยะสั้นแทน

วิวจาก Elephant rock มองลงไปเห็นทางรถไฟสาย Conway Scenic Railroad ทางซ้ายของถนน และเห็นรถของเราที่จอดไว้ด้านล่างอยู่ลิบๆอีกด้วย

สิ่งที่เรายกให้เป็นจุดเด่นที่สุดของวันนี้ คือการค้นพบเส้นทางลัดตัดผ่านกลางภูเขาระหว่างทางกลับไปยัง campground ที่แม้ในตอนแรกเราไม่มั่นใจกับเส้นทางที่ google map แนะนำเพราะไม่อยากเสี่ยงขับรถบนถนนที่แคบและมืดรวมทั้งอาจจะเป็นเส้นทางเลียบหน้าผา แต่ด้วยระยะเวลาที่สั้นกว่ามากทำให้เราตัดสินใจลอง

เมื่อเลี้ยวเข้าไปได้ไม่ถึงห้านาที เราค้นพบว่านี่คือเส้นทางที่ดีที่สุดของทริปนี้ มันดีจนถึงกับต้องขับรถอ้อมเพียงให้ได้มาผ่านทางนี้อีกครั้งในวันรุ่งขึ้น

บนจุดสูงสุดของถนนมีจุดจอดรถเล็กๆให้พักชมวิวได้ หุบเขาด้านล่างเปล่งประกายสีเหลืองทองสลับกับเมฆที่ลอยต่ำ หมอกจางๆไหลเอื่อยๆตามลม เราได้ยินเสียงหวูดรถไฟ Mountaineer ก้องมาจากหุบเขาไกลๆ เดาได้ว่าน่าจะกำลังพาผู้โดยสารกลับไปส่งที่สถานีก่อนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้าในวันนี้

เราขับรถกลับมาถึง campground ด้วยความอิ่มใจ นับว่าการเที่ยวแบบเรื่อยเปื่อยไม่ได้มีกำหนดการแน่นอนของเราในวันนี้มีความสำเร็จสูงทีเดียว

Camping  in Pawtuckaway State Park / ขับรถไปนอนบนเกาะกลางน้ำ

จัดการอาหารเช้าง่ายๆในวันที่ฟ้าอึมครึม

เช้าวันต่อมาเราขับรถลงใต้มุ่งหน้าสู่จุดหมายถัดไปชื่อว่า Pawtuckaway State Park อุทยานแห่งชาติอันเป็นเกาะแก่งกลางทะเลสาปที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเล็กๆ campground บนเกาะกลางน้ำแห่งนี้ต้องจองล่วงหน้าเนื่องจากพื้นที่บางส่วนสงวนไว้ให้เหล่า campers เท่านั้น เรามาถึงตอนที่สำนักงานปิดแล้วแต่ก็ไม่ใช่ปัญหา จากประสบการณ์ที่ผ่านมา campground ส่วนมากล้วนแต่ใช้ระบบความไว้เนื้อเชื่อใจ

ถ้าหากเรามาถึงหลังจากสำนักงานปิดแล้วเราสามารถผ่านเข้าไปพักได้ เพียงแค่ต้องแวะเข้ามาในวันถัดไปเพื่อแจ้งรายละเอียดการจองให้ผู้ดูแลรับทราบและรับป้ายห้อยหน้ารถเป็นการยืนยันเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

จากทางเข้าเราต้องขับรถผ่านเกาะแก่งต่างๆเข้าไปอีกประมาณ 10 นาทีจึงจะถึง Horse Island ที่เราจองไว้ ครั้งนี้เราเลือก campsite ริมน้ำเพราะตั้งใจว่าจะใช้เวลาอีกสองวันข้างหน้าพักผ่อนให้เต็มที่เนื่องจากมีแผนการปีนเขาสูงก่อนกลับนิวยอร์ก ที่นี่มีคนน้อยกว่าที่คิดไว้ น่าจะเป็นเพราะใกล้หมดฤดู camping แล้ว

เราตื่นเช้าตรู่มาพบกับแสงแดดสดใสและอากาศอบอุ่นแบบน่าแปลกใจ สิ่งแรกที่ทำในวันนี้คือพุ่งตัวไปอาบน้ำที่ห้องน้ำรวมหลังจากที่เราไม่ได้อาบน้ำมาสองวัน campgrounds ที่เป็นของรัฐบาลในอเมริกามีหลายแบบให้เลือก เราสามารถดูข้อมูลจากเวบไซต์ Reserve America***** ได้ว่าแต่ละแห่งมีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรบ้าง

แม้ว่าจะมีราคาแตกต่างกันไป สิ่งดีที่เราสังเกตได้จากทุกที่คือความสะอาดทั้งของห้องน้ำและพื้นที่ campsite ที่ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของเหล่า campers ทั้งหลาย ทุกคนพร้อมใจกันแยกขยะและทิ้งขยะให้เป็นที่เป็นทาง รวมทั้งช่วยกันเก็บรักษาพื้นที่ให้อยู่ในสภาพที่ดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนจะ check-out เพื่อให้คนที่มาใช้พื้นที่ต่อไปเข้ามาใช้ได้โดยไม่ต้องมีพนักงานมาคอยตามทำความสะอาดให้ นับเป็นตัวอย่างดีๆที่เมืองไทยของเราควรจะนำไปปฎิบัติตาม นอกจากจะเป็นเครื่องแสดงถึงความใส่ใจกับผู้คนทั่วไปแล้วยังเป็นการใส่ใจดูแลรักษาธรรมชาติที่ดียิ่งอีกด้วย

บริเวณพื้นที่ส่วนกลางของอุทยานมีเรือคายัคให้เช่าออกไปพายรอบเกาะแก่งต่างๆได้ แต่เราเลือกที่จะนั่งเฉยๆที่ campsite ของเรา ทักทายสองสาวแปลกหน้าจาก camp ข้างๆและคนที่พายเรือผ่านไปมา ดื่มด่ำกับความเงียบสงบ นั่งจิบกาแฟเคล้าเสียงลมพัดใบไม้ปลิวเบาๆรอบตัว ค่ำลงอากาศเย็นขึ้นเรื่อยๆได้เวลาจุดไฟให้ความอบอุ่นและทำอาหารปิ้งย่างง่ายๆบนกองไฟ ทุกอย่างเงียบลงมีแต่เสียงแมลงและลมพัดผิวน้ำแว่วมาเป็นระลอกชวนให้สบายใจ

campground ส่วนใหญ่จะมีที่จุดไฟพร้อมทั้งตะแกรงปิ้งย่างไว้ให้พร้อมในทุกๆ campsite นอกจากข้อบังคับหลักๆที่สามารถจุดไฟได้ในจุดที่กำหนดเท่านั้น หลายๆแห่งยังห้ามนำฟืนที่เป็นไม้จากต่างถิ่นหรือต่างรัฐเข้ามาใช้เพื่อป้องกันแมลงนอกถิ่นเข้ามาทำลายระบบธรรมชาติอีกด้วย

Leisure Camping / Recreational camping

เราใช้เวลาเช้านี้แบบช้าๆเพราะรู้ว่าอีกสามวันก็ต้องกลับนิวยอร์กแล้ว แม้ครั้งนี้จะเป็นเพียงครั้งที่สองที่เราออกมาทดลองใช้ชีวิตและท่องเที่ยวในรถตู้ ขับรถไปเรื่อยๆเหนื่อยก็พัก แต่เราก็พบว่าความสนุก สงบหรือแม้กระทั่งความตื่นเต้นเล็กๆน้อยๆล้วนเติมเต็มความสุขในชีวิตได้ วัฒนธรรม Recreational camping ในอเมริกาเริ่มมาตั้งแต่ปี 1860 และค่อยๆเพิ่มความนิยมขึ้นเรื่อยๆ จากรายงานของ North American Camping Report, sponsored by Kampgrounds of America (KOA)******

ในปี 2019 มีจำนวน campers สูงถึง 91 ล้านครอบครัว เพิ่มมาจากปี 2018 ถึง 2.7 ล้านคน* และคาดว่าตัวเลขในปี 2020 นี้จะเพิ่มมากขึ้นไปอีกจากการคาดการณ์อันเนื่องมาจากสถานการณ์ Covid-19 ที่ทำให้ผู้คนเริ่มมองหารูปแบบการท่องเที่ยวที่ปลอดภัยจากโรคระบาด การขับรถท่องเที่ยวรวมถึงการออกมาใช้ชีวิตในธรรมชาติเป็นหนทางหนึ่งที่คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก

Hiking up the Grand Monadnock Mountain / ตะกายเขาสูงสามพันฟีต

เย็นวันศุกร์เราขับรถออกจาก Pawtuckaway State Park มาถึง Gilson Pond Campground ที่ตั้งอยู่ใน Monadnock State Park มาถึงจุดนี้เราแทบจะลืมวันลืมคืนกันไปแล้ว เราไม่ได้ดูปฏิทิน แทบไม่ได้ดูนาฬิกา เข้านอนไวและตื่นเช้า ทานอาหารพอดีและเน้นอาหารที่ปรุงง่ายได้สารอาหารครบถ้วน ดื่มน้ำเยอะตลอดเวลา ดูเหมือนว่าคุณภาพชีวิตระหว่างนี้จะดีอย่างเห็นได้ชัด อดใจหายไม่ได้ที่เราต้องมาเริ่มนับถอยหลังเพราะรู้ว่าวันจันทร์ที่จะถึงนี้เราต้องกลับไปใช้ชีวิตแบบคนเมืองนิวยอร์กอีกแล้ว

​เมื่อมาถึงทางเข้าผู้ดูแล campground แห่งนี้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับเส้นทางปีนเขาที่เราตั้งใจจะปีนในวันรุ่งขึ้น ระยะทางแม้ไม่ไกลแต่ความยากของเส้นทางอาจจะทำให้เราต้องใช้เวลาทั้งวัน ดังนั้นเราจะต้องตื่นแต่เช้าเพื่อให้สามารถกลับลงมาก่อนมืด แน่นอนว่าประสบการณ์ปีนลงเขาในความมืดจากวันแรกของทริปนี้ยังชัดเจนอยู่และเป็นสิ่งที่เราไม่ต้องการให้เกิดขึ้นอีก คืนนี้เราจัดการเตรียมอุปกรณ์ใส่กระเป๋าไว้เรียบร้อยและเข้านอนในชุดพร้อมออกเดินทาง

Mount Monadnock เป็นหนึ่งในภูเขาที่ผู้คนนิยมมาปีนมาปีนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยความสูง 965 เมตรจากระดับน้ำทะเล (3,165ft) ถือเป็นยอดเขาสูงที่สุดในพื้นที่ทางตอนใต้ของ New Hamshire พื้นที่โดยรอบของ Mount Monadnock มีส่วนยอดเป็นหินล้วนๆและไม่มีภูเขาใดๆอยู่ใกล้เลย หากเราอยู่บนยอดเขาในวันที่อากาศดีฟ้าโปร่งจะสามารถมองเห็นไปถึงเมืองบอสตันที่อยู่ไกลออกไปราวๆ 112 กิโลเมตรเลยทีเดียว และยอดเขาก็คือเป้าหมายของเราในวันนี้ หลังจากตุนพลังและเตรียมน้ำและอาหารไว้พร้อมแล้วเราก็เริ่มออกเดินขึ้นเขากัน

Birchtoft trail เป็นเส้นทางเดินง่ายๆจาก campground ก่อนจะไปบรรจบกับเส้นทางอื่นๆเพื่อขึ้นสู่ยอดเขาต่อไป
ทางแยกที่เชื่อมต่อไปยังเส้นทางต่างๆ แต่ละทางมีความยากง่ายต่างกัน เราเลือกทาง Red Spot trail ที่มีระดับความยากปานกลาง แต่ทุกคนที่เดินขึ้นมาทางเส้นนี้ต่างไม่เห็นด้วยและพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ทางนี้ควรถูกจัดให้อยู่ในระดับยากมาก
จุดเริ่มต้นของการปีนหินลื่นๆต่อไปอีกสองชั่วโมง

ทางขึ้นสู่ยอดเขาสามารถไปได้หลายเส้นทาง หากเริ่มเดินจากสำนักงานของอุทยานจะใช้เวลาประมาณ ​2 ชั่วโมงถึงยอดเขาบนระยะทางราวๆ ​3.2 กิโลเมตร แต่เราตั้งใจจะเริ่มเดินจาก campground ไปเลยซึ่งจะมีระยะทางไกลกว่าคือ 5.6 กิโลเมตรและใช้เวลาเดินถึงยอดเขาประมาณ 3 ชั่วโมง 15 นาที ระยะทางเหล่านี้ฟังดูเหมือนไม่ไกลแต่เส้นทางจะยากและชันมากเมื่อเข้าใกล้ยอดเขา

เราเริ่มเดินแบบสบายๆในป่าสีเหลืองทอง ค่อยๆไต่ระดับไปเรื่อยๆจนเวลาผ่านไปประมาณหนึ่งชั่วโมงเศษเราก็มาถึงทางแยกที่มีเส้นทางจากจุดเริ่มต้นอื่นๆมาบรรจบกัน หลังจากนั่งพักดื่มน้ำเก็บแรงกันสักพักเราก็ออกเดินต่อ เมื่อดูจากแผนที่แล้วจากจุดนี้ไปทางจะเริ่มชันขึ้นเรื่อยๆ ทางเดินเริ่มกลายเป็นหินที่ต้องปีนไต่ระดับขึ้นไป ไม้เท้าที่ใช้อยู่ถูกเก็บและเปลี่ยนมาเป็นใช้มือช่วยในการปีนแทน ทางชันมากจนเราเริ่มกังวลถึงตอนขาลงที่ดูน่าจะยากกว่าการปีนขึ้นหลายเท่าตัว

สองชั่วโมงผ่านไปเราตะเกียกตะกายขึ้นมาจนถึงลานหินกว้างบริเวณยอดเขาจนได้ เส้นทางที่เราเลือกเดินวันนี้มีคนไม่มากนัก อากาศไม่ค่อยเป็นใจหมอกลงหนาและมีฝนโปรยเบาๆ แม้อุณหภูมิจะต่ำแต่เรากลับรู้สึกร้อนจากการออกกำลังเป็นเวลานาน ด้วยอากาศปิดทำให้เราไม่สามารถมองเห็นได้ไกลกว่า 10 เมตร ไม่ต้องพูดถึงวิวทะเลใบไม้สีทองที่อยากเห็นเป็นรางวัลหรือแม้กระทั่งเมืองบอสตันที่เส้นขอบฟ้า ณ ตอนนี้ขอแค่เดินไปข้างหน้าแล้วไม่พลาดตกผาก็น่าจะมากพอแล้ว

เราถ่ายรูปหมอกบนยอดเขาและนั่งพักเติมพลังกันสักพักก่อนตัดสินใจเดินลงที่คะเนดูแล้วน่าจะใช้เวลานานกว่าขาขึ้นเป็นแน่ ด้วยความลื่นและชันของหินทำให้การปีนลงยากกว่ามาก เราให้กำลังใจหลายๆคนที่เดินสวนขึ้นมาแม้จะรู้ว่าระยะทางยังอีกไกลกว่าจะไปถึงยอดสำหรับพวกเขาเหล่านั้น และถึงแม้จะขึ้นไปแล้วไม่เห็นวิวใดๆนอกจากหมอกหนากับละอองฝน สิ่งที่ทำให้การเดินในวันนี้ประสบความสำเร็จก็คือการที่เราก้าวข้ามข้อจำกัดของตัวเองทั้งในด้านความอดทน แม้จะเหนื่อยและกลัวแต่ก็สามารถสงบจิตใจให้เดินขึ้นไปถึงยอดและกลับลงมาถึง campground ได้โดยสวัสดิภาพโดยใช้เวลาไป 7 ชั่วโมง

กองหินที่ต้องปีนป่ายลงไปด้วยความระมัดระวัง บางจุดเป็นหินก้อนใหญ่ที่มีความชันมากจนเราต้องเก็บอุปกรณ์ที่ไม่จำเป็นลงกระเป๋าเพื่อใช้มือช่วยในการปีน

ส่งท้าย

แสงแดดอ่อนๆที่ส่องเข้ามาในรถไม่สามารถทำให้เราลุกออกจากที่นอนได้ เราตั้งใจนอนตื่นสายเป็นรางวัลแก่การปีนเขาอันยาวนานเมื่อวาน วันนี้เป็นวันสุดท้ายของทริปอีกทั้งยังเป็นวันสุดท้ายที่ campground แห่งนี้จะปิดลงในฤดูหนาว แล้วค่อยเปิดรับ campers อีกครั้งในฤดูใบไม้ผลิปีหน้า

เราทะยอยเก็บของให้เป็นระเบียบก่อนคืนรถหลังจากใช้รถจนกลายเป็นเหมือนบ้านในช่วงเวลาสิบวันที่ผ่านมา ใจหนึ่งก็คิดถึงเตียงนุ่มๆที่บ้านในบรูคลินของเรา แต่จริงๆแล้วเตียงในรถก็นุ่มใช่เล่น อยากกลับบ้านไปอาบน้ำแต่ก็ค้นพบว่าวิธีเช็ดตัวแทนการอาบน้ำไปสองสามวันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร อยากกลับไปทำอาหารมื้ออร่อยแต่เมื่อวันก่อนก็เพิ่งจุดไฟย่างแซลมอนกับหอยเชลล์ตัวอวบอ้วนแถมด้วยสเต็กเนื้อย่างไฟพอเกรียมๆ ทานพร้อมกับสลัดผักหวานกรอบ

คิดแบบนี้แล้วชีวิตใน campervan ก็ไม่ได้ต่างกับที่บ้านเท่าไหร่ อาจจะดีกว่าด้วยซ้ำที่ได้อยู่ใกล้ธรรมชาติแค่เอื้อม ไม่แน่นะโอกาสหน้าเราอาจจะมี campervan เป็นของตัวเองให้ได้มาเล่าเรื่องเที่ยวแบบนี้อีกก็เป็นไปได้ไม่น้อยเลย


Happy Camping

(*) Escape Campervans rental https://www.escapecampervans.com/

(**) Flume Gorge Ticket https://newhampshirestateparks.reserveamerica.com/camping//r/tourParkDetail.do?contractCode=NH&parkId=274351

(***) https://kancamagushighway.com/

(****) Conway Scenic Railroad https://www.conwayscenic.com/excursions/notch-train/

(*****) https://www.reserveamerica.com/

(******) https://koa.com/north-american-camping-report/


 

© COPYRIGHT 2024 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.