ใจไม่อยู่กรุงเทพฯมาหนึ่งสัปดาห์แล้ว ดอยหลวง-ดอยหนอก
ลมที่พัดเอาความกดอากาศต่ำเข้ามากรุงเทพฯ ชวนให้เราอยากแบกสำภาระหนักหลายกิโลเมตร ขึ้นภูเขาสักลูก ผมเริ่มจากการที่ไม่เคยเดินป่าเหมือนกับหลาย ๆ คน ในยุคที่การอัพรูปเป็นเหมือนกับการกินอาหารให้ครบมื้อ กินข้าวเพื่อบรรเทาความหิวโหย ส่วนการอัพรูปคาดหวังจะช่วยบรรเทาความอัดอั้นที่จะถ่ายทอดเรื่องราวของใครของมัน ผมเห็นภาพภูเขาเคล้าหมอก ดงป่าทึบ ต่างถูกอัพโหลดตลอดทั้งปี โดยเฉพาะช่วงปลายฝนต้นฤดูหนาว ดอยหลวง-ดอยหนอก
เราออกเดินทางช่วงหัวค่ำ รถตู้คือยานสี่ล้อที่จะพาไปเจอกับจังหวัดพะเยา ด้วยความเร็วชั่วโมงละ 100 กิโลเมตร คาดว่าจะถึงตลาดสดพะเยาซึ่งเป็นจุดหมายแรกที่อยู่ใกล้กับจุดเริ่มต้นเดินป่า
และพวกเราจะได้จับจ่ายวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหารทั้งหมด 5 มื้อ ขณะเดียวกันก็ต้องกินมื้อเช้า และจัดหามื้อกลางวันไปพร้อม ๆ กัน ผมได้ “ลาบไก่คั่ว” เมนูท้องถิ่นที่เพิ่งเคยเห็นและจะได้กินเป็นมื้อเที่ยง สำเนียงคนเมืองน่ารัก ๆ พูดชวนให้ลอง ชวนให้ซื้อ ผมมีความกังวลเดียว ก็คือถ้าเก็บไว้กินช่วงบ่าย มันจะเสียไหมครับ
พอได้คอนเฟิร์มจากคุณป้าและลูกสาว ผมรีบจ่ายเงินแลกกับลาบไก่คั่วทันที
นอกจากข้าวของส่วนตัว รวมถึงน้ำดื่มคนละ 2 ขวดใหญ่แล้ว ในเป้นี้ยังเต็มไปด้วยขนมปังขนาดสองแถวใหญ่ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแพ็ค น้ำมันพืชขวดใหญ่ แก๊สกระป๋อง และหัวแครอท
ดวงอาทิตย์ตอกบัตรเริ่มงานพอดี โจ๊กไข่ตอกสองฟองที่ตลาดเช้ากับราคามิตรภาพแท้จริง
เพราะราคาไม่ถึง 35 บาท ถูกลำเลียงลงท้องอย่างรวดเร็ว ขณะที่รถตู้กำลังมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านของกลุ่มพี่ลูกหาบ ซึ่งเป็นจุดที่จะต้องจัดสรรน้ำหนักสัมภาระส่วนกลาง เต็นท์ เครื่องครัวสนาม ข้าวสาร เสบียงกรัง
ของเหล่านี้จะอยู่บนหลังพี่ลูกหาบคนละ 15 กิโลกรัม แล้วน้ำหนักที่ของพวกเราได้คำนวณกันไว้จะต้องใช้ลูกหาบ 3 คนแบก และได้ทำการจองล่วงหน้าในจำนวนเท่ากันคือ 3 คน กลายเป็นว่าวันนี้พวกเราได้ลูกหาบเพียง 2 คน เท่านั้น เนื่องจากจำนวนลูกหาบไม่เพียงพอต่อความต้องการ แล้วน้ำหนักที่เหลืออีก 15 กิโลกรัม ก็ต้องถูกเฉลี่ยให้กับสมาชิกทุกคนราว ๆ คนละ 1 กิโลกรัมกว่า ๆ บอกเลยว่าเซอร์ไพร้ส์ตั้งแต่ยังไม่เริ่มเดิน!
เราจะมาดูกันว่าความคาดหวังของน้ำหนักบนหลังของทุกคนว่าจะต้องแบกเท่าที่เตรียมมาเท่านั้น
แล้วจะส่งผลให้ประสิทธิภาพของการเดินเป็นอย่างไร มาดูกันครับ…
แมงมุมถักทอโครงข่ายที่เป็นบ้านแบบซีทรู หรือมองอีกมุมหนึ่งก็คล้ายสถาปัตยกรรมทรง Sphere ที่เอาไว้รับน้ำหนักเจ้าของบ้าน เอาไว้ดักแมลง ทั้งยังดักน้ำค้างในตอนเช้าได้เป็นอย่างดี
ท้องฟ้ากำลังเลือกระหว่างจะปล่อยหยาดฝนลงมา หรือจะพัดเมฆผ่านไปให้แดดส่องลงมา ผมเห็นพื้นดินเปียกชื้นราวกับวันก่อนมีฝนตกลงมา จากที่ถามพี่ลูกหาบก็เป็นการยืนยันว่ามีฝนตกลงมาจริง นับเป็นฝนที่สับสนฤดูอยู่ไม่น้อย เพราะเวลาก็ล่วงเลยมาถึงเดือนพฤศจิกายนแล้ว หากจะมองขึ้นบนต้นไม้ก็จะเจอเหล่าใยแมงมุมที่ถักทอออกมาเป็นโครงสร้างสถาปัตยกรรมแปลก ๆ เต็มไปหมด หรือหากลองมองดูพื้นก็จะมีหนอนกำลังคืบคลานภายใต้ชุดขนมิงค์สีสันหลากสไตล์ ผมไม่แปลกใจเลยที่ชาร์ล ดาร์วิน จะถ่ายทอดความหลงใหลออกมาเป็นหนังสือ The Origin of Species ที่บอกเล่าทฤษฎีวิวัฒนาการ และความเชื่อมโยงของระบบนิเวศ
ใครเลียนแบบใครกันแน่ ระหว่างผึ้งเลียนแบบแมลงวัน หรือไม่ก็สลับกัน?
การห้ามใจไม่ให้หยุดเดินต่อเป็นไปได้ยากพอสมควร ด้วยระยะทางที่ไกลกว่าจะถึงจุดกางเต็นท์
ทุกคนจึงมีสปีดการเดินที่เร่งอยู่เล็กน้อย ด้วยความกังวลว่าอาจเดินถึงจุดหมายปลายทางช้า ซึ่งจะส่งผลหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกโลเคชั่นสำหรับกางเต็นท์ที่ต้องเป็นพื้นที่ราบเรียบ วิวสวย ๆ โล่ง ๆ ไปจนถึงการเตรียมมื้อเย็นที่แพลนกันมาหลายเมนู ซึ่งอย่างหลังน่าจะสำคัญสุด
ผมเพลิดเพลินไปกับความหลากหลายที่คอยต้อนรับตลอดสองข้างทาง โดยไม่แยแสต่อเวลา และเพื่อนที่กำลังเดินล่วงหน้าห่างกันภูเขาหลายลูก จนเมื่อถึงเวลาต้องพักทานมื้อกลางวัน นั่นหมายถึงสัมภาระจะเบาลงเล็กน้อยจากลาบไก่คั่วที่ซื้อจากตลาดเช้า ผมเล็งร่มไม้ใหญ่ที่พอจะมีพื้นที่โล่งให้หย่อนก้นและสัมภาระลงได้ ความหนักอึ้งถูกวางลง ผมอยากจะกินทุกอย่างให้หมด น้ำหนักจะได้เบาลงบ้าง ทันทีที่นั่งได้ไม่นาน เหล่าแมลงสารพัดที่หากินใกล้ระดับพื้นก็เข้ามาตอม คาดหวังว่าตัวผมจะมีน้ำหวาน หรือไม่ก็ของเหลวที่ซึมออกทางผิวหนัง ให้พวกเขาได้ดูดดื่มไปใช้ประโยชน์ แล้วพระเจ้าก็ส่งบางอย่างมาให้ผมได้สงสัย
ผมได้พบกับแมลงชนิดหนึ่งบินมารอบ ๆ ศีรษะ สีสัน และขนาดของมัน ถ้าเป็นระบบ AI ก็ต้องบอกว่าเป็นผึ้งแน่นอน สำหรับคนที่เคยเดินป่า ขณะที่เดินอยู่นั้นมักจะมีผึ้งบินตามเราเป็นระยะ ๆ นั่นหมายถึงบริเวณที่เราอยู่นั้น น่าจะมีรังผึ้งอยู่ในระยะไม่เกิน 100 เมตร แน่ ๆ
แต่ตัวนี้มีลักษณะบางอย่างที่ไม่เหมือนผึ้งอยู่หลายประการ คือแมลงตัวนี้บินเสียงเบามากหากเทียบกับผึ้ง รวมถึงใบหน้าที่ค่อนข้างใหญ่กว่าผึ้งทั่วไป ปากมีท่อแยกออกเป็นสองฝั่ง และประการสุดท้าย คือม่านตาที่ดูใหญ่คล้ายกับแมลงวันเป๊ะ!
ใช่จริง ๆ ด้วย เพราะมันคือแมลงวันเลียนแบบผึ้ง!
สงสัยเลยไหมว่า ทำไมถึงได้เป็นแมลงวันที่จำแลงเป็นผึ้งได้
ผมคือหนึ่งในผู้สงสัย และวันนี้ได้รับคำอธิบายแล้ว
เมื่อก่อนผมได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับการเลียนแบบของสิ่งมีชีวิตบนโลก ซึ่งเป็นผลจากการวิวัฒนาการจากอดีตสู่ปัจจุบัน เพื่อการรักษาเผ่าพันธุ์ของตัวเอง หลากหลายวิธีในการหลอกผู้ล่า รวมถึงหลอกสิ่งมีชีวิตที่เป็นคู่แข่ง
แมลงวันตัวนี้มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับผึ้ง ต่อ และแตน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหลอกให้แมลงชนิดอื่นเข้าใจว่าพวกมันมีพิษ ซึ่งจะทำให้สัตว์ผู้ล่า รวมถึงมนุษ์อย่างพวกเราด้วย ไม่กล้าเข้าไปยุ่ง เพราะกลัวโดนเหล็กในที่มีพิษร้ายกาจ สรุปโดนหลอกกันถ้วนหน้าครับ!
การค้นหาความสงบสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ แต่อาตมาเข้ามาแสวงหาอย่างอื่นด้วยนั่นก็คือ ธรรมชาติ
เมื่ออาหารได้ถูกลำเลียงแล้วเปลี่ยนเป็นพลังงาน การเดินขึ้นลงภูเขาย่อมทำให้พลังงานที่ได้มานั้นหมดเร็ว
ด้วยสภาพอากาศที่เมฆเริ่มคลี่คลาย กลายเป็นภูเขาที่ไร้หลังคาเมฆ บวกกับที่พวกเราเดินมาถึงยอดภูเขาลูกหนึ่ง ความร้อนทำให้ผิวที่ถูกเคลือบด้วยโลชั่นกันแดดบาง ๆ กลายเป็นสีแดงสด
ผมได้พบกับภิกษุผู้แบกสัมภาระและย่ามที่อัดแน่นไปด้วยอาหารแห้ง ด้วยเครื่องชุดพระภิกษุมีหลายเลเยอร์
อยู่กลางป่ากลางเขา จริง ๆ แล้ว หลวงพี่ไม่จำเป็นต้องสวมครบทุกชิ้นก็ได้ อากาศอบอ้าวไร้ร่มไม้ให้พักพิง ผมรู้สึกร้อนแทน
ผมได้เข้าไปทักทายหลวงพี่ ถามไถ่ถึงที่มา การฝึกฝน และวัตถุประสงค์ของการปลีกวิเวก รวมถึงชื่อในวงการ
ด้วยการที่มาค้นหาความสงบ หลวงพี่บอกว่าปกติอาตมาจำวัดอยู่ในเมือง ความวุ่นวายทำให้พระต้องออกเดินทางค้นหาสถานที่ที่เหมาะแก่การฝึกจิต ในเซสชั่นสนทนาสั้น ๆ นั้น ผมสัมผัสถึงความสงบแท้ของพระได้ชัดเจน การอยู่ในป่าคนเดียวถือเป็นเรื่องไม่ง่ายนัก
แสงสเปกตรัมที่พาดจากทิศหนึ่งไปยังทิศหนึ่ง การมองเห็นขึ้นอยู่กับมุมมองขอผู้สังเกตการณ์บนพื้นโลก และโอกาสที่จะเจอรุ้งซ้อนกันสองอันถือว่ายากมาก
บ่ายคล้อยเย็นเป็นช่วงเวลาที่อากาศร้อนมาเจอกับอากาศเย็น หลังจากที่เจอกับหลวงพี่ นอกจากจะสอนธรรมให้กับพวกเราแล้ว ยังชี้ให้ดูรุ้งกินน้ำอีกด้วย สารภาพเลยว่าตอนนั้นเริ่มเร่งฝีเท้าจนไม่ได้หันกลับไปมองข้างหลัง ถ้าไม่ได้เจอกับหลวงพี่ บอกเลยว่าคงจะพลาดสุด ๆ เพราะรุ้งที่เห็นไม่ใช่รุ้งกินน้ำธรรมดา แต่เป็นรุ้งกินน้ำแบบดับเบิ้ลเรนโบว์ คือมันซ้อนกันสองอัน เกิดมาเพิ่งเคยเห็นนี่แหละครับ สวยงาม และซ่อนคำอธิบายไว้มากมาย
มันทำให้ผมนึกถึงคลิปหนึ่งในยูทูป คลิปมีชื่อว่า Yosemitebear Mountain Double Rainbow 1-8-10 ของคุณ Yosemitebear62 ซึ่งตอนนี้ยอดวิวอยู่ที่ 48 ล้าน! ในคลิปคุณ Yosemitebear62 พูดว่า Double rainbow, Oh my God. It’s so beautiful แล้วก็ร้องไห้… นี่แหละครับคลิปไวรัลยุคแรก ๆ ของโลก
รุ้งกินน้ำสับขาหลอกให้พวกเราหยิบเสื้อกันฝนที่ซ่อนอยู่ลึกสุดกระเป๋าออกมาสวม หลังจากนั้นไม่นานท้องฟ้าก็เปิดอีกครั้ง…
น้อยคนมากจะได้เห็นวิวทไวไลท์แบบนี้บริเวณทุ่งหญ้าเด่นสะแกง เนื่องจากทุกกลุ่มน่าจะเดินเร็วกว่าผม
อ่านต่อหน้า 2
เมื่อบรรยากาศเริ่มมืด มันทำให้พวกเรา 3 คนสุดท้ายของทริป ต้องลืมความเหนื่อย มุ่งหน้าด้วยความเร็วกว่าที่เดินมาตลอดทั้งวัน ไม่ผิดเลยหากจะบอกว่า การเดินป่าครั้งนี้ถือเป็นสถิติการเดินป่าที่ช้าที่สุดในชีวิต
พี่ผลัดเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ผู้ยืนรออยู่บริเวณเนินเขา ขณะที่ท้องฟ้าค่อย ๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงทไวไลท์ ผมสัมผัสถึงความกังวลของพี่แกทันที จากการสอบถามสถิติการเดินป่าผืนนี้จากจุดเริ่มต้นถึงจุดกางเต็นท์ดึกสุดจะอยู่ที่ 3 ทุ่ม
ส่วนกลุ่มผมคาดว่าจะจบที่ 2 ทุ่ม ดังนั้นหักลบกันแล้ว ถือว่ายังไม่เป็นตำนานของที่นี่
ความตึงเครียดของอารมณ์และอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ จากสัมภาระที่บรรทุกขึ้นมาเกินขีดสุดของร่างกาย
บวกกับระยะเวลาที่แบกเป้หนัก ๆ นานเกินไป เป็นที่น่าเสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้เห็นบันไดก่ายฟ้าตอนกลางวัน
ดังนั้นผมพยายามทำลายความเครียดให้กับพี่เจ้าหน้าที่ และพี่อีก 2 คนว่า จริง ๆ แล้วบันไดก่ายฟ้า มีที่มาจากการที่สมัยก่อน บริเวณนี้เคยมีไก่ฟ้าอาศัยอยู่จำนวนมาก ชาวบ้านเลยตั้งชื่อว่า บันไดก่ายฟ้า ปรากฏว่าทุกคนเงียบกริบ น่าจะเครียดกว่าเดิม โดยเฉพาะพี่ผลัด ฮ่า ๆ
ดังนั้นพี่แกจึงเล่าสรุปให้ฟังว่า ชื่อยอดเขาลูกนี้ถูกตั้งขึ้นจากลักษณะความสูงชัน ชันระดับที่เหมือนเราเอาบันไดไปพาดเพื่อปีนขึ้นท้องฟ้า ผมสัมผัสได้จากเสียงหอบ และก้อนตะคริวที่ก่อตัวขึ้นบริเวณหน้าขา
หากเรามองลงไปด้านล่างในตอนกลางวันเราจะไม่เห็นบ้านคน ถนน จะเห็นก็แต่เพียงสีเขียวของต้นไม้สลับกับพื้นดิน
การเดินทางอันยาวนานจบลงที่เวลา 2 ทุ่มนิด ๆ มื้อเย็นที่เพื่อนกลุ่มแรกปรุงเสร็จเมื่อตอนเย็น กลายเป็นอาหารที่เย็นแล้ว แต่อย่างไรก็ตามความหิวได้ถูกเติมเต็ม ความหนาวบรรเทาลง ด้วยความอุ่นจากกองไฟ หลังจากมื้อเย็นผมใช้เวลาเก็บข้าวของ และเต็นท์ของผมกางเสร็จราว 3 ทุ่มเศษ
พวกเราแยกย้ายกันเข้านอนเร็วหลังจากตั้งวงสนทนารีวิวระยะทางของวันนี้ และแชร์ความประทับระหว่างทาง
ปกติแล้วการเดินขึ้นยอดเขาผมมักจะเตรียมขาตั้งกล้องกับกล้อง DSLR รุ่นคร่ำครึเสมอ ด้วยความคาดหวังว่าจะเจอกับทางช้างเผือก แต่ก็นั่นแหละใช่ว่าทุกทริปจะเจอกับความงามของทางน้ำนม ด้วยสภาพอากาศที่ไม่เอื้อ ค่ำคืนนี้ผมเลยเห็นเพียงดาวบนดินที่โอบล้อมกว๊านพะเยา นั่นคือสัญญาณของสิ่งมีชีวิตที่กำลังหลับ
และพร้อมที่จะตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตที่ต่างออกไปจากเมื่อวาน
วงแสงรุ้งกลอรี (Glory) ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติซึ่งปกติเราจะพบเห็นได้บนเครื่องบิน หรือไม่ก็บนบอลลูน
ทริปนี้เรียกได้ว่าเป็นทริปของการดูแสงสเปกตรัมก็คงไม่ผิดนัก
พวกเราตื่นเช้าขึ้นมาชมทะเลหมอกที่ลอยจางล้อมรอบตัวเราอยู่ ทุกคนถ่ายภาพตัวเองราวกับได้เดินอยู่บนเมฆ ผมเดินสำรวจรอบ ๆ สังเกตการณ์ความสุขของเพื่อน ๆ มากกว่าดูหมอก เสพอากาศบริสุทธิ์ ใบหน้าทุกคนเปื้อนรอยยิ้ม ทำให้ผมรู้สึกดีกับการตื่นเช้ามาเจออะไรแบบนี้ ผมสะดุดกับวงแสงรุ้งที่ลอยจางอยู่ด้านล่าง ผมโบกมือ กางแขน เงาในวงที่ขยับตามนั่นคือเงาของผมเอง
ชะง่อนหินทุกก้อนถูกจับจองสำหรับการถ่ายภาพที่มีหมอกอบอวลจนหน้าชื้นราวกับฉีดน้ำแร่บนใบหน้า
สิ่งที่เห็นนี้เรียกว่า วงแสงรุ้งกลอรี (Glory) เป็นปรากฏการณ์ทางแสงที่คล้ายกับรุ้งกินน้ำ โดยจะเริ่มจากวงแดงรอบนอกเข้ามาเป็นสีฟ้าด้านใน หลายปีก่อนผมเห็นกลอรีบนเครื่องบิน ไม่คิดว่าจะได้เจอบนยอดเขา ซึ่งเกิดจากการหักเหของแสงจากดวงอาทิตย์ผ่านละอองน้ำในอากาศนั่นเอง
เป้าหมายของวันนี้สมาชิกทุกคนเตรียมพร้อมที่จะปีนขึ้นดอยหนอก ที่ห่างจากจุดกางเต็นท์ราว 3 กิโลเมตร จะเห็นเป็นหินก้อนใหญ่โผล่ท่ามกลางต้นไม้สีเขียวลักษณะคล้ายกับหนอกสัตว์ สภาพอากาศค่อนข้างแปรปรวนทำให้วิวดอยหนอกของผมนั้นมีเมฆหมอกสลับกันเป็นเลเยอร์ ต้องลุ้นว่าจะมองเห็นดอยหนอก ลุ้นกว่าระดับความชันของดอยหนอกที่จะปีนเสียอีก ถึงตรงนี้หากใครกลัวความสูงให้สบายใจได้เลย เพราะพี่ ๆ เจ้าหน้าที่ได้ทำการติดตั้งเชือกสะลิง และมีการเช็คสม่ำเสมอ สมาชิกทีมคนหนึ่งเมื่อปีนได้เกือบครึ่งทาง ถึงกับถอดใจไม่กล้าไปต่อ แต่ด้วยพลังของการบิ้วท์ ส่งผลให้ไม่มีใครต้องนั่งรอกลางแดดระหว่างทาง
หินทุกก้อนล้วนผ่านกระแสลม สายฝนกัดเซาะให้เกิดเป็นลวดลาย และรูปทรงที่ชวนให้นึกไปถึงวันที่แผ่นเปลือกโลกยกตัวขึ้นมา กลายเป็นดอยหนอกที่มนุษย์ตัวเล็กกำลังไต่ขึ้นยอดอยู่ตอนนี้
บนยอดดอยหนอกจะพบกับพลังศรัทธาของผู้คนในพื้นที่ได้ลงแรงกันสร้างสถูป เพื่อเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ว่าสิ่งปลูกสร้างนี้ไม่ได้ใช้เพียงแค่เงินตราเท่านั้นที่จะสามารถสร้างสิ่งนี้ได้ ทว่าสิ่งที่ยึดถือร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นคำสอน หรือความเลื่อมใสในรูปแบบพิธีการบางอย่าง เกิดเป็นสิ่งที่จับต้องได้
ผมเห็นผ้าหลากสีสันที่ผู้คนนำมาผูกตามองค์สถูป ภาพนี้ดูราวกับอยู่ที่เนปาลที่ใช้ธงสีเป็นสัญลักษณ์ของการอ่อนน้อมต่อธรรมชาติ และให้สายลมโบกธงแผ่ขยายศรัทธาออกไปให้ไกลที่สุด
ระหว่างทางลงดอยความประทับใจในการเดินทางครั้งนี้ไม่ได้อัดแน่นไปกว่าใครที่ไหน สัมผัสธรรมชาติ ความรู้สึกร้อนหนาว มันมาแล้วก็ผ่านไป แค่อยากจะบอกว่าทุกครั้งที่มีโอกาสได้พบกับความงดงามตรงหน้าก็จงใช้เวลาดื่มด่ำให้เต็มที่ อย่างเช่นวิวเต็นท์ของผมในเช้าสุดท้ายก่อนเดินทางลงข้างล่าง ดวงอาทิตย์โผล่ส่งพลังงานมายังโลก และพาความอบอุ่นให้ผมด้วย
ทางเดินกลับไม่ใช่เส้นทางเดิมที่เดินขึ้นมา ป่าแห่งนี้มีความครึ้ม เสียงจักจั่นที่ร้องบนต้นไม้ระงมไปทั้งป่า ผมพยายามหยุดนิ่งเอี้ยวตัวไปดูเจ้าของเสียงร้องว่ามีจำนวนกี่ตัว ต้นแล้วต้นเล่า พอเราเดินเข้าไปใกล้แหล่งกำเนิดเสียงก็จะเงียบสนิท จักจั่นก็จะค่อย ๆ หลบไปยังอีกด้านหนึ่งฝั่งตรงข้ามเรา และในที่สุดผมก็ได้พบกับนักร้องเสียงเพราะ จำนวนหนึ่งตัว! ทว่าเสียงร้องนั้นดังกังวาลราวกับมีหลายร้อยตัวตะโกนแข่งกัน
การเดินตามพี่ลูกหาบ พี่ทิศกับพี่เทพผู้สามารถบอกได้ว่า อะไรสามารถกินได้บ้าง หนึ่งในนั้นผมได้ลองกินเกาลัดป่า หรือลูกก่อ ลักษณะคล้ายเกาลัดเยาวราช แต่ผลเล็กกว่า ไม่ต้องใช้เครื่องคั่ว สามารถใช้หินทุบกินสดได้เลย และรสชาติดีมากทีเดียว
ผมชอบสัมภาษณ์พี่ ๆ เพราะผมอยากฟังบทชีวิต และประสบการณ์ส่วนตัว เพราะทุกคนต่างมีเรื่องราวเป็นของตัวเอง ผมจะเงียบและตั้งใจฟังขณะที่พี่แกเล่าเรื่องในเมืองมีความแตกต่าง ในป่ามีความหลากหลาย แต่เมื่อทุกอย่างมารวมกันก็กลายเป็นระบบนิเวศ เกิดเป็นระบบชีวิตที่ขับเคลื่อนเราให้เกื้อหนุนกันในบ้านที่เรารู้จักเพียงแห่งเดียวนั่นก็คือ โลก
ผมมีความรู้สึกว่า เมื่อเราปักหลักอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่งไม่ว่าจะอยู่นาน หรือไม่ก็ตาม หากสถานที่นั้นมอบพลังงานดี ๆ และสร้างความผ่อนคลายให้กับเราได้ ที่ตรงนั้นก็สมควรที่เราจะกลับไปเยี่ยมเยือนอีกสักครั้งให้ได้
ใครสักคนเคยบอกว่า ถ้าไม่รู้จะจบการเล่าเรื่องยังไง ให้ลองจบโดยใช้โค้ดของคนที่มีอิทธิพลทางความคิดของเรา
คาลิล ยิบราน เคยกล่าวไว้ว่า…
ถ้าอยากเห็นหุบเขาจงปีนขึ้นสันภู
ถ้าอยากเห็นสันภูจงไต่สู่ก้อนเมฆ
แต่ถ้าอยากเข้าใจก้อนเมฆ… จงหลับตาแล้วคิด
สวัสดีครับ 😉
เรื่องและภาพ: ดำเนิน อรุณราตรี