เรื่อง ชิป บราวน์
ภาพถ่าย พีต มุลเลอร์
นัดหมายลงมีดของแชดแร็ก ไนออนกีซา กำหนดไว้เป็นเวลาหลังฟ้าสางเล็กน้อย ตั้งแต่เช้าวานนี้แล้วที่เด็กชายวัย 14 ปีจากเผ่าบูคูซูทางตะวันตกของเคนยา ผู้ยังไม่ผ่านการขริบ เขย่ากระดึงคู่ประดับขนนกกระทบกับปลอกโลหะที่มัดไว้กับข้อมือเขา ระหว่างที่เด็กหนุ่มกางแขนโยกขึ้นลงร่ายรำในสนามดินลูกรังใต้ต้นมะม่วงนอกบ้านของพ่อ เครือญาติกับเพื่อนๆที่อายุมากกว่าพากันเดินแห่ไปรอบตัวเขาพลางกวัดแกว่งท่อนไม้ และร้องเพลงเกี่ยวกับความกล้าหาญ ผู้หญิง และสุรา
พอตกบ่าย แชดแร็กกับผู้ติดตามไปเยือนบ้านของลุงฝ่ายแม่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรม เขามอบแม่วัวให้เด็กชายตัวหนึ่ง แต่ก่อนจะให้ ผู้เป็นลุงตบหน้าหลานชายและตะคอกใส่ว่า เขาดูตุ้งติ้งเหมือนกะเทย ไม่เหมือนคนที่พร้อมจะเป็นผู้ชายอกสามศอก เด็กชายผู้ขอเข้าพิธี ซีเคโบ หรือพิธีขริบหนังหุ้มปลายองชาตของเผ่าบูคูซู ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ แต่เขาดูโกรธมากกว่ากลัว และเมื่อย้อนกลับมาที่บ้านพ่ออีกครั้ง เขาก็เขย่ากระดึง ชินยิมบา คู่นั้นด้วยความฮึกเหิมระลอกใหม่และร่ายรำสุดเหวี่ยง
ครั้นพระอาทิตย์ตกดิน ผู้มาร่วมพิธีก็ขยายวงใหญ่ขึ้นด้วยจำนวนแขกมากกว่า 50 คน พอได้เวลาสามทุ่มครึ่ง ฝูงชนก็มาล้อมวงกันอยู่รอบกองเครื่องในของวัวที่เพิ่งถูกฆ่าหมาดๆ ลุงฝ่ายพ่อคนหนึ่งของแชดแร็กใช้มีดผ่าเปิดท้องวัวแล่เนื้อออกมาสองชิ้น แล้วใช้มือควักอาหารสีเขียวๆที่ย่อยไปแล้วครึ่งหนึ่งขึ้นมาเต็มกำมือ จากจึงเดินรี่เข้าไปหาหลานชาย
“คนในครอบครัวเราไม่เคยหวาดกลัวสิ่งใด!” ผู้เป็นลุงตะโกน “จงยืนหยัดไว้!” แสงไฟฉายวิ่งฉวัดเฉวียนอยู่บนใบหน้าของแชดแร็ก ขณะเขาเหม่อมองอย่างไร้จุดหมาย แต่แฝงไว้ด้วยความอดกลั้น จากนั้น ผู้เป็นลุงขว้างของเน่าเละๆในมือใส่หน้าอกหลานชาย แล้วละเลงมันลงบนใบหน้าและหัวของแชดแร็ก เขาเอาไส้วัวพันรอบคอหลานชาย แล้วตบหน้าเต็มแรงทั้งสองข้าง
“ถ้าเจ้าขยาดกลัวหรือส่งเสียงร้อง จงอย่ากลับมา” ผู้เป็นลุงกล่าว “จงข้ามแม่น้ำแล้วเดินไปเรื่อยๆ เจ้าเป็นทหารแล้ว ถ้าใครจิ้มตาเจ้า จงอย่ากระพริบตา”
สำหรับ โอมูซินเด หรือผู้ที่ยังไม่ผ่านการขริบ เด็กชายไม่อาจเปลี่ยนใจหรือหันหลังกลับได้แล้ว
ระหว่างยืนรอพระอาทิตย์ลอยขึ้นเหนือเกรตริฟต์แวลลีย์ และช่วงเวลาอันเป็นจุดไคลแม็กซ์ของการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นชายเต็มตัวของแชดแร็ก ผมอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงพ่อของผมเองที่เสียชีวิตไปเมื่อเดือนมิถุนายนด้วยวัย 91 ปี และลูกชายวัย 17 ปีของผม โอลิเวอร์ ซึ่งขณะนั้นกำลังหลับใหลอยู่ไกลออกไป 12,000 กิโลเมตรในนครนิวยอร์กความจริงแล้วเขาอาจยังไม่หลับ แต่ตื่นอยู่บนเตียง กำลังดูสารคดีกีฬา หรือไม่ก็หนังฮอลลีวู้ดจากคอมพิวเตอร์แล็ปท็อป
เป็นเรื่องยากที่จะคิดจินตนาการถึงทางสองสายที่แตกต่างกันมากไปกว่านี้สำหรับเด็กชายสองคนซึ่งโดยแก่นแท้แล้วกำลังเดินไปสู่จุดหมายเดียวกัน ทั้งแชดแร็กและโอลิเวอร์ต่างได้รับการสูบฉีดความเป็นชายตั้งแต่ตอนอยู่ในท้องแม่ จากกระแสฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในช่วงก่อนคลอด ทั้งคู่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญของชีวิต โดยกำลังแปรสภาพภายใต้การไหลบ่าระลอกใหม่ของฮอร์โมนทรงพลังไปสู่การเป็นผู้ชายเต็มตัวทางกายภาพ ตั้งแต่มีขนขึ้นตามตัว กล้ามเนื้อเป็นรูปเป็นร่างชัดเจน อกผายไหล่ผึ่ง แรงดึงดูดทางเพศดีวันดีคืน เรื่อยไปจนถึงชื่นชอบความเสี่ยง และมีโอกาสสูงที่ระดับความก้าวร้าวจะเพิ่มขึ้น ทั้งคู่ต่างกำลังเริ่มรับมือกับรูปแบบและความโน้มเอียงทางพฤติกรรมที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้โดยวิวัฒนาการยาวนานหลายล้านปี
แต่แชดแร็กกำลังก้าวสู่ความเป็นลูกผู้ชายในวัฒนธรรมที่บทบาทของชายและหญิงยังถูกกำหนดตามเส้นแบ่งแต่โบราณ และเด็กผู้ชายได้รับการชี้นำทางโดยพิธีกรรมที่มีอายุย้อนหลังไปอย่างน้อย 200 ปี ส่วนโอลิเวอร์นั้นตรงกันข้าม เขากำลังก้าวเข้าสู่ความเป็นชายในวัฒนธรรมอเมริกันแบบที่โอนเอียงไปทางสังคมเป็นกลางต่อเพศสภาวะ (gender-neutral society) ซึ่งเป็นสังคมที่ก้าวออกห่างจากการให้คำจำกัดความของชายและหญิงบนพื้นฐานทางกายวิภาค
โอลิเวอร์ต่างกับแชดแร็กตรงที่ไม่อาจพึ่งพาบทบาทของชายหญิงตามขนบดั้งเดิมเพื่อเป็นแนวทางในการหาความหมายของการเป็นชายได้ นอกจากนี้ ในบริบททางวัฒนธรรมของเรายังไม่มีพิธีกรรมหรือพิธีเริ่มรีต (rite of initiation) ที่สามารถระบุการเปลี่ยนผ่านจากเด็กชายไปเป็นผู้ใหญ่ของโอลิเวอร์ได้อย่างชัดเจน พูดอีกนัยหนึ่งคือ ความเป็นชายเป็นอะไรที่เขาต้องมองหาหรือให้คำจำกัดความด้วยตนเอง บางครั้งผมเห็นเขาค้นหาว่าสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่ โอลิเวอร์เป็นเด็กขี้อาย ระมัดระวังที่จะไม่แสดงความรู้สึกส่วนลึกด้วยเกรงว่าจะดูไม่สมชาย เขาเลิกเรียนเป่าขลุ่ยเพราะเป็นเด็กผู้ชายเพียงคนเดียวในแผนกนั้น เขานั่งไขว่ห้างโดยวางข้อเท้าพาดกับหัวเข่า แบบอย่างความเป็นลูกผู้ชายของเขาคือไมเคิล จอร์แดนกับจอร์จ คลูนีย์ สำหรับวันเกิดครบรอบ 15 ปี เขาขอสูทชุดหนึ่งเป็นของขวัญ
นักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการ หรือไม่ว่าใครก็ตามในหมู่พวกเรา ก็ไม่อาจให้ความกระจ่างกับเขาได้มากนักคำถามว่าด้วยความเป็นชายและมโนทัศน์เกี่ยวเนื่องกันในเรื่องความเป็นลูกผู้ชายและความเป็นเพศชาย ถูกจับมาเรียงร้อยเข้าด้วยกันในการอภิปรายเชิงวัฒนธรรมและชีววิทยาภายใต้อิทธิพลทางการเมือง นักมานุษยวิทยาและนักสังคมวิทยาโดยทั่วไปเห็นด้วยกับทางฝั่งวัฒนธรรม โดยเชื่อว่าความเป็นชายเป็นสิ่งที่สังคมสร้างขึ้น “ผู้ชาย” เกิดจากการสร้างสรรค์ปั้นแต่ง ไม่ใช่เกิดมาเป็นกันได้เลย ไมเคิล คิมเมล ศาสตราจารย์ทางสังคมวิทยา อธิบายว่า “ความเป็นชายไม่ใช่การสำแดงตนของแก่นแท้จากภายใน… [มัน] ไม่ได้ผุดขึ้นมาในจิตสำนึกของเราจากองค์ประกอบทางชีววิทยา แต่ถูกสร้างขึ้นในวัฒนธรรมของเรา”
อ่านเพิ่มเติม : หลากหลายโฉมหน้าของเพศสภาพในปัจจุบัน, เกิดเป็น (เด็ก) หญิง แท้จริง แสนลำบาก, ชีวิตเริ่มต้นที่วัย 9 ขวบ