พอตกเย็น ดูเหมือนว่าวิลเดอบีสต์ตัวนี้ดวงคงถึงฆาตแล้ว ถ้าไม่เพราะป่วยก็เพราะบาดเจ็บ มันระหกระเหินไกลจากฝูงหลายกิโลเมตรบนที่ราบเซเรงเกติในแทนซาเนีย ครั้นรุ่งสาง วิลเดอบีสต์ผู้โดดเดี่ยวก็ตายลง มี แร้ง ราว 40 ตัวรุมทึ้งร่างไร้วิญญาณของมันกันอย่างอลหม่าน แร้งบางตัวยืนหลังค่อมรอคอยอย่างอดทน สายตาจับจ้องอาหารอันโอชะ แต่ส่วนใหญ่ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย พวกมันสยายกรงเล็บเข้าจิกตี เดี๋ยวรุกเดี๋ยวถอย ตัวหนึ่งกระโจนขึ้นขี่หลังอีกตัว ขณะที่ฝ่ายหลังพยายามสลัดออก ฝูงแร้งแตกฮือออกจากซาก แล้วพุ่งกลับเข้าไปใหม่ คอสีดำและสีน้ำตาลผงกขึ้นลงเป็นระลอกคลื่น ปากคอยทิ่มแทง ปีกก็กระพือฟาดไปมา แร้งผู้หิวโหยตัวใหม่ๆโฉบลงมาจากเบื้องบนอย่างไม่ขาดสาย พวกมันหลุบหัวลง กระโดดเหยงๆ บ้างหกคะเมนตีลังกา ขณะยื้อแย่งเข้าร่วมวงแร้งทึ้ง
ทำไมพวกมันถึงต้องแก่งแย่งซากกันอย่างโกลาหลและตะกละตะกรามขนาดนี้ ก็เพราะวิลเดอบีสต์มีหนังหนาและไม่ได้ตายเพราะถูกสัตว์นักล่าฆ่า ซากจึงไม่มีแผลเปิดที่กว้างพอให้แร้งจิกกินกันได้อย่างทั่วถึง ดังนั้นนกตัวที่กล้าบ้าบิ่นที่สุดจึงต้องแก่งแย่งอย่างบ้าระห่ำเพื่อเข้าถึงเนื้อ เหตุการณ์ดำเนินไปอย่างนั้น เมื่อแร้งหิวจัด 40 ตัวพยายามยื้อแย่งเพื่อมุดเข้าไปในรูและช่องเปิดต่างๆ บนตัววีลเดอร์บีสต์
ขณะที่ซากวิลเดอบีสต์ค่อยๆ หดหาย วงแร้งที่อิ่มแปล้พากันเดินทอดน่องขยายวงออกไปบนพื้นหญ้าเตี้ยๆ แร้งซึ่งมีกระเพาะพัก [crop – อวัยวะรูปร่างคล้ายถุงเป็นส่วนหนึ่งของหลอดอาหาร] พองโตพักหัวลงบนปีกที่พับเข้ามาและปิดหนังตาที่สามลง ไม่มีเสียงอื้ออึงและความโกลาหลอีกต่อไป พวกมันพักผ่อนอย่างสงบสุข
แร้งอาจเป็นนกที่ถูกใส่ร้ายป้ายสีมากที่สุดในโลก พวกมันเป็นเหมือนอุปมาที่มีชีวิตของความโลภโมโทสันและตะกละตะกลาม ในบันทึกระหว่างเดินทางไปกับเรือหลวง บีเกิล เมื่อปี 1835 ชาร์ลส์ ดาร์วิน พูดถึงแร้งว่า “น่าขยะแขยง” มีหัวล้าน “ไว้เกลือกกลั้วของเน่าเหม็น”
น่ารังเกียจใช่ไหม บางทีอาจเป็นอย่างนั้น แต่ก็ใช่ว่าแร้งจะไม่มีข้อดีเสียเลย พวกมัน (แทบ) ไม่ฆ่าสัตว์อื่น อาจจับคู่แบบผัวเดียวเมียเดียว และเรารู้ว่าพวกมันช่วยกันเลี้ยงลูก พักผ่อนและอาบน้ำเป็นฝูงใหญ่อย่างกลมเกลียว ที่สำคัญที่สุดคือแร้งทำหน้าที่เชิงนิเวศวิทยาที่สำคัญยิ่ง แต่มักถูกมองข้ามชนิดไม่เห็นหัว นั่นคือการเก็บกวาดและกำจัดซากสัตว์ที่ตายแล้วอย่างรวดเร็ว ทำให้กระบวนการย่อยสลายและนำกลับมาใช้ใหม่เกิดขึ้นได้ แร้งตัวหนึ่งกินเนื้อได้ราวหนึ่งกิโลกรัมภายในหนึ่งนาที ฝูงแร้งขนาดย่อมๆสามารถกินเนื้อม้าลายจากปลายจมูกถึงหางหมดได้ภายใน 30 นาที หากปราศจากแร้ง ซากสัตว์ที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าอาจคงสภาพอยู่นานขึ้น ส่งผลให้ประชากรแมลงเพิ่มขึ้น และเชื้อโรคแพร่กระจายไปสู่คน ปศุสัตว์ และสัตว์ป่าอื่นๆ
แต่การจัดการอันเยี่ยมยอดที่ผ่านการขัดเกลามายาวนานนี้ใช่ว่าจะอยู่ยั้งยืนยง อันที่จริงในหลายภูมิภาคสำคัญ ระบบนี้เสี่ยงต่อการล่มสลาย แอฟริกาสูญเสียแร้งหนึ่งชนิดจากที่มีอยู่ 11 ชนิดไปแล้ว นั่นคือแร้งดำหิมาลัย และขณะนี้แร้งอีกเจ็ดชนิดก็อยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์อย่างยิ่งหรือใกล้สูญพันธุ์ แร้งบางชนิด เช่น แร้งหน้าแดง ส่วนใหญ่พบเฉพาะในพื้นที่อนุรักษ์ (ซึ่งตัวพื้นที่เองก็อยู่ในภาวะถูกคุกคาม) ส่วนประชากรแร้งอียิปต์และแร้งเคราในหลายภูมิภาคก็เกือบสูญพันธุ์เต็มที
วันแดดจ้าวันหนึ่งของเดือนมีนาคม ดาร์ซี โอกาดา ผู้ช่วยผู้อำนวยการโครงการประจำแอฟริกาของกองทุนเพเรกริน (The Peregrine Fund) องค์กรที่มุ่งอนุรักษ์นกนักล่า เดินทางไปยังภูมิภาคมาไซมารา ประเทศเคนยาพร้อมกับมูเนียร์ วีรานี เพื่อนร่วมงาน
วีรานีถามเจ้าของปศุสัตว์ชาวมาไซที่เราพบว่า พวกเขาสูญเสียปศุสัตว์ให้สัตว์นักล่าบ้างไหมในระยะหลังๆ คำตอบที่ได้ยินเสมอคือ “ครับ เพื่อนบ้านผมก็เหมือนกัน” ปกติแล้ว สิงโตมักโจมตีเหยื่อตอนกลางคืน เมื่อวัวถูกขังไว้ในคอกที่ล้อมรั้วด้วยพุ่มไม้หนามเรียกว่าโบมาเรียบร้อยแล้ว สิงโตส่งเสียงคำราม จากนั้นวัวที่หวาดกลัวก็พากันแตกตื่นวิ่งฝ่าประตูคอกหนีกระจัดกระจายออกไป สุนัขเห่าปลุกเจ้าของ แต่ก็มักสายไปเสียแล้ว วัวที่ถูกฆ่าหนึ่งตัวเทียบเท่ากับการสูญเงิน 30,000 ชิลลิง (300 ดอลลาร์สหรัฐ) นับเป็นหายนะสำหรับครอบครัวที่ใช้ปศุสัตว์แทนเงินตรา (วัวเพศผู้ตัวหนึ่งอาจมีมูลค่าถึง 100,000 ชิลลิง)
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือการตอบโต้ ชาวบ้านล่ามสุนัข เก็บซากเหยื่อที่สิงโตกินเหลือแล้วนำมาคลุกด้วยฟูราดานซึ่งเป็นยาฆ่าแมลงออกฤทธิ์เร็ว และลักลอบซื้อขายกันอย่างแพร่หลาย สิงโตย้อนกลับมากินเหยื่อ โดยมักมากันทั้งครอบครัว แล้วก็พากันตายยกครัว (นักวิจัยประเมินว่า เคนยาสูญเสียสิงโตปีละ 100 ตัวในความขัดแย้งนี้ และทั้งประเทศเหลือสิงโตอยู่ราว 1,600 ตัว) หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่แร้งจะมากินซากปศุสัตว์นี้เช่นกัน หรือไม่ก็กินซากสิงโตที่กินยาฆ่าแมลงเข้าไป ไม่ว่าจะกินอะไร แร้งซึ่งมักลงกินซากเป็นฝูงใหญ่กว่า 100 ตัว ก็พลอยตายตามไปด้วย
ไม่น่าเชื่อว่าสารประกอบที่ผลิตขึ้นเพื่อฆ่าหนอนและสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอื่นๆ เพียงไม่กี่เม็ดจะสามารถสังหารสัตว์ที่มีน้ำย่อยเป็นกรดสูงพอจะต้านทานเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า อหิวาตกโรค และแอนแทรกซ์ได้ อันที่จริงโอกาดาแทบไม่รู้เรื่องฟูราดานเลยจนกระทั่งปี 2007 เมื่อเธอเริ่มได้รับอีเมลจากเพื่อนร่วมงานเรื่องสิงโตถูกวางยาเบื่อ “เป็นเรื่องน่าตกใจค่ะ” เธอบอก การท่องเที่ยวเป็นแหล่งรายได้จากต่างประเทศสูงเป็นอันดับสองของเคนยา และสิงโตก็เป็นดาวเด่นของการท่องเที่ยว เมื่อปี 2008 นักวิทยาศาสตร์และผู้แทนองค์กรอนุรักษ์และหน่วยงานรัฐบาลจัดการประชุมที่กรุงไนโรบี เพื่อแบ่งปันข้อมูลเกี่ยวกับการวางยาเบื่อและวางแผนรับมือกับปัญหานี้ “เราถึงกับอ้าปากค้าง กันเลยค่ะ” โอกาดาเท้าความหลัง “ปัญหานี้ใหญ่เกินกว่าที่พวกเราคนใดคนหนึ่งซึ่งทำงานอยู่ในพื้นที่จะคาดคิด” เมื่อโอกาดาและคนอื่นๆเริ่มศึกษาปัญหานี้อย่างจริงจัง พวกเขาประเมินว่า การถูกวางยาเบื่อคิดเป็นสาเหตุการตายของแร้งร้อยละ 61 ทั่วแอฟริกา ภัยคุกคามจากมนุษย์ยิ่งเลวร้ายมากขึ้นอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากชีววิทยาการสืบพันธุ์ของแร้งเอง กล่าวคือแร้งจะถึงวัยเจริญพันธุ์เมื่อมีอายุห้าถึงเจ็ดปี ออกลูกเพียงปีละครั้งหรือสองปีครั้ง และลูกแร้งร้อยละ 90 มักตายในขวบปีแรก ในช่วง 50 ปีหลังจากนี้ คาดกันว่าจำนวนแร้งในแอฟริกาจะลดลงร้อยละ 70 ถึง 97
เรื่อง เอลิซาเบท รอยต์
ภาพถ่าย ชาร์ลี แฮมิลตัน เจมส์
อ่านเพิ่มเติม