คราวที่คนแปลกหน้าราว 7,000 คน ได้เห็นพระองค์เป็นครั้งแรกอย่างไม่คาดฝันบนเวทีสาธารณะ พระองค์ยังไม่ได้ดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสันตะปาปา ทว่ามีบางสิ่งที่น่าประทับใจในตัวชายผู้นี้ ภายในสตาเดียมลูนาปาร์กใจกลางกรุงบัวโนสไอเรส เมืองหลวงของอาร์เจนตินา ชาวคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกและชาวคริสต์นิกายเอวังเยลิสต์ (Evangelist) มาร่วมงานพิธีที่จัดขึ้นสำหรับคริสตชนทุกนิกาย ศาสนบริกร (ศิษยาภิบาล) คนหนึ่งบนเวทีเชิญพระสังฆราช (บิชอป) ของเมืองหลวงแห่งนี้ขึ้นกล่าวบางสิ่งกับผู้เข้าร่วมพิธี พวกเขาต้องประหลาดใจ เพราะบุรุษที่ก้าวยาวๆขึ้นมาข้างหน้านั่งอยู่ด้านหลังตลอดเวลาหลายชั่วโมงราวกับเป็นบุคคลที่ไม่สลักสำคัญใดๆเลย แม้จะดำรงสมณศักดิ์เป็นถึงพระคาร์ดินัลแต่ท่านมิได้ห้อยสร้อยกางเขนตามธรรมเนียม คงสวมเพียงเสื้อเชิ้ตและเสื้อนอกกระดุมสองแถวสีดำแบบนักบวชไม่ต่างจากบาทหลวงธรรมดาๆ ที่เคยเป็นเมื่อหลายสิบปีก่อน ในเวลานั้นหรือเมื่อเก้าปีที่แล้ว เป็นเรื่องยากที่จะคิดจินตนาการว่า ในวันหนึ่งข้างหน้า สุภาพบุรุษชาวอาร์เจนตินาที่สมถะและเคร่งขรึมผู้นี้จะเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในฐานะบุคคลผู้เปี่ยมบารมีและแรงศรัทธา
ในช่วงต้น ท่านพูดภาษาแม่คือภาษาสเปนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่หนักแน่น โดยไม่มีโน้ตหรือโพยใดๆ ท่านไม่ได้เอ่ยถึงช่วงเวลาที่เคยมองชาวคริสต์นิกายเอวังเยลิสต์อย่างหมิ่นๆ แบบเดียวกับสงฆ์คาทอลิกชาวลาตินอเมริกันทั่วไป แต่บุรุษผู้มีอำนาจสูงสุดใน “ศาสนจักรจริงแท้เพียงหนึ่งเดียว” ของอาร์เจนตินากลับกล่าวว่า ความแตกต่างเหล่านี้หาได้มีความหมายในสายตาของพระเจ้า ท่านกล่าวว่า “เป็นเรื่องดีเพียงใดที่พวกเราพี่น้องได้มารวมตัวกัน สวดภาวนาร่วมกันดีเพียงใดที่ไม่มีใครยกประวัติแต่หนหลังมากล่าวอ้างบนเส้นทางแห่งศรัทธา เราแตกต่างกันก็จริง แต่เราต้องการและเริ่มหันหน้าเข้าหากันแล้ว เป็นความแตกต่างแบบไม่แตกแยก”
ท่านผายมือทั้งสองออก ใบหน้ามีชีวิตชีวาขึ้นมา น้ำเสียงสั่นสะท้านด้วยความรู้สึกแรงกล้า ท่านวิงวอนต่อพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระบิดา เราแบ่งแยก ได้โปรดหลอมรวมเราเป็นหนึ่งเดียวกันเถิด”
พระอัครสังฆราชองค์นั้นคือ คอร์เก มารีอา เบร์โกกลีโอ หรือผู้จะกลายมาเป็นสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส(ฟรานซิส) ในเวลาต่อมา
“ข้าพเจ้าต้องลงมือเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆในทันที” สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสตรัสแก่สหายร่วมชาติชาวอาร์เจนตินาหกคนในเช้าวันหนึ่ง เพียงสองเดือนหลังจากพระคาร์ดินัล 115 องค์ในที่ประชุมลับ (conclave) ของพระราชวังวาติกัน ตัดสินใจเลือกตัวแทนหนึ่งในพวกเขาซึ่งไม่ค่อยเป็นที่รู้จักให้ดำรงตำแหน่งสันตะปาปา ในสายตาผู้สังเกตการณ์ซึ่งมีทั้งคนที่ยินดีและคนที่อึดอัดใจ ดูเหมือนว่าสมเด็จพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่ได้ทรงเปลี่ยนแปลง ทุกสิ่งไปแล้วภายในชั่วข้ามคืน พระองค์ทรงเป็นสันตะปาปาพระองค์แรกที่เป็นชาวลาตินอเมริกา เป็นพระองค์แรกที่มาจากคณะเยสุอิต (คณะแห่งพระเยซูเจ้า) เป็นพระองค์แรกในเวลากว่า 1,000 ปีที่มิได้ถือกำเนิดในทวีปยุโรป และเป็นพระองค์แรกที่ทรงเลือกพระนาม “ฟรังซิส” เพื่อยกย่องนักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี วีรบุรุษของคนยากไร้
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสทรงปฏิเสธที่จะประทับในห้องชุดของพระสันตะปาปาภายในพระราชวังสมเด็จพระสันตะปาปา (Apostolic Palace) แต่ทรงเลือกห้องชุดสองห้องนอนที่กาซาซันตามาร์ตา (Casa Santa Marta) ซึ่งเป็นเรือนรับรองแขกของวาติกันแทน ในการเสด็จออกพบสื่อมวลชนนานาชาติครั้งแรก พระองค์ทรงประกาศความมุ่งหวังอันดับแรกว่า “ข้าพเจ้าหวังให้พระศาสนจักรยากจนและทำเพื่อคนยากจน” และแทนที่จะทรงประกอบพิธีมิสซาในตอนเย็นเพื่อฉลองวันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์ [Holy Thursday] ที่มหาวิหารสักแห่ง และทำพิธีล้างเท้าคณะสงฆ์ตามธรรมเนียม พระองค์กลับเสด็จไปเทศน์ในคุกเยาวชนแห่งหนึ่งแทน และทรงล้างเท้าให้ผู้ต้องขัง 12 คน รวมทั้งสตรีและชาวมุสลิมทรงเป็นสันตะปาปาพระองค์แรกที่ทำเช่นนั้น เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเดือนแรกของการเป็นพระสังฆราชแห่งกรุงโรม
กระนั้นเหล่าสหายชาวอาร์เจนตินาของสันตะปาปาพระองค์ใหม่ทราบดีว่า “การเปลี่ยนแปลง” ของพระองค์หมายถึงอะไร บุรุษที่พวกเขารู้จักดีผู้นี้จะไม่ทำสิ่งที่เป็นเพียงแค่สัญลักษณ์เท่านั้น พระองค์ทรงเป็นนักปฏิบัติตัวยง เป็น ปอร์เตโญ (porteño) ผู้รอบรู้ทางโลกดังที่ชาวบัวโนสไอเรสมักเรียกตัวเอง พระองค์ทรงปรารถนาให้พระศาสนจักรคาทอลิกสร้างความเปลี่ยนแปลงถาวรต่อชีวิตผู้คน เช่นที่พระองค์ตรัสเสมอว่า ให้เป็นโรงพยาบาลในสนามรบ ดูแลคนบาดเจ็บทุกคน โดยไม่คำนึงว่าพวกเขาต่อสู้กับฝ่ายไหน
การขึ้นสู่ตำแหน่งพระสันตะปาปาของท่านไม่ใช่เรื่องโชคช่วย ดังที่มัสซีโม ฟรังโก นักเขียนชาวโรมอธิบายว่า “การได้รับเลือกของพระองค์มีที่มาจากความเจ็บปวด” จากการลาออกจากตำแหน่งของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่สิบหกอย่างกะทันหัน (ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในระยะเวลาเกือบ 600 ปี) และจากความกังวลที่เพิ่มขึ้นของเหล่าคาร์ดินัลหัวก้าวหน้าว่า ความคร่ำครึและมุ่งเน้นแต่ความต้องการของชาวยุโรปของสันตะสำนัก (The Holy See) กำลังทำให้พระศาสนจักรคาทอลิกฟอนเฟะจากภายใน
ขณะประทับในห้องรับแขกที่ห้องชุดของพระองค์ในเช้าวันนั้น พระองค์ตรัสกับพระสหายเก่าถึงความท้าทายใหญ่หลวงที่รออยู่ ทั้งความไร้ระเบียบทางการเงินในสถาบันแห่งกิจการด้านศาสนา (Institute for the Works of Religion หรือเรียกง่ายๆว่า ธนาคารวาติกัน) ความโลภต่ออามิสของคณะเจ้าหน้าที่บริหารที่ทำให้เกิดความเสื่อมขึ้นในสันตะสำนัก ข่าวคราวเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ศาสนจักรช่วยปกป้องบาทหลวงที่กระทำความผิดทางเพศต่อเยาวชนที่มีออกมาอย่างต่อเนื่อง นอร์แบร์โต ซารักโก พระสหายและนักวิชาการผู้มาเข้าเฝ้าในเช้าวันนั้นด้วยบอกว่า พระองค์ตั้งพระทัยที่จะจัดการเรื่องเหล่านี้โดยเร็ว ทั้งๆที่ทรงทราบดีว่า “จะสร้างศัตรูมากมาย แต่อย่าลืมว่าพระองค์ไม่ใช่คนอ่อนประสบการณ์นะครับ”
ซารักโกจำได้ว่า เคยกราบทูลถึงความกังวลที่มีต่อความกล้าหาญของพระองค์ว่า “คอร์เก พวกเรารู้ดีว่าท่านไม่ได้สวมเสื้อเกราะกันกระสุน มีคนบ้าอยู่ทั่วเลยนะครับ”
พระองค์ตรัสตอบเรียบๆว่า “พระเจ้าทรงให้ข้าพเจ้ามาอยู่ตรงนี้ พระองค์ก็ต้องทรงระวังให้ข้าพเจ้าด้วย” แม้พระองค์จะไม่ได้ร้องขอตำแหน่งสันตะปาปา แต่ทรงยอมรับว่า ทันที่มีการขานพระนามของพระองค์ในที่ประชุมลับ ทรงรู้สึกถึงความสงบศานติอย่างใหญ่หลวง และแม้ว่าอาจทำให้เกิดการต่อต้านอย่างรุนแรง พระองค์ก็ทรงปลอบใจบรรดาสหายว่า “ข้าพเจ้ายังคงรู้สึกถึงความสงบเช่นนั้น”
เรื่อง โรเบิร์ต เดรเพอร์
ภาพถ่าย เดฟ โยเดอร์