ลิ่น ทั้งหมดแปดชนิด ซึ่งสี่ชนิดอยู่ในแอฟริกาและสี่ชนิดอยู่ในเอเชีย ตกอยู่ในอันตรายจากการสูญพันธุ์โดยการค้าสัตว์ป่าผิดกฎหมาย
ลิ่น ดูคล้ายอาร์มาดิลโลที่ลำตัวมีเกล็ด แต่พวกมันเป็นญาติใกล้ชิดกับหมีและสุนัขมากกว่า ลิ่นจัดอยู่ในอันดับทางอนุกรมวิธานของตัวเอง และหากลิ่นหายไป จะไม่มีสัตว์ใดเหมือนพวกมันเหลืออยู่บนโลกอีก
การค้าระหว่างประเทศซึ่งลิ่นเอเชียสี่ชนิดถูกห้ามมาตั้งแต่ปี 2000 และต่อมาในปี 2007 การห้ามค้าลิ่นทั้งแปดชนิดระหว่างประเทศก็มีผลบังคับใช้ โดยรัฐบาล 183 ประเทศที่เป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ หรือไซเตส (CITES) อันเป็นสนธิสัญญาควบคุมการค้าสัตว์ป่าและอวัยวะข้ามพรมแดน ให้สัตยาบันรับรอง
การวิเคราะห์ขององค์กรเฝ้าระวังการค้าสัตว์ป่าแทรฟฟิก (Traffic) ชี้ว่า อย่างน้อย 67 ประเทศและดินแดนบนหกทวีป มีส่วนเกี่ยวข้องในการค้าลิ่น แต่การค้าเกล็ดลิ่นปริมาณมากที่สุดมีต้นทางในแคเมอรูน ไนจีเรีย เซียร์ราลีโอน และยูกันดา และส่วนใหญ่มีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ประเทศจีน
“ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา การค้าลิ่นระหว่างทวีปขยายตัวอย่างมโหฬารครับ โดยเฉพาะเกล็ดลิ่น” แดน แคลเลนเดอร์ หัวหน้ากลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านลิ่นจากองค์การระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์ธรรมชาติ หรือไอยูซีเอ็น (IUCN) ซึ่งเป็นองค์กรระดับโลกผู้กำหนดสถานะให้แก่ชนิดพันธุ์ที่ถูกคุกคาม กล่าวและเสริมว่า ก่อนหน้านี้ การลักลอบล่าและขนส่งลิ่นส่วนใหญ่เกิดขึ้นภายในเอเชีย การเปลี่ยนแปลงนี้หมายความว่า ลิ่นเอเชียกำลังหายากขึ้นเรื่อยๆ แต่มูลค่าของเกล็ดทำให้การลักลอบขนส่งลิ่นจากแอฟริกาไปเอเชียมีความคุ้มค่ามากขึ้น
ผู้คนในแถบตะวันตกและตอนกลางของแอฟริกา รวมถึงชนพื้นเมืองบางกลุ่มในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กินเนื้อลิ่นเป็นอาหาร ในกานา ไนจีเรีย แอฟริกาใต้ และที่อื่นๆในภูมิภาคซับสะฮาราของแอฟริกา มีการใช้อวัยวะของลิ่นในทางการแพทย์แผนโบราณ ขณะที่คนบางกลุ่มในเวียดนามและจีนยังถือว่า เนื้อลิ่นเป็นอาหารชั้นเลิศ กระนั้น ความต้องการเกล็ด กลับเป็นสิ่งที่ทำลายล้างลิ่น
เกล็ดลิ่นซึ่งปกติแล้วนำมาตากแห้ง บดเป็นผง แล้วบรรจุเป็นยาเม็ด นำมาใช้ปรุงยาจีนแผนโบราณหลายตำรับ ตั้งแต่การรักษาโรคต่างๆ การช่วยบำรุงน้ำนมแม่ ไปจนถึงการบรรเทาโรคข้ออักเสบและไข้รูมาติก เกล็ดลิ่นพบได้ในตลาดยาทั่วเอเชีย รวมถึงเวียดนาม ไทย ลาว และเมียนมา
จากรายงานเมื่อปี 2016 ของมูลนิธิอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพและการพัฒนาสิ่งแวดล้อมของจีน ในประเทศจีนซึ่งรัฐบาลยังคงสนับสนุนการรักษาดังกล่าว บริษัทยากว่า 200 บริษัทผลิตยาแผนโบราณประมาณ 60 ชนิดที่มีเกล็ดลิ่นเป็นส่วนประกอบ ทุกปีมณฑลต่างๆในจีนโดยรวมแล้วอนุญาตให้บริษัทยาใช้เกล็ดลิ่นเฉลี่ย 26.6 ตัน คิดเป็นจำนวนลิ่นประมาณ 73,000 ตัว
รายงานบางฉบับชี้ว่า เมื่อถึงกลางทศวรรษ 1990 ลิ่นในประเทศจีนหายากอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากถูกล่าเกินขนาด เมื่อความต้องการยังมีอยู่ บริษัทจีนจึงยังคงผลิตผลิตภัณฑ์จากลิ่น โดยหันไปหาแหล่งเกล็ดลิ่นที่ถูกกฎหมายสองแหล่ง ได้แก่ คลังสะสมลิ่นที่ล่าภายในประเทศจีนก่อนจำนวนจะลดลงอย่างมาก และลิ่นที่นำเข้ามาในประเทศก่อนการห้ามค้ามีผลบังคับใช้
บันทึกการค้าลิ่นของไซเตสแสดงว่า ในช่วง 21 ปีตั้งแต่ปี 1994 ถึง 2014 จีนนำเข้าเกล็ดลิ่นเกือบ 15 ตัน ซึ่งไม่เพียงพอกับความต้องการของบริษัทยา ยิ่งไปกว่านั้น รัฐบาลในระดับมณฑลมักไม่ตรวจสอบว่า บริษัทได้เกล็ดลิ่นจากคลังจริง ไม่ใช่ลิ่นที่ถูกล่าอย่างผิดกฎหมายเมื่อไม่นานมานี้ โจวจิ้นเฟิง ผู้อำนวยการกลุ่มอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพของจีนในกรุงปักกิ่ง กล่าวและเสริมว่า เขาสงสัยว่าคลังเกล็ดลิ่นของจีนมีมากถึงขนาดรองรับความต้องการของบริษัทยามานานกว่าสองทศวรรษ หลังจากลิ่นแทบจะเรียกได้ว่าหมดไปจากประเทศแล้วจริงหรือ
“ผมไม่เชื่อหรอกครับ” เขาพูด “ผ่านมาหลายปีแล้ว พวกเขายังมีเกล็ดลิ่นมากมายขนาดนั้นในคลังหรือครับ”
ประเทศจีนเป็นผู้บริโภคเกล็ดลิ่นรายใหญ่ที่สุด แต่ไม่ต้องเป็นเช่นนั้นก็ได้ สตีฟ กิฟเวน อดีตผู้ช่วยคณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนโบราณของอเมริกันในแซนแฟรนซิสโก กล่าว เขาจำแนกสมุนไพร แร่ธาตุ และสัตว์ทางเลือกสำหรับใช้ในตำรับยาจีนได้อย่างน้อย 125 ชนิด ขึ้นอยู่กับโรคภัยไข้เจ็บที่ผู้ป่วยต้องการรักษา “ไม่มีเหตุผลใดเลยที่ต้องใช้ ชวานชานเจี่ย มารักษาโรค” เขากำลังพูดถึงเกล็ดลิ่นในภาษาจีน
จนถึงตอนนี้ การแพทย์แผนตะวันตกไม่พบหลักฐานใดๆว่า เกล็ดลิ่นซึ่งประกอบด้วยเคอราทิน อันเป็นวัสดุเดียวกันกับที่สร้างเล็บมือ เส้นผม และนอแรด มีผลกระทบทางสรีรวิทยาต่อมนุษย์ แต่ตำราการแพทย์แผนโบราณบันทึกว่า เกล็ดลิ่นรักษาความไม่สมดุลต่างๆในร่างกายอย่างได้ผล
ตราบใดที่ผู้คนนับล้านยังหันมาหาการแพทย์แผนโบราณเพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วย และตัวเลขดังกล่าวน่าจะเพิ่มขึ้นอีก เพราะองค์การอนามัยโลกให้การยอมรับการแพทย์แผนจีนโบราณในฐานะส่วนหนึ่งของฐานข้อมูลทางการแพทย์อย่างเป็นทางการ กิฟเวนกล่าวว่า การให้ความรู้เกี่ยวกับยาทางเลือกแก่ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพและผู้ป่วยจะเป็นวิธีสำคัญในการป้องกันลิ่นจากการสูญพันธุ์
เรื่อง เรเชล เบล
ภาพถ่าย เบรนต์ สเตอร์ตัน
*อ่านสารคดีฉบับเต็มได้ใน นิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ฉบับเดือนมิถุนายน 2562
อ่านเพิ่มเติม