ไขปริศนาวงแหวนใต้ทะเลเมดิเตอเรเนียน

“เมื่อวงกลมสมบูรณ์แบบหลายร้อยวงถูกค้นพบใต้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

หลากหลายทฤษฎีพยายามอธิบายความหมาย

งานวิจัยใต้น้ำนานสี่ปีเผยโลกใบหนึ่งที่สาบสูญไปแล้ว”

วันฟ้าโปร่งอากาศร้อน วันหนึ่งกลางเดือนกันยายน ปี 2011 นักชีววิทยาทางทะเลชื่อ คริสตีน แปร์ฌ็อง-มาร์ตีนี นั่งอยู่ในเคบินเรือวิจัยลำหนึ่งที่กำลังแล่นอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนห่างจากชายฝั่งเกาะคอร์ซิการาว 20 กิโลเมตร นอกหน้าต่างเรือ แสงอาทิตย์สะท้อนวิบวับบนผืนน้ำสีน้ำเงินเข้ม แต่แปร์ฌ็อง-มาร์ตีนีไม่ใส่ใจกับระลอกคลื่น เธอสนใจสิ่งที่อยู่ใต้เกลียวคลื่นมากกว่า

จอภาพข้างหน้าเธอแสดงภาพจากระบบโซนาร์บนเรือ ที่กำลังส่งคลื่นเสียงออกไปเป็นห้วงสั้น ๆ ติดต่อกัน เพื่อเผยให้เห็นภูมิลักษณ์ใต้น้ำลึกลงไปราว 120 เมตร นักวิทยาศาสตร์ด้านมหาสมุทรผู้นี้อยู่ในช่วงวันท้ายๆ ของภารกิจนานหนึ่งเดือน กล่าวคือเธอพร้อมทีมงานขนาดย่อมซึ่งรวมถึงสามีของเธอ เฌราด์ แปร์ฌ็อง นักสมุทรศาสตร์ และนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาอีกคนจากมหาวิทยาลัยคอร์ซิกาปัสกวาเลเปาลี กำลังทำแผ่นที่พื้นสมุทรในภูมิภาคนี้ เป้าหมายที่ดูเหมือนดูเรียบง่าย แท้จริงแล้วเล็งไปที่จุดบอดสำคัญจุดหนึ่งในแวดวงสมุทรศาสตร์

ลึกลงไปเกือบ 120 เมตรใต้ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน วงแหวนไร้คำอธิบายกว่า 1,300 วงถูกพบกระจายอยู่ทั่วก้นทะเล

ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนครอบคลุมพื้นที่ราว 2.5 ล้านตารางกิโลเมตร ความลึกของมันยังเป็นปริศนาสำหรับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ พื้นสมุทรส่วนใหญ่ของทะเลนี้อยู่ในอาณาเขตคล้ายโซนก้ำกึ่ง (liminal zone) กล่าวคือ ตื้นและใกล้ชายฝั่งมากเกินไปจนบริษัททำเหมืองทะเลลึกไม่สนใจ กระนั้นก็ลึกเกินกว่าจะลงไปถึงได้โดยนักดำน้ำสกูบาทั่วไป แปร์ฌ็อง-มาร์ตีนีกับเพื่อนร่วมงานอยากเรียนรู้มากขึ้นว่า ในน่านน้ำลึกบริเวณนี้มีอะไรอาศัยอยู่บ้างที่ก้นทะเล ในตอนแรก ขณะเรือแล่นไปตามผิวน้ำ นักวิทยาศาสตร์ได้แต่จ้องดูภาพขาวดำพร่ามัวที่พอจะคาดเดาได้ปรากฏขึ้น บนจอภาพ นั่นคือ ผืนทราย หินก้อนเล็กก้อนน้อย แล้วก็ทราย พวกเขาเห็นสิ่งเหล่านี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กระทั่งบางสิ่งที่ดูพิสดารอย่างแท้จริงเคลื่อนเข้ามาในจอภาพ

วงแหวนจำนวนมากมีโขดหินขนาดย่อมแต้มอยู่ตรงกลาง ซึ่งยิ่งเพิ่มปริศนาให้กับพวกมัน โขดนี้มีกัลปังหารูปร่างเหมือนพัดขนาดใหญ่ซึ่งเป็นปะการังอ่อน ประดับอยู่

วงกลมสมบูรณ์แบบวงหนึ่ง อีกวงหนึ่ง แล้วก็อีกวง ทุกวงมีขนาดไล่เลี่ยกัน คือมีเส้นผ่านศูนย์กลางราว 20 เมตร พร้อมเส้นรอบวงชัดเจนและมีความสมมารตอย่างน่าทึ่ง ที่ประหลาดไปกว่านั้นคือ เกือบทุกวงมีจุดมืดทึบอยู่ตรงกลางพอดิบพอดีและเหมือนจะมีอยู่หลายสิบวง

นักวิทยาศาสตร์ในทีมต่างมองหน้ากัน “เรานึกไม่ออกเลยค่ะว่ามันคืออะไร” แปร์ฌ็อง-มาร์ตีนีบอก ทีมของเธอบันทึกตำแหน่งของพวกมันไว้อย่างละเอียด และส่งยานใต้น้ำบังคับจากระยะไกลหรืออาร์โอวี (remotely operated vehicle: ROV) ลำหนึ่งลงไปบันทึกภาพ

ถิ่นอาศัยอันบริสุทธิ์ที่นักดำน้ำพบใกล้ๆ กับวงแหวน อาจเสียหายหรือถูกทำลายโดยเรือพาณิชย์ที่มาจอดทอดสมอ ชนิดพันธุ์สีสันสดใสต่างๆ จึงตกอยู่ในความเสี่ยง บาเลสตากับทีมงานแบ่งปันการค้นพบกับเจ้าหน้าที่อนุรักษ์ เพื่อช่วยคุ้มครองวงแหวนและสิ่งแวดล้อมโดยรอบจากการเดินเรือทะเล ปะการังกัลปังหากิ่งในภาพมีดาวเปราะหนามตัวหนึ่งเกาะอยู่
คอโลนีเพรียงหัวหอมแก้ว

ตอนที่ทีมวิจัยนำเสนอการค้นพบของพวกเขาในงานประชุมทางวิทยาศาสตร์ครั้งหนึ่งเมื่อปี 2013 พวกเขายังคงค้นหาคำตอบเกี่ยวกับธรรมชาติของวงแหวนเหล่านั้น แม้แต่การศึกษาตามหลังโดยใช้ยานดำน้ำลำหนึ่ง ในปี 2014 ก็ไม่ช่วยตอบคำถามทั้งหมดได้ เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขานับวงกลมเหล่านี้ได้มากกว่า 1,300 วงภายในพื้นที่เกือบ 15 ตารางกิโลเมตร

หลังสมัครขอทุนอยู่หลายปีเพื่อศึกษาวงแหวนเหล่านี้ คู่สามีภรรยาแปร์ฌ็องก็พบกับทางตัน “ยากมากค่ะ  ที่จะหาเงินทุนสนับสนุน” แปร์ฌ็อง-มาร์ตีนียอมรับ ทั้งสองเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านทุ่งหญ้าทะเล และเรื่องนี้ก็ดูเหมือนอยู่นอกขอบเขตความสนใจของพวกเขา “เราไม่มีหนทางจะไปต่อได้แล้วค่ะ” แต่แล้วคนที่ใช่ก็ติดต่อมา

ในโลกของการสำรวจใต้ทะเล โลร็อง บาเลสตา ขึ้นชื่อในเรื่องความสุดขั้ว ช่างภาพ นักชีววิทยาทางทะเลและนักดำน้ำเฉพาะทางผู้นี้ เป็นผู้ร่วมบริหารบริษัท อ็องโดรแมดโอเซโนโลฌี ซึ่งเป็นผู้นำภารกิจทางวิทยาศาสตร์ เพื่อบันทึกสถานที่ที่เข้าถึงยากที่สุดจำนวนหนึ่งของโลก ภารกิจเหล่านี้มักต้องอาศัยอุปกรณ์พิเศษและแผนการดำน้ำที่ซับซ้อน

ปลาตุ๊ดตู่ซโวนีเมียร์มีหลากสีสัน รวมทั้งแดง เหลือง และน้ำตาล

บาเลสตากับทีมงานคอยมองหาเป้าหมายถัดไปของพวกเขาอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ เขายังมีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงกับคู่สามีภรรยาแปร์ฌ็องด้วยในทางหนึ่ง บาเลสตาเป็นลูกศิษย์ของพวกเขาตอนเรียนปริญญาโท ดังนั้น เมื่อได้อ่านรายงานวิทยาศาสตร์ที่เขียนโดยอดีตอาจารย์เกี่ยวกับภาพสแกนโซนาร์ของวงแหวนปริศนา เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นมาก

“เป็นไปได้อย่างไร” เขาจำได้ว่าคิดอย่างนั้น พวกมันอาจเป็นแอ่งที่เกิดจากการปะทุของปล่องน้ำร้อนใต้สมุทร หรือธรณีสัณฐานแปลกประหลาดอะไรสักอย่าง แต่แปร์ฌ็อง-มาร์ตีนีกับสามีมีความสังหรณ์ต่างออกไป จากการสำรวจด้วยยานใต้น้ำ พวกเขาเชื่อว่า วงแหวนเหล่านี้เป็นสาหร่ายปะการัง (coralline algae) ที่เติบโตเป็นรูปทรงที่ไม่มีใครเคยพบเห็นมาก่อน เมื่อได้ไฟเขียวจากสามีภรรยาแปร์ฌ็อง บาเลสตาตัดสินใจสานต่อจากจุดที่พวกเขาทำค้างไว้ โดยหวังจะไขปริศนานี้ให้กระจ่าง เขาเริ่มจากใช้ข้อมูลที่ทั้งคู่ทำไว้เกี่ยวกับตำแหน่งที่ตั้งของวงแหวน

การมีอยู่ของถ้ำใต้น้ำใกล้ๆ กับวงแหวนเป็นเบาะแสอย่างหนึ่ง บริเวณนี้อาจเคยเป็นส่วนหนึ่งของแนวชายฝั่งโบราณ ที่จมลงใต้น้ำตั้งแต่ยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้ายเมื่อ 10,000 ปีที่แล้ว

เดือนกรกฎาคม ปี 2020 บาเลสตากับนักดำน้ำอีกสองคนจากอ็องโดรแมดโอเซโนโลฌี นำเรือวิจัยของพวกเขามาถึงตำแหน่งที่อยู่เหนือวงแหวน แล้วสวมอุปกรณ์ดำน้ำสกูบาเพื่อดำลงสู่ห้วงลึก แม้จะทิ้งตัวลงถึงก้นทะเลได้อย่างรวดเร็ว แต่พวกเขาอยู่ที่นั่นได้แค่ราว 30 นาที เพราะต้องเผื่อเวลาไว้อย่างน้อยหลายชั่วโมงสำหรับช่วงหยุดพักเพื่อปรับระดับความดันในร่างกาย หรือการพักน้ำ (decompression) ระหว่างกลับขึ้นสู่ผิวน้ำ

ด้วยอุปกรณ์แสงสว่างและกล้องถ่ายภาพกันน้ำ ทีมสำรวจแหวกว่ายลงไปผ่านท้องน้ำชั้นบนที่สว่างไสวของมหาสมุทร แสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาค่อยๆ เลือนหายกลายเป็นความมืดสลัว ภายในไม่ถึงสองนาที พวกเขาก็ใกล้ถึงจุดหมายที่อยู่ลึกลงไปใต้เกลียวคลื่นเกือบ 120 เมตร “ผมหยุดก่อนจะถึงก้นทะเล สัก 20 หรือ 30 เมตรเหนือพื้นเห็นจะได้ครับ” บาเลสเตาเล่า “เพราะผมเห็นวงแหวนแล้ว”

ปลาแองเกลอร์ท้องดำซ่อนตัวในพื้นทรายใกล้วงแหวน ขณะทำตัวแบนราบ มันแทบจะล่องหนอยู่

หลังบันทึกภาพไว้จำนวนหนึ่ง บาเลสตาดำลงสู่ก้นทะเลไปที่วงแหวนวงหนึ่ง กลางวงแหวนดังกล่าวมีโขดหินขนาดใหญ่ที่เกิดจากสาหร่ายหินปูนสีแดง (red calcareous algae) วัดความสูงได้ราวหนึ่งเมตร กว้างกว่าหนึ่งเมตร มีส่วนที่คล้ายพัดโบกไหวงอกอยู่ด้านบน โขดหินนี้ล้อมรอบด้วยบริเวณรกร้างแผ่กว้างที่ประกอบด้วยเศษซากคล้ายลานหินพัง และลาดเทลงมาเล็กน้อย ราว 10 เมตรจากจุดศูนย์กลางเป็นวงแหวนรอบนอกมืดดำ หรือขอบวงกลมที่ดูเหมือนเกิดจากหินแดง หรือโรโดลิท (rhodolith) ซึ่งเป็นกลุ่มสาหร่ายแข็งขรุขระขนาดเท่าหินกรวด ขณะพินิจโครงสร้างวงแหวนนี้ บาเลสตาก็ตระหนักว่า สามีภรรยาแปร์ฌ็องคิดถูก “มันมีชีวิต” เขาบอก

หลังใช้เวลาอยู่ที่ก้นทะเล 27 นาที บาเลสตากับทีมงานใช้เวลาเกือบห้าชั่วโมงค่อยๆ ขึ้นสู่ผิวน้ำ เพื่อพักน้ำอย่างปลอดภัย โดยให้เวลาร่างกายปรับความดันจนเท่ากับความดันน้ำที่เปลี่ยนไป นานก่อนจะกลับขึ้นมาบนเรือ บาเลสตาบอกตัวเองว่า เขาจะต้องกลับมาอีก

ระหว่างสืบค้นต้นกำเนิดของวงแหวน ช่างภาพ โลร็อง บาเลสตากับทีมงาน พบเห็นสิ่งมีชีวิตหลากสีสันละลานตาในทะเล รวมถึงปะการังสีเหลืองที่นักดำน้ำในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนแทบไม่เคยพบเห็น
สิ่งมีชีวิตตัวน้อยสีสันสดใสซ่อนอยู่ในพืดปะการังวงแหวน ปลาโกลด์ซินนีปากแหลมเกาะอยู่กลางดงกัลปังหา พบได้เฉพาะในน่านน้ำไม่มีแสงมากนัก

เดือนกรกฎาคม ปี 2021 บาเลสตากลับไปยังน่านน้ำทางเหนือของเกาะคอร์ซิกาพร้อมนักดำน้ำอีกสามคน ซึ่งได้แก่ โรแบร์โต รีนาลดี, ตีโบลต์ โรบี และอ็องโตแน็ง กีย์แบร์ โดยมีแผนการกล้าบ้าบิ่นที่จะช่วยให้พวกเขามีเวลาสำรวจก้นทะเลได้นานขึ้น พวกเขาได้แรงบันดาลใจจากนักดำน้ำประจำแท่นขุดเจาะน้ำมัน ที่สามารถเดินทางลงและขึ้นจากพื้นสมุทรได้อย่างรวดเร็ว ที่ผิวน้ำ นักดำน้ำประจำแท่นขุดเจาะเหล่านี้จะอาศัยอยู่ในห้องปิดผนึกที่ปรับความดันให้เท่ากับสภาพแวดล้อมใต้ทะเล ซึ่งความดันอาจเพิ่มเป็นสิบเท่าหรือมากกว่า จากนั้นก็โดยสารระฆังดำน้ำเพื่อลงและ ขึ้นจากก้นทะเลได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องค่อยๆ ปรับร่างกายตามการเปลี่ยนแปลงของความดันน้ำ

คราวนี้ทีมงานสามารถใช้เวลาสำรวจที่ก้นทะเลได้หลายชั่วโมง พวกเขาตื่นตะลึงไปกับความหลากล้นของสิ่งมีชีวิตรอบตัว ระหว่างดำลงไปอีกหลายเที่ยวเมื่อสภาพอากาศเอื้ออำนวย พวกเขาเห็นปะการังสีเหลืองที่พบเห็นได้ยากในหุบผาชันย่านน้ำลึก นอกจากนี้ยังมีกุ้งล็อบสเตอร์สควอต (ตัวป้อมสั้น) กับปลาเล็กปลาน้อยหลากสีสันซุกซ่อนอยู่ในดงกัลปังหาสีชมพูอ่อน ซึ่งเป็นปะการังอ่อนรูปร่างเหมือนพัดชนิดที่มักพบเห็นตามหุบผาชันย่านน้ำลึกในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

บาเลสตาเชิญสามีภรรยาแปร์ฌ็องให้มาติดตามความคืบหน้าของพวกเขาบนเรือสนับสนุนที่ผิวน้ำ เพราะงานของสามีภรรยาแปร์ฌ็องนั่นเอง เขากับเพื่อนร่วมงานจึงมีโอกาสได้สำรวจระบบนิเวศที่บริสุทธิ์และไม่เหมือนที่อื่นใด แต่บาเลสตารู้ว่าจักรวาลเล็กๆ แห่งนี้อยู่ในสถานะล่อแหลม มันดำรงอยู่ใต้เส้นทางเดินเรือทะเล และการทอดสมอของเรือพาณิชย์ก็อาจทำให้ทุกสิ่งกลายเป็นผุยผงได้ “สมอเรืออาจทำลายวงแหวนทั้งหมดได้ง่ายมากครับ” บาเลสตาบอก ภัยคุกคามนี้กระตุ้นจิตสำนึกถึงจำเป็นเร่งด่วน

หอยเจดีย์แวววาวน่าจะกำลังกินสาหร่ายที่ขึ้นปกคลุมกัลปังหา ทิ้งกิ่งก้านเปลือยเปล่าไว้ข้างหลัง

บาเลสตากับทีมงานดำลงจากห้องปรับความดันไปสำรวจวงแหวนรวมทั้งสิ้นหกเที่ยว พวกเขาทุ่มความสนใจไปที่การเจาะแกนตัวอย่างจากโขดหินกลางวงแหวน ซึ่งหลังจากนั้นจะถูกส่งไปวิเคราะห์โดยการหาอายุด้วยวิธีคาร์บอนกัมมันตรังสี ความหวังก็คือการทราบอายุของวงแหวนเหล่านี้อาจช่วยไขปริศนาที่ว่า พวกมันก่อตัวขึ้นจากอะไรและอย่างไร

เมื่อผลการวิเคราะห์ถูกส่งกลับมา ทีมงานถึงกับตกใจ ส่วนประกอบเก่าแก่ที่สุดซึ่งอยู่ลึกลงไปตรงใจกลางโขดหินมีอายุถึงราว 21,000 ปี สำหรับคนที่ศึกษาประวัติศาสตร์สภาพภูมิอากาศ ยุคดังกล่าวแสดงถึงช่วงเวลาที่โลกเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกล้ำ “มันคือยุคน้ำแข็งใหญ่สุดครั้งสุดท้ายครับ” เอดัว บาร์ด นักภูมิอากาศบรรพกาล จากมหาวิทยาลัยกอลแลฌเดอฟร็องซ์ ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการหาอายุด้วยวิธีคาร์บอนกัมมันตรังสี กล่าวและขยายความว่า เวลานั้นเป็นจุดสูงสุดของยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย

ในช่วงเวลานั้น ทะเลเมดิเตอร์เรเนียนหนาวเย็นและตื้นกว่าทุกวันนี้มาก และบริเวณที่วงแหวนตั้งอยู่ในปัจจุบันก็น่าจะอยู่ห่างจากผิวน้ำไม่ถึง 20 เมตร และอาบชโลมด้วยแสงอาทิตย์

ฤดูร้อน ปี 2023 บาเลสตากลับไปสำรวจวงแหวนอีกรอบ คราวนี้มาพร้อมกับเรือสนับสนุนที่สามารถปล่อยยานสำรวจใต้น้ำได้สองลำ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้เชี่ยวชาญด้านมหาสมุทรและภูมิอากาศ ซึ่งรวมถึงบาร์ด เดินทางลงไปศึกษาระบบนิเวศนั้นเป็นเวลานานๆ ได้ด้วยตัวเอง ความพยายามครั้งนี้ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากสมาคมเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก มีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดทำสมมติฐานอย่างละเอียดในเชิงวิทยาศาสตร์ว่า วงกลมเหล่านั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร

ปลาเคราแฉกพุ่งไปมาในซอกหลืบของพืดปะการังใกล้วงแหวน มันมีเส้นบาร์เบลยาวๆ ตรงปลายแยกเป็นแฉก อยู่คู่หนึ่ง อวัยวะรับสัมผัสเหมือนหนวดนี้ช่วยให้มันคลำหาทางได้ในแสงสลัว
การดำน้ำลึกกว่า 100 เมตรอาจเป็นการทรมานร่างกายอย่างมาก แต่ผู้ที่ลงไปสำรวจท้องทะเลลึกเหล่านี้ได้จะพบกับ สิ่งอัศจรรย์อย่างฝูงกุ้งยูนิคอร์นในภาพ ซึ่งพบได้ในห้วงน้ำลึก หรือซ่อนอยู่ตามถ้ำใกล้ผิวน้ำ

ตลอดหลายเดือนต่อมา พวกเขาค่อย ๆ ปะติดปะต่อชิ้นส่วนข้อมูลต่างๆ จนได้สมมุติฐานข้อหนึ่ง

แม้ว่าในสายตาของคนที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ โขดหินกลางวงแหวนอาจดูเหมือนปะการัง แต่ไม่ใช่ พวกมันคือตะกอนทับถมที่เกิดจากสาหร่ายปะการัง ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตสังเคราะห์แสงได้ที่สร้างโครงร่างแข็งจากแคลเซียมคาร์บอเนต ในช่วงยุคน้ำแข็งครั้งสุดท้าย คอโลนีสาหร่ายเหล่านี้หลายพันคอโลนี น่าจะหยั่งรากยึดเกาะกับสิ่งที่ในเวลานั้นเป็นพื้นทะเลที่แสงแดดส่องถึง

สาหร่ายเหล่านี้เจริญงอกงามอยู่ราว 3,000 ปี โดยเติบโตออกทางด้านข้างเหมือนโดมหรือแพนเค้กที่วัดขนาดได้หลายเมตร จากนั้นราว 20,000 ปีที่แล้ว โลกเริ่มอบอุ่นขึ้น และพืดน้ำแข็งภาคพื้นทวีปเริ่มละลายไหลลงทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสาหร่ายที่ชอบแสงแดดถูกท่วมจมอยู่ในความมืด โครงสร้างรูปโดมของพวกมันพังทลายลง เหลือแต่โขดหินตรงกลางกับเศษแคลเซียมคาร์บอเนตกระจัดกระจาย ตลอดเวลาหลายพันปี ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอาศัยอยู่ในซากหลงเหลือเหล่านี้ที่ทิ้งรอยประทับถาวรเอาไว้

แต่ราว 8,000 ปีที่แล้ว ระดับทะเลเข้าสู่สถานะคงที่ สาหร่ายน้ำลึกเติบโตเป็นชั้นใหม่ๆ บนโขดหินกลางวงแหวน ก่อให้เกิดแผ่นฟิล์มสิ่งมีชีวิตอย่างที่นักดำน้ำเห็น ขณะเดียวกัน สาหร่ายโรโดลิมก็เริ่มห่อหุ้มเศษแคลเซียมแตกหัก กรวดสาหร่ายเหล่านี้กลิ้งลงจากโขดหินกลางวงแหวนไปกองเป็นวงกลมสมบูรณ์แบบรอบๆ ฐานของโขดนั้น นี่คือการคาดเดาที่ดีที่สุดเท่าที่ใครจะคิดออก กล่าวคือแรงฉุดธรรมดาๆ ของแรงโน้มถ่วงนี่เองที่ก่อให้เกิดวงแหวนเหล่านี้

“เราไม่มีหลักฐานยืนยันทั้งหมดครับ” บาเลสตายอมรับ “แต่เราก็ไม่มีอะไรจะแย้งว่าประวัติศาสตร์ของเราผิด”

เรื่อง เวโรนีก กรีนวูด

ภาพถ่าย โลร็อง บาเลสตา


อ่านเพิ่มเติม : มาตรา 69 กับอนาคตทะเลไทย บันทึกการตามหาปลาวัยอ่อนใต้แสงไฟ

© COPYRIGHT 2025 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.