ความลับของเหล่า เพนกวิน เราเรียนรู้อะไรบ้างจากสัตว์ที่ได้ชื่อว่ายืดหยุ่นและปรับตัวเก่งที่สุดชนิดหนึ่งในโลก

เพนกวินตอบสนองต่อแรงกระตุ้นในการสำรวจอย่างไร เราเรียนรู้อะไรบ้างจากสัตว์ที่ได้ชื่อว่ายืดหยุ่นและปรับตัวเก่ง

เอาชนะความร้อน เพนกวินกาลาปาโกสว่ายน้ำเคียงคู่กับเต่าตนุและอิกัวนาทะเลในน่านน้ำเย็นจัดและใสกระจ่าง ใกล้เกาะเฟร์นันดินา(ภาพถ่าย: ทุย เดอ รอย, NATURE PICTURE LIBRARY)
เพนกวินชินสแตรปและเพนกวินเจนทู ที่เห็นในภาพใกล้เกาะแดงโกในแอนตาร์กติกานี้ มักพุ่งตัวลงไปสู่ความลึกกว่า 30 เมตรเพื่อหาอาหารเป็นประจำ (ภาพถ่าย: เดวิด ดูบิเลต์, NATIONAL GEOGRAPHIC IMAGE COLLECTION)
ขนอ่อนสีน้ำตาลของลูกเพนกวินราชา ซึ่งมองเห็นในภาพนี้ที่เกาะแมเรียนในอ่าวกู๊ดโฮป ทางตอนใต้ของมหาสมุทรอินเดีย ไม่ได้กันน้ำ แต่ฉนวนที่เพิ่มมาช่วยปกป้องพวกมันจากความหนาวเย็นได้ จนกระทั่งพวกมันผลัดขนเมื่ออายุ ราว 10 เดือน และขนจริงสีขาวดำเป็นเงางามจะขึ้นแทนที่ (ภาพถ่าย: ทอมัส เพสแชก, NATIONAL GEOGRAPHIC IMAGE COLLECTION)

เพนกวินเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตท่ามกลางภยันตรายอย่างไร

าว 1,000 กิโลเมตรนอกชายฝั่งแผ่นดินใหญ่ของเอกวาดอร์ ดี โบร์สมา นักชีววิทยาเชิงอนุรักษ์ นั่งเรือยางผ่านน่านน้ำ สีน้ำเงินที่ล้อมรอบเกาะบาร์โตโลเม ซึ่งเป็นส่วนเล็กๆส่วนหนึ่งของหมู่เกาะกาลาปาโกสกลางมหาสมุทรแปซิฟิก เธอร่วมทางไปกับนักวิทยาศาสตร์อีกหลายคน ซึ่งทั้งหมดต่างกวาดตาไปตามแนวชายฝั่งเพื่อมองหานกทะเลสีขาวดำที่หาตัวยากด้วยความสูงประมาณครึ่งเมตร เพนกวินกาลาปาโกสถือเป็นเพนกวินหายากที่สุดและเป็นเพนกวินขนาดเล็กที่สุดชนิดหนึ่งในโลก แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือ พวกมันเป็นเพนกวินชนิดเดียวที่อาศัยอยู่ในเขตศูนย์สูตร

“เราจะไม่ตกหลุมรักพวกมันได้อย่างไรกันนะ” ดี โบร์สมา นักสำรวจของเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก และผู้อำนวยการศูนย์เฝ้าระวังระบบนิเวศ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน อุทาน “พวกมันทั้งตลก อยากรู้อยากเห็น แถมยังน่ารักน่าเอ็นดูอีกด้วย”

โบร์สมาพลันชี้ไปยังเพนกวินห้าตัวที่อยู่ใกล้ถ้ำแห่งหนึ่ง จากนั้นก็มีอีกตัว และอีกตัว รวมทั้งหมดเจ็ดตัว เมื่อเรือเข้าใกล้ชายฝั่งมากพอ สองหนุ่มเอกวาดอร์ได้แก่ สัตวแพทย์ เอ็ม. กาบิลาเนส เอสโกบาร์ และเจ้าหน้าที่อุทยาน มาร์ลอน รามอน ก็กระโดดขึ้นฝั่ง ไม่ถึงห้านาทีหลังจากนั้น เอสโกบาร์ก็อุ้มเพนกวินตัวหนึ่งเดินกลับมาด้วยท่าทางสบายๆ มือข้างหนึ่งจับใต้คาง อีกข้างรวบขามันไว้ เขาส่งเพนกวินให้โบร์สมาผู้ถืออุปกรณ์เตรียมวัดขนาดจะงอยปากและเท้าของเพนกวินรออยู่แล้ว จากนั้น เธอก็หยิบตลับเมตรสีเหลืองออกมาวัดความยาวระหว่างปลายปีกสองข้างของมันต่อ “เราวัดตัวมันเพื่อตัดสูทให้ค่ะ” เธอพูดติดตลก

นี่คือขั้นตอนแรกๆในกระบวนการบันทึกข้อมูล ซึ่งเอื้อให้นักวิจัยติดตามสุขภาวะของคอโลนีเพนกวินในบริเวณนี้ได้ แคโรลิน คัปเพลโล นักนิเวศวิทยาสัตว์ป่าผู้ศึกษาเพนกวินในหมู่เกาะกาลาปาโกสร่วมกับโบร์สมาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้ว บันทึกข้อมูลของเพนกวินตัวนี้ น้ำหนักเกินสองกิโลกรัมเล็กน้อย และน่าจะเป็นเพศผู้ โบร์สมาใช้ต้นแขนซ้ายกับหัวเข่าหนีบหัวมันไว้เพื่อไม่ให้มันงับขาเอาได้ “ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” เธอบอกเพนกวินที่บิดตัวอย่างอยู่ไม่สุข “นี่ เจ้านี่มันตัวนิ่มน่าดู พูดจริงๆนะ ใจเย็นน่า อีกแป๊บเดียวก็จะปล่อยแล้ว”

เธอตั้งข้อสังเกตว่า ปีกสภาพสมบูรณ์มากของเพนกวินตัวนี้ด้านบนมีลักษณะหนาและค่อยๆบางไล่ลงมาตรงขอบ เป็นรูปทรงที่เหมาะกับการแหวกว่ายในน้ำอย่างยิ่ง เธอใช้มือลูบปีกมัน ติดป้ายโลหะเล็กๆไว้ใต้พังผืดเท้าซ้ายของมันก่อนจะค่อยๆปล่อยมันลงน้ำจากขอบเรือยาง เจ้าเพนกวินซึ่งดูไม่อนาทรร้อนใจกับชะตากรรมที่ตนเพิ่งประสบมา สำรวจห้วงน้ำ จากนั้นก็โผตัวออกไป ก่อนดำลงไปใต้มหาสมุทรแปซิฟิกอย่างเงียบๆ เพื่อกลับไปแหวกว่ายกับฝูงเต่าตนุและอิกัวนาทะเลอีกครั้ง “การได้จับเพนกวินแบบนั้นเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นมาก” โบร์สมาบอกขณะเฝ้ามองมันดำหายไปใต้ผิวน้ำ

นี่ยังเป็นโอกาสที่หายากขึ้นเรื่อยๆสำหรับนักวิจัยด้วย ทุกวันนี้ เพนกวินกาลาปาโกสเป็นหนึ่งในชนิดพันธุ์เพนกวินมากกว่าครึ่งที่อยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์หรือมีแนวโน้มใกล้สูญพันธุ์ โดยเผชิญแรงกดดันจากภัยคุกคามต่างๆ เช่น อุณหภูมิที่อุ่นขึ้น การประมงเกินขนาด การทำลายถิ่นอาศัย และมลพิษ โบร์สมาผู้ได้สมญาว่า เจน กูดดอลล์ ของเหล่าเพนกวิน มองนกเหล่านี้ว่าเป็นเหมือนองครักษ์แห่งท้องทะเล หรือนกคีรีบูนในเหมืองถ่านหิน กล่าวคือการลดจำนวนลงอย่างรวดเร็วของสัตว์ชนิดหนึ่งส่งสัญญาณเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงสำคัญทางธรรมชาติหรือจากน้ำมือมนุษย์ที่กำลังเกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่มันอาศัยอยู่อย่างไร

กระนั้น เธอก็เชื่อว่า เพนกวินมีความสามารถที่จะอยู่ต่อไปได้ ส่วนหนึ่งเพราะนักวิจัยได้เรียนรู้อย่างต่อเนื่องว่า สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ใช้ประโยชน์จากการปรับตัวตลอดหลายร้อยปีเพื่อให้สามารถรับมือกับโลกรอบตัวที่คาดการณ์ไม่ได้มากขึ้นเรื่อยๆ “ย้อนหลังไป 54 ปีก่อน ตอนที่ฉันเริ่มศึกษาเรื่องนี้ ฉันคิดว่ากว่าจะถึงตอนนี้ เพนกวินกาลาปาโกสน่าจะสูญพันธุ์ ไปแล้ว” เธอบอก “แต่พวกมันยังอยู่ดีกันค่ะ”

อยู่ด้วยกันริมชายฝั่ง เพนกวินกาลาปาโกสอาศัยอยู่บนเกาะอีซาเบลา ซึ่งพวกมันอยู่ร่วมกับอิกัวนาทะเล สัตว์ทั้งสองชนิดอาศัยอยู่ในรอยแยกของหินภูเขาไฟตามแนวชายฝั่งและออกหาอาหารในมหาสมุทร (ภาพถ่าย: เบอร์ตี เกรเกอรี)

เส้นทางวิวัฒนาการของเพนกวินกาลาปาโกสแสดงให้เห็นว่า แรงกดดันทางสิ่งแวดล้อมหล่อหลอมสิ่งมีชีวิตชนิดนี้อย่างไรตลอดระยะเวลาหลายล้านปี การศึกษาทางพันธุกรรมชี้ว่า พวกมันสืบเชื้อสายจากเพนกวินฮัมโบลต์เมื่อราวสองล้านปีก่อนในสมัยไพลสโตซีน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง บรรพบุรุษเพนกวินกาลาปาโกสยุคแรกสุดอาจมาถึงหมู่เกาะนี้ด้วยการเกาะกระแสน้ำฮัมโบลต์ ซึ่งนำน้ำเย็นที่อุดมสารอาหารไหลเลาะชายฝั่งอเมริกาใต้ขึ้นไปทางเหนือ พวกมันน่าจะตั้งหลักแหล่งอยู่ทางตะวันตกของกลุ่มเกาะบนเกาะอีซาเบลาและเฟร์นันดินาซึ่งมีอาหารและที่หลบภัยมากมาย แม้กระแสน้ำฮัมโบลต์และกระแสน้ำครอมเวลล์ยังคงไหลผ่านที่นี่ แต่ปัจจุบันกลับนำพาอาหารและสารอาหารมาเป็นช่วงๆไม่สม่ำเสมอ ทั้งในแง่ช่วงเวลาและความเข้มข้น

ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ส่งผลให้เพนกวินกาลาปาโกสปรับตัวอยู่ในภูมิอากาศอุ่นนี้ได้คือ การที่พวกมันทำรังอยู่ตามรอยแยกซึ่งอยู่ในร่มเงาและเย็นบนเกาะต่างๆ แนวชายฝั่งที่นี่ถูกสลักเสลาจากการปะทุอย่างรุนแรงของภูเขาไฟและการกัดเซาะ จึงมีรอยแตกและอุโมงค์ลาวาต่างๆให้เพนกวินหลบอากาศที่ร้อนเกินไปได้ ความสูงอันน้อยนิดเอื้อให้พวกมันเบียดตัวแทรกเข้าไปในซอกมืดๆเหล่านี้ที่ซึ่งมันกับลูกๆซ่อนตัวจากสัตว์นักล่าต่างๆ

ด้วยชั้นไขมันและขนที่บางกว่าเพนกวินอื่นเกือบทุกชนิด เพนกวินกาลาปาโกสวิวัฒน์ตัวเองให้ดำรงชีวิตได้ในภูมิอากาศกึ่งเขตร้อน ทั้งเพนกวินกาลาปาโกส เพนกวินฮัมโบลต์ เพนกวินมาเจลลัน และเพนกวินแอฟริกา ล้วนจัดอยู่ในสกุลเพนกวินลาย เนื่องจากลายขาวดำอันโดดเด่นรอบหน้าอกและหัวของพวกมัน เพนกวินทั้งหมดนี้อาศัยอยู่ในเขตที่มีภูมิอากาศอุ่นกว่าและควบคุมอุณหภูมิร่างกายด้วยการหอบหายใจ เหมือนที่สุนัขทำในวันอากาศร้อน และยืนกางปีกเพื่อระบายความร้อน ขนสีขาวที่หน้าและเท้ากับข้อเท้าไร้ขนของเพนกวินกาลาปาโกสช่วยไล่ความร้อนออกจากร่างป้อมเตี้ย พวกมันยังผลัดขนรอบใบหน้าในช่วงอากาศร้อนได้อีกด้วย

แต่การปรับตัวที่ทำให้เพนกวินกาลาปาโกสต่างจากเพนกวินชนิดอื่นๆ คือความยืดหยุ่นของพวกมัน เช่น ในการผลัดขนและการผสมพันธุ์ กล่าวคือแทนที่จะมีฤดูผลัดขนและผสมพันธุ์ที่แน่ชัดเหมือนเพนกวินชนิดอื่น พวกมันสามารถชะลอการผลัดขนและการผสมพันธุ์ออกไปจนกว่าจะมีอาหารเพียงพอ และมีโอกาสเอื้อต่อการสร้างครอบครัวที่ประสบความสำเร็จมากกว่าได้

ทั้งหมดนี้ส่งผลให้เกิดวิถีชีวิตแบบขึ้นๆลงๆ จากการตามเก็บข้อมูลน้ำหนักและจำนวนของเพนกวินกาลาปาโกส มาหลายสิบปี โบร์สมาพบเรื่องเหลือเชื่อว่า การผสมพันธุ์ของพวกมันสอดคล้องกับจังหวะการเกิดเอลนิญโญและลานิญญาอย่างแนบแน่น เพนกวินจะแพร่พันธุ์มากช่วงลานิญญา เมื่อกระแสน้ำเย็นอันอุดมไปด้วยสารอาหารไหลแรงขึ้นไปทางเหนือ ทำให้มีปลา หมึก และครัสเตเชียน ชุกชุมสำหรับพวกมัน แต่ในช่วงเอลนิญโญที่น้ำอุ่นจากตอนกลางและตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกไหลเข้ามาแทนที่กระแสน้ำเย็น การลอยตัวของมวลน้ำหรือปรากฏการณ์น้ำผุด (upwelling) และอาหารจะลดลงอย่างมาก ในช่วงหลายปีที่อาหารหายากนี้ เพนกวินบางส่วนจะอดอยากและการผสมพันธุ์หยุดชะงัก อาจใช้เวลาหลายสิบปีกว่าประชากรเพนกวินจะฟื้นตัวขึ้นอีกครั้ง ในช่วงที่ปรากฏการณ์เอลนิญโญรุนแรงตอนต้นทศวรรษ 1980 ประชากรเพนกวินลดลงกว่าครึ่ง

ปัจจุบัน ขณะที่อุณหภูมิทั่วโลกสูงขึ้น ปรากฏการณ์เอลนิญโญเกิดบ่อยครั้งและสุดขั้วมากขึ้น ส่อเค้าว่าจะทำให้สารอาหารที่มีอยู่ลดลงไปอีก ขณะที่ระดับทะเลที่สูงขึ้นท่วมพื้นที่ทำรังของเพนกวิน ถึงกระนั้น โบร์สมาก็เชื่อว่า ต่อให้เอลนิญโญเกิดถี่ขึ้นและสภาพอากาศสุดขั้วยิ่งกว่านี้ เพนกวินกาลาปาโกสบางส่วนจะอยู่ต่อไป เพราะระบบนิเวศของพวกมันยังได้รับการหล่อเลี้ยงจากการลอยตัวของมวลน้ำจากห้วงน้ำลึกเกิดขึ้นเป็นระยะๆ ส่งสารอาหารมาเป็นครั้งคราวเพื่อรักษาห่วงโซ่อาหารเอาไว้

โบร์สมาคาดประมาณว่าอาจมีเพนกวินกาลาปาโกสเหลืออยู่ 2,000 ตัว น้อยกว่าครึ่งของจำนวนที่เคยมีเมื่อ 50 ปีก่อนตอนเธอเริ่มงานวิจัยบุกเบิกนี้ แต่เธอเชื่อว่าการลงมือทำเรื่องสำคัญสองสามประการสามารถปกป้องอนาคตของพวกมันได้

ดี โบร์สมา (คนซ้าย) นักชีววิทยาเชิงอนุรักษ์และนักสำรวจของเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ใช้เวลา 50 ปีไปกับการศึกษาเพนกวินกาลาปาโกสและถิ่นอาศัยที่เปลี่ยนแปลงไปของพวกมัน ตลอดหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา เธอให้คำปรึกษา แก่นักนิเวศวิทยาสัตว์ป่า แคโรลิน คัปเพลโล เพื่อให้มั่นใจว่างานวิจัยในกลุ่มเกาะนี้จะยังคงดำเนินต่อไป (ภาพถ่าย: เรอเน เอเบอร์โซล)

เพื่อให้เพนกวินกาลาปาโกสอยู่รอดและแพร่พันธุ์ต่อไป มนุษย์จำเป็นต้องช่วยพวกมันเอาชนะภัยคุกคามสำคัญสองประการ นั่นคือสัตว์นักล่าที่ถูกนำเข้ามา โดยหลักๆคือหนูและแมว และพื้นที่ทำรังตามธรรมชาติที่มีสภาพแวดล้อม ไม่เอื้ออำนวยมากขึ้นทุกที

การแก้ปัญหาแรกค่อนข้างตรงไปตรงมา แมวกับหนูมาถึงหมู่เกาะกาลาปาโกสเมื่อเกือบ 200 ปีก่อนพร้อมกะลาสีเรือและนักล่าวาฬ พวกมันปรับตัวเข้ากับภูมิประเทศที่ยากลำบากและแทรกตัวเข้าไปในรังของเพนกวินและนกทะเลอื่นๆเพื่อขโมยกินไข่และลูกนกได้อย่างง่ายดาย เมื่อไม่นานมานี้ อุทยานแห่งชาติกาลาปาโกสร่วมมือกับองค์กรสิ่งแวดล้อมโฮโกโตโก เพื่อกำจัดชนิดพันธุ์รุกรานบนเกาะโฟลเรอานา ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของกลุ่มเกาะ โดยในเดือนตุลาคม ปี 2023 ผู้จัดการอุทยานต่างๆเริ่มกำจัดแมวและหนูบนเกาะโฟลเรอานาด้วยการวางกับดักและส่งเฮลิคอปเตอร์ไร้คนขับขึ้นไปโปรยยาเม็ด    ฆ่าหนูและไส้กรอกเจือสารพิษทั่วทั้งเกาะ โครงการดังกล่าวดูจะได้ผล

เพื่อบรรเทาภัยคุกคามประการที่สอง โบร์สมากับเพื่อนร่วมงานกำลังหวังว่าจะได้เงินทุนสร้างรังเทียมและช่วยดึงเพนกวินกลับมาที่เกาะโฟลเรอานาอีกครั้ง โบร์สมาเกิดแนวคิดที่จะทำรังเทียมเมื่อหลายปีก่อน ตอนที่เธอเห็นเพนกวินคู่หนึ่งทำอะไรแปลกๆ พวกมันทำรังบนลาวาริมขอบตะวันตกของกลุ่มเกาะบนเกาะเฟร์นันดินาซึ่งไม่มีร่มเงาใดๆเลย       ทั้งคู่ผลัดกันกกไข่ตั้งแต่หัวค่ำจนถึงเช้า จากนั้นก็พากันหลบไปในช่วงอากาศร้อนตอนกลางวันโดยทิ้งไข่ไว้ตรงนั้น ในที่สุดไข่ก็ฝ่อ โบร์สมาตระหนักว่าพื้นที่ทำรังในร่มมีไม่เพียงพอ และนั่นอาจเป็นข้อจำกัดที่กำหนดว่าจะมีลูกนกเกิดใหม่เพิ่มขึ้นเท่าไรในแต่ละปี

สิบห้าปีที่แล้ว เธอเริ่มทดลองด้วยการใช้รังเทียมที่ออกแบบให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม ตัวเลือกหนึ่งคือการสร้างเพิงพักจิ๋วให้เพนกวินด้วยหินลาวา อีกตัวเลือกหนึ่งซึ่งปรากฏว่าเพนกวินชอบมากกว่า คือการขุดโพรงถ้ำในหินลาวาแข็งๆโดยตรง ทำเลคือปัจจัยสำคัญ ไม่ต่างจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รังเหล่านี้จำเป็นต้องอยู่ใกล้น้ำ แต่ไม่ใกล้ขนาดน้ำท่วมถึงในช่วงเวลาสามเดือนที่เพนกวินกกไข่ “แนวคิดในการสร้างรังก็คือ ถ้าทุกอย่างเป็นใจ เราอยากให้เพนกวินทุกตัวที่ต้องการ   มีลูกสามารถมีลูกได้ค่ะ” โบร์สมาบอก

ต้อนถึงปาก เพนกวินกาลาปาโกสหาอาหารด้วยการดำลงไปใต้ฝูงปลาและไล่ต้อนเหยื่อขึ้นสู่ผิวน้ำ โดยบางครั้งก็เข้าปากนกกระทุง สีน้ำตาลที่รอจังหวะโอกาสอยู่ (ภาพถ่าย: BLICKWINKEL/GOETHEL, ALAMY STOCK PHOTO)

เพนกวินทะลวงขีดจำกัดความสามารถของตัวเองอย่างไร

ย่แล้ว เจ้าตัวนี้จะต้องตายแน่ๆ” นั่นคือความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองของผู้กำกับภาพยนตร์สารคดีสัตว์ป่า เบอร์ตี เกรเกอรี ตอนที่เขาเห็นเพนกวินจักรพรรดิวัยรุ่นตัวแรกกระโจนลงจากหน้าผาสูง 15 เมตร มันพุ่งดิ่งลงไป กระแทกผิวน้ำของมหาสมุทรใต้อันเย็นเยียบ หลังจากหลายวินาทีแห่งความระทึกขวัญผ่านไป มันก็โผล่กลับขึ้นมาบนผิวน้ำ ก่อนว่ายออกไปสู่ขอบฟ้า นักสำรวจของเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก ผู้นี้แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง

สิ่งที่ตามมาน่าตกใจยิ่งกว่านั้น เพนกวินอีกหลายตัวจากฝูงที่มีสมาชิกหลายร้อย ซึ่งออกันอยู่ริมหิ้งน้ำแข็งสูงตระหง่านนั้นค่อยๆกระโดดลงทะเลทีละตัว “มีช่วงเวลาหนึ่งที่เพนกวินพากันกระโดดลงจากหน้าผาเหมือนสายฝนเลยครับ” เกรเกอรีบอก เขาบันทึกฟุตเทจวิดีโอของเหตุการณ์หาดูได้ยากนั้นไว้ด้วยโดรนถ่ายภาพที่อ่าวอาตกาในแอนตาร์กติกาเมื่อปีที่แล้วขณะถ่ายทำ ความลับของเหล่าเพนกวิน (Secrets of the Penguins) สารคดีชุดใหม่ของเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก

ปกติแล้วเพนกวินอายุน้อยจะกระโดดไม่ถึงหนึ่งเมตรลงจากน้ำแข็งทะเลที่ลอยอยู่ลงไปในทะเลตอนที่พวกมันพ้นจากอกพ่อแม่ มิเชลล์ ลารู นักชีววิทยาเชิงอนุรักษ์จากมหาวิทยาลัยแคนเทอร์เบอรีในเมืองไครสต์เชิร์ช ประเทศนิวซีแลนด์ บอก ลูกเพนกวินกระโดดหน้าผาที่เกรเกอรีสังเกตเห็นอาจเติบโตขึ้นมาบนหิ้งน้ำแข็งถาวรและเป็นไปได้ว่าจะเดินผิดทางจึงพาตัวเองไปอยู่ในตำแหน่งที่สุ่มเสี่ยงสำหรับการลงน้ำครั้งแรก

เสียงประจำตัว เราสามารถแยกแยะเพนกวินจักรพรรดิได้จากเสียงร้องของพวกมัน เพนกวินแต่ละตัวมีเสียงร้องอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เอื้อให้พวกมันจดจำคู่ครองและลูกนกจดจำพ่อแม่ได้ท่ามกลางเสียงอึกทึกในคอโลนี เสียงร้องแหลมของ ลูกนกทำให้พ่อแม่ส่งเสียงร้องตอบไปจนกระทั่งพวกมันหากันเจอ (ภาพถ่าย: เบอร์ตี เกรเกอรี)
ตอร์ปิโดทักซิโด ในมหาสมุทร เพนกวินจักรพรรดิอาจดำน้ำลงไปได้ถึงระดับความลึกกว่า 500 เมตร และยังใช้เวลาอยู่ใต้น้ำได้นานกว่า 20 นาทีด้วย (ภาพถ่าย: พอล นิกเคลน, NATIONAL GEOGRAPHIC IMAGE COLLECTION)

นั่นคือฉากหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเพนกวินอย่างแท้จริง นกน่าทึ่งเหล่านี้วิวัฒน์มาตลอดหลายล้านปีเพื่อเอาตัวรอดในทวีปที่อากาศเหน็บหนาวที่สุด ลมกระโชกแรงที่สุด และแห้งแล้งที่สุดในโลก

คุณลักษณะน่าทึ่งอีกมากของมันอาจพบเห็นได้ในฤดูทำรัง เพนกวินจักรพรรดิเพศเมียจะวางไข่รูปร่างเหมือนลูกแพร์เพียงหนึ่งฟองตอนต้นฤดูหนาวของแอนตาร์กติกาซึ่งอุณหภูมิอาจลดต่ำถึงติดลบ 45 องศาเซลเซียส และลมอาจมีกำลังแรงพอๆกับพายุเฮอร์ริเคน ความต้องการเติมเต็มพลังงานสำรองทำให้ว่าที่แม่เพนกวินรีบส่งไข่ให้คู่ของมันรับไปดูแล ขณะที่มันเร่งรุดไปหาอาหารเติมกระเพาะในมหาสมุทร

เพนกวินจักรพรรดิเพศผู้ใช้เวลาสองเดือนหลังจากนั้นไปกับการกกไข่ โดยยืนทรงตัวบนเท้าที่เป็นพังผืดและป้องกันความหนาวด้วยผิวหน้าท้องที่ก่อตัวเป็นกระเป๋า หรือถุงหน้าท้องกกลูก ว่าที่พ่อเพนกวินจะอดอาหารเกือบสี่เดือน และสูญเสียน้ำหนักตัวราวครึ่งหนึ่งในฤดูผสมพันธุ์ ลูกนกมักฟักออกจากไข่ภายในเดือนสิงหาคมซึ่งเป็นช่วงเวลาที่แม่นำอาหารมื้อแรกกลับมาป้อนพอดี เพนกวินน้อยจะได้รับอาหารและความอบอุ่นจากพ่อแม่ไปตลอดห้าเดือนหลังจากนั้น

พอถึงกลางเดือนธันวาคม ขณะที่ฤดูร้อนของแอนตาร์กติกาใกล้เข้ามา ลูกเพนกวินจะเริ่มผลัดขนอ่อนฟูๆเป็นขนจริงที่กันน้ำได้ และไม่ช้าพวกมันก็จะทิ้งคอโลนีออกไปหากินด้วยตัวเอง เพนกวินวัยรุ่นเช่นเดียวกับที่เกรเกอรีบันทึกภาพได้จะกระโดดลงทะเลด้วยพลังแห่งความเชื่อมั่น นี่คือช่วงเวลาอันเป็นจุดเปลี่ยนที่พวกมันจะเริ่มต้นชีวิตในมหาสมุทร และจะอยู่ที่นั่นเฉลี่ยประมาณห้าปีก่อนกลับขึ้นฝั่งมาผสมพันธุ์ต่อไป

ลงจอดท่ายาก เมื่อถึงเวลากลับขึ้นสู่น้ำแข็งทะเล เพนกวินจะปล่อยฟองอากาศออกจากขน เพื่อเป็นการลดแรงต้านและเอื้อให้พวกมันเร่งความเร็วขึ้นจากน้ำได้ แรงกระแทกกับน้ำแข็งนี้อาจทำให้มันจุกจนหายใจไม่ออก และบางครั้งก็ส่งเสียงร้องแหลมออกมา (ภาพถ่าย: เบอร์ตี เกรเกอรี)
ซุกไซ้แบ่งไออุ่น เรือนขนที่แน่นและซ้อนชั้นไปมา รวมถึงชั้นไขมันหนาๆ ที่เป็นฉนวนป้องกันร่างกาย ช่วยปกป้องเพนกวินจักรพรรดิจากความเย็นจัดที่กัดกร่อนของแอนตาร์กติกา เพื่อต่อสู้กับสภาพอากาศสุดขั้วขณะกกไข่ เพนกวินเพศผู้หลายร้อยตัวจะซุกตัวอยู่ด้วยกันอย่างแนบแน่น (ภาพถ่าย: ฟรานส์ แลนทิง, NATIONAL GEOGRAPHIC IMAGE COLLECTION)
ลื่นไถลไถกลิ้ง บนฝั่งที่การเดินเตาะแตะทำให้พวกมันเคลื่อนที่ได้ช้าลง เพนกวินจักรพรรดิมักเลือกใช้วิธีแบบเลื่อนหิมะ นั่นคือการนอนคว่ำและไถตัวไปข้างหน้าโดยใช้ปีกและเท้าช่วย วิธีเดินทางที่มีประสิทธิภาพนี้เอื้อให้พวกมันตัดข้ามผืนน้ำแข็ง อันไพศาลได้เป็นระยะทางยาวไกลในการเดินทางไปและกลับจากท้องทะเล (ภาพถ่าย: เบอร์ตี เกรเกอรี)

นักวิทยาศาสตร์ไม่คิดว่าเหตุการณ์โดดหน้าผาเกี่ยวข้องโดยตรงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่อย่างน้อย ก็มีผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งคาดเดาว่า อุณหภูมิที่อุ่นขึ้นอาจบีบให้เพนกวินจักรพรรดิจำนวนมากขึ้นต้องผสมพันธุ์บนหิ้งน้ำแข็งถาวรแทนน้ำแข็งทะเล เพิ่มโอกาสของการที่เพนกวินวัยรุ่นต้องจากอกพ่อแม่ด้วยการดำดิ่งจากที่สูง เหตุการณ์นี้ตอกย้ำความเป็นจริงอันเยียบเย็นประการหนึ่งว่า ภายใต้ฉากทัศน์ทางสภาพภูมิอากาศบางอย่าง นักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่า คอโลนีเพนกวินจักรพรรดิในแอนตาร์กติการ้อยละ 80 จะหายไปเมื่อถึงช่วงรอยต่อของศตวรรษ

แต่ลารูยังคงเชื่อมั่นในความสามารถในการปรับตัวของเพนกวินจักรพรรดิ และเธอมองว่าการดำดิ่งลงน้ำจากที่สูงคือบทพิสูจน์ความทรหดอดทนของเพนกวินได้ดี “พวกมันยืดหยุ่นอย่างเหลือเชื่อค่ะ” เธอบอกก่อนจะทิ้งท้ายว่า “พวกมันอยู่กันมาหลายล้านปีแล้ว พบเห็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมต่างๆมาไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร ปัญหาอยู่ที่ว่า พวกมันจะสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้เร็วแค่ไหน และจะผลักดันตัวเองไปได้ไกลเพียงใดต่างหากล่ะคะ”

เรื่อง แฮนนาห์ นอร์ดเฮาส์, เรอเน เอเบอร์โซล, 

แปล ศรรวริศา เมฆไพบูลย์


อ่านเพิ่มเติม : ความงาม ชวนตะลึงของ การแปรกระบวน กลางเวหา

 

© COPYRIGHT 2025 AMARIN PRINTING AND PUBLISHING PUBLIC COMPANY LIMITED.