การศึกษานอกชายฝั่งแคลิฟอร์เนียนาน 6 ปี แสดงให้เห็นว่าคลื่นความร้อนในทะเลและมลพิษทางเสียงทำให้เสียงร้องอันกึกก้องของมหาสมุทรเงียบลง ราวกับ ‘ความตายที่เงียบงัน’
ลึกลงไปใต้ผิวน้ำเกือบ 1 กิโลเมตร มีสายเคเบิลยาว 51 กิโลเมตรทอดยาวไปตามพื้นทะเลนอกชายฝั่งแคลิฟอร์เนีย สายเคเบิลเหล่านั้นวัตถุทรงกระบอกโลหะกว้าง 2 นิ้วติดตั้งอยู่ มันคือ ‘ไฮโดรโฟน’ หรือไมโครโฟนใต้น้ำที่สามารถบันทึกและติดตามความเสียงที่เกิดขึ้นใต้มหาสมุทรได้
เป็นเวลาหลายศตวรรษแล้วที่นักวิทยาศาสตร์ศึกษาสิ่งที่เกิดขึ้นใต้น้ำ เสียงเหล่านี้ช่วยบอกให้รู้ถึงจังหวะชีวิตใต้ทะเลทั้งความสมดุลและความยืดหยุ่นของระบบนิเวศ รวมถึงการตอบสนองของสัตว์ทะเลที่มีต่อผลกระทบจากมนุษย์ ทั้งกิจกรรมจากอุตสาหกรรมและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ
“ตั้งแต่ผมได้ใช้ไฮโดรโฟน ผมก็ตระหนักได้ว่าโลกแห่งเสียงนี้สามารถช่วยให้เราเข้าใจผลกระทบจากมนุษย์ ธรรมชาติ และความสมดุลระหว่างสิ่งเหล่านี้ได้” จอห์น ไรอัน (John Ryan) นักสมุทรศาสตร์ชีวภาพจากสถาบันวิจัยพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำอ่าวมอนเทอเรย์ กล่าว
ปีแล้วปีเล่า นักวิทยาศาสตร์ได้ติดตามเสียงในระบบนิเวศของกระแสน้ำแคลิฟอร์เนีย และเผยแพร่มันออกมาผ่านรายงานเมื่อต้นปีนี้ ทีมวิจัยของไรอันได้ใช้เวลากว่า 6 เพื่อระบุว่ามีวาฬยักษ์ใหญ่ของมหาสมุทรนั้นมีรูปแบบทางเสียงที่ชัดเจนตามฤดูกาลและช่วงเวลาต่าง ๆ ของปี จนกระทั่งคลื่นความร้อนปรากฏ
ในปี 2013 มีแอ่งน้ำอุ่นผิดปกติปกคลุมทะเลแบริงและอ่าวอะแลสกาตลอดฤดูหนาว ซึ่งยากที่จะอธิบายและสร้างความสับสันให้กับนักวิทยาศาสตร์ มันขยายตัวลงไปทางใต้ตามแนวชายฝั่งแปซิฟิกตลอดปี 2014 จนถึงเม็กซิโก ทุกคนเรียกมันว่า ‘The Blob’
The Blob แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว และในปี 2016 มันก็ขยายออกไปกว่า 3,200 กิโลเมตร นั่นสร้างผลกระทบเลวร้ายให้มหาสมุทร คริลล์ สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่เป็นรากฐานของห่วงโซ่อาหารในทะเลได้หายไปเกือบแทบจะทั้งหมด
“เมื่อต้องเผชิญกับปีที่อากาศร้อนจัดและคลื่นความร้อนในทะเล (ผลกระทบ)ไม่ได้มีแค่อุณหภูมิเท่านั้น” เคลลี เบอนัวต์-เบิร์ด (Kelly Benoit-Bird) นักสมุทรศาสตร์ และผู้ร่วมเขียนบทความอธิบาย “ระบบทั้งหมดก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย และเราไม่ได้คริลล์ ดังนั้นสัตว์ที่พึ่งพาตัวคริลล์เพียงอย่างเดียวจึงค่อนข้างโชคร้าย”
วาฬสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นสัตว์ใหญ่ที่สุดในโลก ก็เป็นหนึ่งในผู้โชคร้าย มันสามารถอ้าขากรรไกรกว้างออกมาเพื่อกลืนน้ำหลายพันแกลลอนได้ในคราวเดียว ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่คุ้มค่าเมื่อมีคริลล์อยู่จำนวนมหาศาล ทำให้มันได้อาหารจำนวนมากในการกินครั้งเดียว
แต่เมื่อสภาพอากาศร้อนจัด คริลล์ลดลง วาฬสีน้ำเงินก็ดูจะหาอาหารได้ยากขึ้น และน่าหดหู่มากที่ได้ยินเสียงของพวกมัน ตามรายงานระบวุ่า เสียงร้องของวาฬลดลงเกือบร้อยละ 40
“เมื่อคุณวิเคราะห์อย่างละเอียด มันเหมือนกับการพยายามร้องเพลงในขณะที่คุณหิวโหย” ไรอัน บอก “พวกมันใช้เวลาทั้งหมดไปกับการหาอาหาร”
ขณะที่ เบอนัวต์-เบิร์ด เสริมว่า “เราแทบไม่ได้ยินเสียงพวกมันร้องเพลง พวกมันใช้พลังงานทั้งหมดไปกับการค้นหาอาหาร และนั่นบอกเราว่าช่วงเวลาดังกล่าวช่างเครียดเหลือเกิน”
เมื่อแนวโน้มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกดูไม่มีท่าทีว่าจะลดลง มหาสมุทรของเราจึงดูดซับความร้อนส่วนเกินมากขึ้นไปเรื่อย ๆ และนั่นทำให้ปรากฏการณ์อย่างคลื่นความร้อนใต้ทะเลและเอลนีโญรุนแรงขึ้น
รายงานที่เผยแพร่บนวารสาร PNAS เมื่อเร็ว ๆ นี้ระบุว่าตั้งแต่ทศวรรษ 1940 คลื่นความร้อนใต้ทะเลมีระยะเวลานานขึ้น 3 เท่า และมีอุณหภูมิสูงขึ้นโดยเฉลี่ยประมาณ 1°C โดยบางแห่งพุ่งสูงขึ้นถึง 5°C ซึ่งดูจะส่งผลเป็นเวลากว้าง
ในน่านน้ำระหว่างหมู่เกาะต่าง ๆ ของนิวซีแลนด์ นักวิจัยที่ศึกษาวาฬสีน้ำเงินมาตั้งแต่ปี 2016 ถึง 2018 ก็ระบุว่ามีแต่ความเงียบงันจนน่าขนลุก แบบเดียวกับที่เคยเกิดขึ้นในปรากฏการณ์ The Blob ที่แคลิฟอร์เนีย
“เราสนใจที่จะทำความเข้าใจนิเวศวิทยาของวาฬสีน้ำเงิน” ดอว์น บาร์โลว์ (Dawn Barlow) นักนิเวศวิทยาจากสถาบันสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทางทะเล มหาวิทยาลัยรัฐออริกอน และหัวหน้าทีมวิจัยกล่าว “และโดยไม่ได้ตั้งใจ เราก็ได้ศึกษาผลกระทบของคลื่นความร้อนในทะเล ซึ่งในยุคสมัยนี้ยากที่จะเลี่ยงได้เมื่อต้องทำงานในมหาสมุทร”
บาร์โลว์และทีมงานได้ใช้เครื่องบันทึกเสียงใต้น้ำในอ่าวเซาท์ทารานากิเบย์ท เพื่อติดตามเสียงร้องที่แตกต่างกันสองแบบ ได้แก่ เสียงร้องความถี่ต่ำ ซึ่งเชื่อมโยงกับการกินอาหาร และเสียงร้องที่มีรูปแบบ ซึ่งเชื่อมโยงกับการผสมพันธุ์
ในช่วงน้ำอุ่นผิดปกติ พวกเขาพบเสียงร้องน้อยลงมากในฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ซึ่งเป็นสัญญาณว่าพวกมันหาอาหารได้น้อยลง ในฤดูใบไม้ร่วงถัดมา ความเข้มข้นของเสียงร้องของวาฬสีน้ำเงินก็ลดลงเช่นกัน ซึ่งบ่งชี้ว่ามีกิจกรรมการสืบพันธุ์ลดลง
“เมื่อโอกาสในการหาอาหารมีน้อยลง พวกมันก็พยายามสืบพันธุ์กันน้อยลง” บาร์โลว อธิบาย และนั่นเป็นสัญญาณเตือนที่น่ากังวล “วาฬสีน้ำเงินเป็นสัตว์เฝ้ายาม พวกมันเป็นจุดศูนย์รวมกระบวนการต่าง ๆ ในมหาสมุทรเข้าด้วยกัน สถานที่ที่พวกมันอยู่และสิ่งที่พวกมันกำลังทำอยู่สามารถบอกอะไรได้มากมายเกี่ยวกับความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ”
และผลกระทบของคลื่นความร้อนเพียงครั้งเดียวอาจคงอยู่ต่อไปได้นานแม้อุณหภูมิจะเย็นลงแล้ว
“The Blob เน้นย้ำอย่างชัดเจนว่าผลกระทบเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้ในระยะยาว” เธอ เสริม “นี่ไม่ใช่แค่สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงคลื่นความร้อนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลกระทบระยะยาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสัตว์ที่มีอายุยืนยาวอย่างวาฬ”
หากสิ่งมีชีวิตที่สามารถท่องไปทั่วทั้งชายฝั่งเริ่มสั่นคลอน ดิ้นรนหาอาหาร และชะลอการสืบพันธุ์ นักวิจัยกล่าวว่านี่เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่า มีบางสิ่งที่ลึกลงไปในระบบนิเวศกำลังเปลี่ยนแปลงไป และหากความร้อนแผดเผาทะเลซ้ำแล้วซ้ำเล่า มันก็อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ไม่อาจย้อนกลับได้
“วิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศกำลังส่งผลกระทบต่อมหาสมุทร” ดอว์นกล่าว “เราเห็นสิ่งนี้ในทุกระดับชั้นของระบบนิเวศ การรับฟังและการเรียนรู้จากสถานที่เหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญต่ออนาคตของเรา ตอนนี้ การฟังจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าที่เคย”
สืบค้นและเรียบเรียง
วิทิต บรมพิชัยชาติกุล
ที่มา
https://www.nationalgeographic.com