“ดร. เจน กูดดอลล์ (Jane Goodall) ได้นำแสงสว่างมาสู่โลกใบนี้ เธอแสดงให้เห็นถึงความงดงามของสิ่งที่คน ๆ หนึ่งจะสามารถบรรลุได้” จิลล์ ทีเฟนธาเลอร์ (Jill Tiefenthaler) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของสมาคมเนชั่นแนล จีโอกราฟิก กล่าวถึงเธอตอนหนึ่งว่า “การได้รู้จักเจน คือการได้รู้จักนักวิทยาศาสตร์ นักอนุรักษ์ นักมนุษยธรรม นักการศึกษา ที่ปรึกษา และที่สำคัญที่สุดคือ ผู้นำแห่งความหวัง”
“เจนเป็นสมาชิกที่รักยิ่งของชุมชนเนชั่นแนล จีโอกราฟิกมากว่า 60 ปี เธอได้เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของมนุษย์กับธรรมชาติไปตลอดกาล และในทางกลับกันก็เปลี่ยนแปลงความเป็นมนุษย์ของเราไปตลอดกาล เรารู้สึกขอบคุณที่ได้เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้เรียนรู้จากเธอ แบ่งปันความเชื่อของเธอ และจะยังคงนำแสงสว่างของเธอต่อไป”
งานวิจัยภาคสนามช่วงแรกของดร. กูดดอลล์ นั้น ได้สังเกตชิมแปนซีในเขตอนุรักษ์สัตว์ป่ากอมเบ สตรีม ในแทนกันยิกา (ปัจจุบันคือประเทศแทนซาเนีย) งานได้เปิดเผยรายการพฤติกรรมร่วมที่หลากหลาย ทั้งทางสังคมและอารมณ์ ระหว่างมนุษย์และลิง จน เดล ปีเตอร์สัน ผู้เขียนชีวประวัติของเธอ นิยามว่า เธอคือ “ผู้หญิงที่นิยามความเป็นมนุษย์ขึ้นใหม่”
ดร. กูดดอลล์ นั้นได้รับความสนใจจากสมาคมเนชั่นเนล จีโอกราฟิกในปี 1961 เพราะลูอิส ลีคีย์ ที่ปรึกษาของดร. กูดดอลล์ (ในขณะนั้นดร. กูดดอลล์ยังคงเป็นผู้ช่วยและยังไม่ได้จบปริญญาเอก) นักบรรพชีวินวิทยาผู้ได้รับทุนสนับสนุนจากสมาคมนั้น กล่าวถึงหญิงสาวต่อหน้าคณะกรรมการวิจัยและการสำรวจ ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลสำคัญ 16 คนที่มอบทุนให้กับนักวิทยาศาสตร์ นักสำรวจ และบุคคลอื่น ๆ เพื่อทำงานด้านวิทยาศาสตร์ ดร. ลีคีย์ ได้บอกเล่าเรื่องของผู้ช่วยคนนี้ที่เขาส่งไปสังเกตการณ์ชิมแปนซีที่กอมเบ และต้องการเงินสนับสนุนหญิงสาวคนนี้เพื่อให้เธอทำงานได้อย่างราบรื่น
จุดเริ่มต้นนั้นไม่ได้ราบรื่นนัก เนื่องจากคณะกรรมการมองว่า เจน กูดดอลล์ นั้นมีรูปร่างผอมบาง ขาดการฝึกอบรมทางวิทยาศาสตร์ ไม่มีวุฒิการศึกษาใด ๆ แถมยังต้องไปอยู่คนเดียวในป่าแอฟริกาตะวันออกที่มีปัจจัยเปราะบางมากมายทั้งสภาพอากาศรุนแรง สัตว์นักล่า งูพิษ และยุงมาเลเรีย การขอเงินเพิ่มอีก 400 ปอนด์ จึงอาจดูมากไปหน่อย
ถึงเช่นนั้น ดร. ลีคีย์ บอกคณะกรรมการว่า กูดอลล์ ได้บันทึกภาพลิงที่สร้างและใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น ใบหญ้าและกิ่งไม้ที่ถูกหย่อนลงไปในกองดินเพื่อจับปลวก ซึ่งก่อนหน้านี้เชื่อกันว่ามีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่มีความสามารถเช่นนี้
และสิ่งนั้นเองได้ดึงดูดความสนใจของคณะกรรมการ พวกเขาอนุมัติเงินทุนเพิ่มเติม ผลักดันงานของเธอให้ก้าวหน้าไป ซึ่งถือได้ว่าเป็นการลงทุนคุ้มค่าที่สุดของสมาคมเนชั่นแนล จีโอกราฟฟิก จากนั้นผลงานก็ได้นำเสนอผ่านนิตยสารและโทรทัศน์ของสมาคมฯ ซึ่งถือเป็นการแนะนำเจน กูดดอลล์ ให้โลกได้รู้จัก
ในฤดูร้อนปี 1960 กูดดอลล์ได้ตั้งค่ายพักแรมในเขตอนุรักษ์กอมเบ สตรีม ใกล้ชายฝั่งทะเลสาบแทนกันยิกา พร้อมเงินทุนเพียงพอสำหรับงานภาคสนามหกเดือน เนื่องจากเจ้าหน้าที่รัฐไม่อนุญาตให้มีผู้หญิงอาศัยอยู่ในเขตอนุรักษ์เพียงลำพัง แวนน์ มอร์ริส-กูดอลล์ (Valerie Jane Morris-Goodall) จึงเข้ามาเป็นผู้ดูแลลูกสาวของเธอ
ตั้งแต่แรกเริ่ม กูดดอลล์ทำตามสัญชาตญาณในการทำวิจัย โดยไม่รู้ว่าหลักปฏิบัติทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้กันทั่วไปคือการใช้ตัวเลขเพื่อระบุสัตว์ที่กำลังศึกษา เธอจึงบันทึกการสังเกตชิมแปนซีด้วยชื่อที่เธอคิดขึ้นเอง ได้แก่ ฟิฟี่ ฟลอ มิสเตอร์แมคเกรเกอร์ และเดวิด เกรย์เบียร์ด เธอเขียนถึงชิมแปนซีแต่ละตัวที่มีลักษณะและบุคลิกเฉพาะตัว
เธอใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการหาตำแหน่งของลิงเหล่านี้ผ่านกล้องส่องทางไกล จากนั้นพยายามค่อยๆ เข้าใกล้เพื่อให้พวกมันคุ้นเคยกับการที่เธอนั่งจดบันทึก แต่เมื่อเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนของทุนการศึกษา เธอยังไม่ได้ค้นพบสิ่งสำคัญใด ๆ ที่เธอรู้สึกว่าจะพิสูจน์ความศรัทธาของลีคีย์ที่มีต่อเธอ
ทว่าในช่วงเวลาที่ใกล้จะหมดลง กูดดอลล์ ก็ได้ค้นพบ 3 สิ่งที่ไม่เพียงแต่ทำให้ ดร. ลีคีย์ ภูมิใจ แต่ยังพลิกโฉมวงการวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับอีกด้วย
อย่างแรก – เธอสังเกตเห็นลิงชิมแปนซีกำลังแทะซากสัตว์ขนาดเล็ก ซึ่งขัดแย้งกับความเชื่อที่แพร่หลายว่าลิงไม่กินเนื้อสัตว์ ชิมแปนซีตัวนี้น่าจดจำเพราะมีเคราแพะสีเทาอันโดดเด่น เธอตั้งชื่อมันว่าเดวิด เกรย์เบียร์ด ซึ่งเขาจะเปิดประตูให้เธอเข้าสู่โลกอันลึกลับของชิมแปนซีแห่งกอมเบ
ภายในสองสัปดาห์ เจนได้สังเกต เดวิด เกรย์เบียร์ด อีกครั้ง แต่ครั้งนี้สิ่งที่เธอเห็นได้เปลี่ยนแปลงความเชื่ออย่างแท้จริง เกรย์เบียร์ดนั่งยอง ๆ อยู่ข้างกองปลวก หยิบใบหญ้าขึ้นมาหนึ่งใบแล้วแทงเข้าไปในรู เมื่อเขาดึงมันออกมา พบว่ามีปลวกเกาะอยู่เต็มไปหมด เขาจึงดูดกินเข้าไป ชิมแปนซีตัวนี้ใช้เครื่องมือเป็น
และอีกอย่าง เดวิด เกรย์เบียร์ด เด็ดกิ่งไม้และเด็ดใบออกก่อนจะนำไปใช้จับปลวก มันย้ำให้เห็นว่าไพรเมตเหล่านี้รู้จักใช้เครื่องมือจากสิ่งรอบตัว ซึ่งก่อนหน้านี้เชื่อกันว่ามีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่ทำได้
‘เราต้องนิยามคำว่าเครื่องมือใหม่’ ดร. ลีคีย์ ตอบกลับข้อความ ‘นิยามคำว่ามนุษย์ใหม่’ หรือไม่ก็ยอมรับชิมแปนซีในฐานะมนุษย์
หลังจากการค้นพบเหล่านี้ เนชั่นแนล จีโอกราฟิก ได้ให้ทุนสนับสนุนแก่เจนเพื่อทำงานต่อที่กอมเบ ในฤดูใบไม้ผลิปี 1962 เจนได้นำเสนอผลงานในงานสัมมนาไพรเมตของสมาคมสัตววิทยาแห่งลอนดอน และสร้างความประทับใจให้กับผู้เข้าร่วมงานมากมาย รวมถึงนักสัตววิทยาและนักเขียน เดสมอนด์ มอร์ริส (Desmond Morris)
ถึงอย่างนั้น กูดดอลล์ ก็ยังคงได้รับข้อกังขาจากหลายคนเนื่องจากเธอไม่มีการฝึกอบรบทางวิทยาศาสตร์ใด ๆ เลย ไม่มีวุฒิการศึกษาใด ๆ นอกจากใบรับรองด้านเลขานุการที่ยืนยันว่า กูดดอลล์ พิมพ์สัมผัสได้ เนชั่นแนล จีโอกราฟิก พยายามช่วยเธอด้วยการบอกว่าจะส่งช่างภาพมาเพื่อเผยแพร่เรื่องราว
แต่ กูดดอลล์ ปฏิเสธโดยกล่าวว่าคนแปลกหน้าอาจทำลายความสัมพันธ์ที่เธอกำลังสร้างกับชิมแปนซี ดังนั้นเธอจึงกล่าวว่า ‘ฉันอยากถ่ายภาพเอง หรือไม่ก็ลองถ่ายภาพดู’ เนชั่นแนล จีโอกราฟิก ส่งกล้องและฟิล์มหลายม้วนไปยังแอฟริกา พร้อมคำแนะนำโดยละเอียดเกี่ยวกับวิธีการใช้งาน กูดดอลล์พยายามอย่างเต็มที่ ทว่าก็ไม่ตรงตามมาตรฐานของกองบรรณาธิการ
นิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟิกต้องการให้เจนเขียนบทความเกี่ยวกับผลงานของเธอ แต่ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้หากไม่มี “ภาพถ่ายสัตว์ที่ดี” กูดดอลล์เองก็เข้าใจดีว่าหากผลงานของเธอไม่ได้รับการนำเสนอ เงินทุนสนับสนุนอาจตกอยู่ในความเสี่ยงได้
ดังนั้นเธอจึงตกลงที่จะต้อนรับช่างภาพมืออาชีพคนหนึ่ง ‘ฮิวโก ฟาน ลอวิค’ (Hugo van Lawick) หนุ่มชาวดัตช์วัย 25 ปี
ผลงานของฮิวโกสร้างความพึงพอใจให้กับบรรณาธิการของเนชั่นแนล จีโอกราฟิก เขาทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งการถ่ายภาพหลักฐานการสร้างและการใช้อุปกรณ์ของชิมแปนซี การสร้างรัง ลำดับชั้นทางสังคม และการถ่ายภาพเจนอย่างตั้งใจตามแบบฉบับของมนุษย์
ภาพถ่ายของเขาปรากฏพร้อมกับคำพูดของเจนในบทความปกนิตยสารเนชั่นแนล จีโอกราฟิก ฉบับเดือนสิงหาคม 1963 เรื่อง “ชีวิตของฉันท่ามกลางชิมแปนซีป่า: นักวิทยาศาสตร์สาวชาวอังกฤษผู้กล้าหาญอาศัยอยู่ท่ามกลางลิงใหญ่เหล่านี้ในแทนกันยิกา และได้เรียนรู้รายละเอียดเกี่ยวกับพฤติกรรมของพวกมันที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน”
นิตยสารฉบับนี้ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม ทางสมาคมจึงมีแนวคิดที่จะสร้างภาพยนตร์เรื่องใหม่ ๆ เกี่ยวกับ กูดดอลล์
ในปี 1991 ดร. กูดดอลล์ ได้ก่อตั้งองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร Roots & Shoots โดยอาศัยความกระตือรือร้นของคนหนุ่มสาวเพื่อหยุดยั้งการทำลายสิ่งแวดล้อม เธอตั้งปณิธานว่าคนรุ่นต่อไปจะเป็นผู้พิทักษ์โลกที่ดีกว่าคนรุ่นก่อน
ไม่เพียงเท่านั้นเธอยังสามารถสร้างพันธมิตรกับผู้ที่ไม่มีใครคาดคิด ด้วยการชักชวนให้บริษัท Conoco Oil สร้างศูนย์ฟื้นฟูลิงชิมแปนซี Tchimpounga ในสาธารณรัฐคองโก ซึ่งเปิดเป็นศูนย์พักพิงสำหรับลิงชิมแปนซีกำพร้าในปี 1992
เมื่อดร. กูดดอลล์ ถูกสัมภาษณ์ว่าเธอเป็นนักวิทยาศาสตร์หรือนักพรต (mystic) ก่อน เธอเลือกนักพรต
“ฉันไม่อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์” เธออธิบาย ดร. ลูอิส ลีคีย์ เป็นผู้ผลักดันให้เธอทำงานเพื่อรับปริญญาเอกด้านพฤติกรรมสัตว์จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ เพราะมันจะช่วยให้เธอไม่ต้องถูกเพื่อนร่วมงานวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่ทำวิทยาศาสตร์อย่างเหมาะสมในช่วงแรกของการวิจัย
แทนที่จะกำหนดหมายเลขให้กับตัวแบบ เธอตั้งชื่อให้พวกมัน เธอกำหนดอารมณ์ความรู้สึกให้กับพวกมัน เธอทำให้พวกมันมีลักษณะเหมือนมนุษย์ กูดอลล์ทำได้เพราะเธอสังเกตเห็นชิมแปนซีตัวน้อยที่ทุกข์ทรมานจากการสูญเสียแม่ของมัน ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าและตายไป
เธอยังมองเห็นด้านมืดอีกด้วย นั่นคือ ชิมแปนซีตัวผู้ที่ข่มเหงรังแกจนขึ้นสู่จุดสูงสุด และเมื่อกลุ่มลิงแตกออกเป็นสองฝ่ายที่ขัดแย้งกัน นั่นคือ สงคราม
“ฉันคิดว่าพวกมันก็เหมือนพวกเราแต่ใจดีมากกว่า ฉันจึงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะยอมรับความโหดร้ายนี้ได้” ดร. กูดดอลล์ กล่าว “ฉันรู้สึกว่าฉันกำลังเรียนรู้เกี่ยวกับเพื่อนมนุษย์ที่สามารถมีความสุขและความเศร้า…ความกลัวและความอิจฉาได้”
และเมื่อฟลอ ลิงชิมแปนซีหูขาดจมูกโป่ง ซึ่งเป็นลิงครอบครัวแรกที่เธอศึกษาและสอนเธอมากมายเกี่ยวกับการเลี้ยงดูได้ตายลง เจน กูดดอลล์ ก็ได้ร้องไห้และแสดงอารมณ์เช่นเดียวกับลิงชิมแปนซีที่เธอศึกษาและรัก นั่นก็คือ ความโศกเศร้า
สืบค้นและเรียบเรียงข้อมูล
วิทิต บรมพิชัยชาติกุล
Photograph by Michael Nichols, Nat Geo Image Collection
ที่มา
https://www.nationalgeographic.com
https://www.nationalgeographic.com/magazine/article/becoming-jane-goodall